XO ตอนที่ 36 – ข้อเสนอ

XO ตอนที่ 36 – ข้อเสนอ

XO ตอนที่ 36 – ข้อเสนอ

                          ………………….. “เจ้าคิดจะข่มขู่ข้าที่เป็นราชินีของเมืองงั้นหรือ?”

องค์ราชินีฟารินี่กล่าวเสียงเย็นชาขณะยืนนิ่งด้วยท่าทีสง่าราวกับนางพญาหงส์ตรงระเบียงอันมืดมิด เรือนร่างสะคราญที่เต็มไปด้วยสัดส่วนโค้งเว้าของสตรีวัยยี่สิบแปดแผ่ซ่านความงามที่สามารถสะกดบุรุษทุกผู้คนได้ออกมา เธอกำลังกล่าวคาดโทษเกี่ยวกับนิทานที่แม็กเพิ่งเล่าให้ฟังเมื่อครู่ เพราะในเนื้อหานั้นแฝงคำข่มขู่ว่าพร้อมจะประหัตประหารทุกคนที่คิดร้ายกับเขาและคนรัก

กระนั้นแม้ว่าปากจะกล่าวคาดโทษ หากทว่าความจริงแล้วเธอกลับนึกชื่นชมเสียมากกว่า เพราะในฐานะของราชินีในแวดวงการเมืองแล้ว เธอได้เรียนรู้วิถีทางการเมืองที่มีทั้งขาวและดำมาไม่น้อย เธอย่อมทราบว่าเจ้าชายวิลเลี่ยมคิดบีบคั้นเอาสาวงามไป
ครอบครองเอง และในฐานะของนักการเมืองแล้ว เธอย่อมต้องพยายามคิดล่วงหน้า ว่าเทพธนูจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไร

เท่าที่เธอเคยคลุกคลีกับสาวงามแห่งทวีปไชนี่นั้น เธอได้รับทราบความจริงบางอย่าง แม้เหล่าสาวงามจะฉลาดพอที่จะเก็บงำไม่แสดงท่าที แต่เธอเชื่อว่าสาวงามทั้งแปดต่างก็มีใจให้กับเทพธนูผู้เป็นเจ้าของพวกเธอ ดังนั้นราชินีจึงคิดว่าหากเทพธนูฉลาดสักหน่อย ก็อาจจะใช้วิธีการบอกให้สาวงามทั้งแปดตัดสินใจเอง และหากเขาทำเช่นนั้น เมื่อสาวงามทั้งแปดเลือกด้วยตัวเอง เจ้าชายก็จะไม่มีสิ่งใดมาแอบอ้างอีก

แน่นอนว่านั่นคือหนึ่งในวิธีที่ไม่แข็งกร้าว และมีทางลงให้หลายฝ่าย หากทว่าเทพธนูกลับไม่เลือกทางนั้น หรือไม่แน่ว่าเขาอาจจะนึกไม่ถึง วิธีการเล่านิทานเพื่อเปรียบเทียบและข่มขู่ทางอ้อมนั้นถือว่าแข็งกร้าวท้าทายยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อฝ่ายที่โดนท้าทายคือเหล่าขุนนางคนใหญ่คนโตในแวดวงการเมือง และหากว่าผู้ท้าทายเป็นเพียงคนทั่วไป มันผู้นั้นคงโดนจับใส่คุกหลวงไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ยุทธวิธีอันแข็งกร้าวนี้กลับได้ผลอย่างยิ่ง เพราะพลังฝีมือของตัวเทพธนูเองนั้นยังอยู่ในจุดที่คาดคำนวณได้ยาก รวมทั้งยังมีต้นไม้ใหญ่อย่างแม่ทัพฟาร์อีสต์ และองครักษ์อันดับหนึ่งอย่างเซเฟียด้วย เมื่อมีพลังอยู่ในมือใครกันที่คิดจะหาเรื่องท้าทายให้สูญเสียทั้งสองฝ่าย อย่าว่าแต่เทพธนูเองก็เพิ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางวิถีแห่งการเมืองออกมาให้เห็น

เหล่าชนชั้นสูงหากมองไม่ออกว่าเทพธนูมีความเฉลียวฉลาดและไหวพริบมากมาย ก็คงไม่สามารถเป็นชนชั้นสูงได้แล้ว การแสดงออกที่ผ่านมานั้นยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าเทพธนูเป็นคนประเภทน้ำนิ่งไหลลึก เขาใจเย็นพอที่จะอดทนรอคอยเพื่อกระทำการใหญ่ จึงอาจกล่าวได้ว่าเขามีความสมบูรณ์ทั้งในแง่ความแข็งกร้าวและความสุขุมลุ่มลึก และสิ่งนี้เองที่ทำให้ราชินีอดรู้สึกร้อนวูบวาบไม่ได้

“ข่มขู่งั้นเหรอ? เปล่าเลย นั่นเป็นคำสาบานต่างหาก”

แม็กตอบพลางมองดูสภาพโดยรอบแวบหนึ่ง ระเบียงตรงนี้ไร้แสงไฟ และห่างไกลจากผู้คนในระดับหนึ่ง ด้านในก็มีเสียงเพลงและเสียงสนทนาดังจึงไม่น่าจะมีใครได้ยินหรือเห็นว่าเขาทำอะไรกับองค์ราชินีฟารินี่ แต่เพื่อให้แน่ใจแม็กก็ยังทดลองแผ่ประสาทสัมผัสไปโดยรอบ และได้พบว่าไม่มีใครในบริเวณนี้อีก

“คำสาบานอะไรกัน”

“คำสาบานว่าผมจะจัดการกับทุกคนที่คิดมาทำร้ายคนที่ผมรักไง … และแน่นอนคำว่าคนรักผมหมายถึงองค์ราชินีด้วย”

ราชินีกล่าวถามด้วยเสียงเย็นชาคล้ายจะเอาเรื่อง หากทว่าแม็กกลับยิ้มระรื่นแล้วตอบด้วยน้ำเสียงอบอุ่นคล้ายจะบอกรักหญิงสาว ใบหน้าที่พยายามปั้นเย็นชาของค์ราชินีจึงโดนหลอมละลาย จนกลายเป็นแดงซ่านแทบฝืนเก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่ กระนั้นเธอก็ยังคงพยายามปั้นหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจออกมา

“เจ้าพูดอะไร คิดจะลบหลู่เกียรติของราชินีหรืออย่างไร”

“เรื่องของความรักไม่มีคำว่าเกียรติยศหรอก”

แม็กส่งเสียงกรุ้มกริ่มพลางเดินก้าวเท้าเข้าหาร่างอวบอิ่มของราชินีฟารินี่ เธอถึงกับสั่นสะท้านเล็กน้อยขณะก้าวถอยไปหลัง กระนั้นก็ไม่มีเสียงห้าหรือท่าทีปัดป้องอื่นใดอีก เธอทราบความโหยหาของตนเองเป็นอย่างดี เพียงแต่ยังหวั่นเกรงว่าจะมีคนล่วงรู้ความไม่ดีงามไม่สมกับตำแหน่งราชินีอันสูงส่ง

เธอก้าวถอยไปจนแผ่นหลังชนเข้ากับผนังตรงมุมมืดลับตาคน ในตำแหน่งนี้ไม่มีทางที่คนในห้องจะมองออกมาเห็นได้ นอกจากจะเดินชะโงกหน้าออกมายืนตรงตำแหน่งระเบียง นั่นทำให้เขาเกิดความสงสัยว่านี่เป็นเจตนาของเธออยู่แล้วตั้งแต่แรกหรือไม่

“ถ้าหากเจ้าเข้ามาอีกก้าวเดียว ข้าจะเรียกทหารยามมาสับเจ้าเป็นชิ้น ๆ”

“เรียกก็เรียกซิ สำหรับผมขอแค่ให้ได้จูบปากสวย ๆ ของราชินีสุดที่รักสักครั้ง ต่อให้โดนสับเป็นชิ้น ๆ ก็คุ้มค่า”

แม็กไม่สนคำข่มขู่ ทั้งยังเดินหน้าเข้าหาราชินีที่ไร้ทางถอยจนแผงอกกำยำเบียดเข้ากับทรวงอกที่ตั้งเต้าชูชันราวกับภูเขาไฟ ตอนนี้องค์ราชินีสวมใส่ชุดราตรีหรูหราสีเงินระยิบระยับ แม้ดูภายนอกจะปิดบังผิวกายได้อย่างมิดชิด หากทว่ามันเป็นเพียงผ้าเนื้อบางที่แนบรัดกับสัดส่วนอวบอิ่ม อีกทั้งยังสามารถถลกถอดออกได้โดยไม่ยากลำบากมากนัก

คำชมของแม็กทำให้ราชินีส่งเสียงอุทานดังอา จากนั้นริมฝีปากสีแดงสดก็โดนประกบจูบสอดลิ้นเข้าไปพัวพันจนร่างงามสั่นสะท้าน เธอยกสองมือขึ้นทำท่าจะผลักไสหากทว่ามือทั้งสองข้างกลับยกค้างไว้ไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่ง อีกทั้งยังเปลี่ยนไปเป็นไขว่คว้าโอบกอดร่างกำยำ แล้วลูบไล้ไปตามกล้ามเนื้อแกร่งด้วยอารมณ์โหยหาเร่าร้อน เพียงพริบตาอารมณ์ร้อนแรงที่พยายามเก็บกดเอาไว้ก็ระเบิดออกมาเสียแล้ว

“อืมมม อือออ อืมมมมม อืออออ”

ยิ่งเวลาผ่านจูบของทั้งคู่ก็ยิ่งหนักหน่วง ลิ้นตวัดพัวพันเสพสมราวกับจะหลอมละลายรวมกัน สองร่างเลือดเนื้อเบียดกอดกระหวัดรัดเกี่ยว ต่างส่งเสียงหอบหายใจฟืดฟาดผสมผสานไปกับเสียงครางสุดสยิว

ชายกระโปรงสีเงินยาวถึงข้อเท้าโดนถลกขึ้น ขาขาวเพรียวข้างหนึ่งยกขึ้นพาดอยู่บนสะโพกหนา แม็กล้วงมือครู่เดียวก็กระตุกเอากางเกงในแบบเชือกรัดหลุดออกมาคามือ จากนั้นปลายนิ้วที่ล้วงลึกลงไปสัมผัสสำรวจกับความชุ่มฉ่ำที่ด้านล่าง

ราชินีฟารินี่หลับตาพริ้มขณะที่ร่างงามกระตุกเฮือก เธอจิกปลายเล็บขาวทั้งสิบลงไปบนแผ่นหลังแกร่งขณะที่เขาสอดแทรกปลายนิ้วลากเข้าออกระรัว สัมผัสที่ครูดคราดไปตามจุดอ่อนไหวทำให้เธอสะท้านรอบแล้วรอบเล่า หากทว่านั่นยังเทียบไม่ได้เลยเมื่อเขาจับอุ้มยกสองขาของเธอถ่างขึ้นรัดรอบเอว แล้วเดินหน้าสอดใส่ความใหญ่โตเข้ามาในร่าง พร้อมกับก้มหน้าลงไปฟอนเฟ้นทรวงเต้าอวบอิ่ม

สำหรับแม็กแล้ว นี่อาจจะรวดเร็วเกินไป หากทำได้เขาก็อยากจะเล้าโลมสร้างความสุขเสียวให้แก่ฟารินี่มากกว่านี้ หากทว่าสถานที่นั้นไม่เหมาะสม อีกทั้งยังมีความเสี่ยงสูงยิ่ง เขาจึงต้องเร่งเกมรักให้รวดเร็วกว่าปกติอยู่สักหน่อย

ฟารินี่อยากจะส่งเสียงร้องกรี๊ดออกมาให้สมกับความสุขเสียวที่ได้รับ แต่ก็ต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดป้องปากตนเองไม่ให้หลุดเสียงครางออกมา เพราะนั่นอาจจะทำให้คนอื่นที่อยู่ในห้องได้ยินก็เป็นได้

เวลานี้เสียงเนื้อกระแทกเนื้อดังปั้ก ปั้ก จึงแว่วดังยิ่งกว่าเสียงคราง ทุกครั้งที่เขาขยับกระแทกสอดลึกเข้ามาในร่าง ราชินีก็สัมผัสได้ถึงความสุขหฤหรรษ์ที่ไม่มีสิ่งใดเปรียบ ยิ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแอบกระทำลับหูลับตาคนเพราะเกรงเรื่องจารีตประเพณีเช่นนี้ อารมณ์ความตื่นเต้นก็ยิ่งพลุ่งพล่านร้อนแรง

เธอหรี่ตาปรือก้มลงมองดูศีรษะของเทพธนูที่หมกมุ่นฟอนเฟ้นอยู่กับเต้าคู่งาม เธอยิ้มอย่างพอใจที่ได้เห็นว่าเขาเสพความหอมหวานอย่างพึงพอใจ และยิ่งพึงพอใจเมื่อได้ยินเสียงครางของเขาขณะเสพสมตะบี้ตะบันขยับบั้นเอวสอดแทรกเข้ามาในร่าง เธอรู้สึกพึงพอใจไม่แพ้ความสุขเสียวทางกายที่ได้รับ และกิริยาสนใจท่าทีของอีกฝ่ายนี้คือสัญญาณของผู้หญิงที่บ่งบอกว่าเธอหลงรักบุรุษคนนั้นเข้าแล้ว

อย่างไรก็ตามความสุขเสียวที่เชี่ยวกรากกำลังทำให้เธอทรมาณ เธออยากจะส่งเสียงร้องครางออกมาให้สุดเสียงหากทว่าไม่สามารถกระทำได้ นี่จึงนับเป็นความสุขที่มาพร้อมกับความทรมาณจนแทบสำลัก

บั้นเอวหนาโยกกระเด้าใส่ไม่หยุดยั้ง เสียงเนื้อกระแทกเนื้อแว่วดังกระหน่ำถี่ยิบต่อเนื่อง เพียงไม่นานนักองค์ราชินีฟารินี่ที่ห่างหายจากรสรักมานานก็สุดจะทานทนได้ไหว ร่างงามกระตุกเฮือกสุดแรงเมื่อกระแสความสุขแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แต่ยังดีที่เขาขยับใบหน้ามาประกบปากจูบเธอเอาไว้ เสียงครางจึงยังไม่ทันได้หลุดรอดออกมาจากปาก

ราชินีหลับตาปี๋กอดเขาแนบแน่นจนไม่สามารถแน่นได้มากกว่านี้อีก กระนั้นเธอก็ยังอยากให้เขาหลอมรวมร่างกับเธอให้ลึกซึ้งกว่านี้และยาวนานกว่านี้ เพียงแค่นึกว่าอีกสักครู่เขาต้องแยกออกไปจากร่าง เธอก็แทบรู้สึกทานทนไม่ไหวเสียแล้ว

‘ราชินีฟารินี่ แห่งเมืองเลอองนิสต์ ระดับความรัก 90% ระดับความใคร่ 99%’

เสียงประกาศของระบบเรียกความสนใจจากแม็กได้แวบหนึ่ง แต่เขาไม่ได้คิดทำความสนใจมากนัก เพราะสมาธิส่วนใหญ่หายไปกับแรงตอดรัดสุดเสียว นอกจากนี้เขายังต้องแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งคอยแผ่สัมผัสเพื่อตรวจสอบว่ามีใครเข้ามาใกล้หรือไม่ ถึงแม้ว่าภายนอกเขาจะดูเหมือนบ้าระห่ำที่มีอะไรกับราชินีในสถานที่สุ่มเสี่ยงเช่นนี้ แต่ว่าเขากระทำอยู่บนความระแวดระวังอยู่ตลอดเวลา

เธอเสร็จไปแล้ว แต่ว่าเขายังไม่เสร็จ หากทว่าเขาเริ่มไม่แน่ใจว่าจะสามารถกระทำต่อได้ เพราะว่าเขาสัมผัสได้ว่าองครักษ์สาวนางหนึ่งกำลังค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ระเบียง ซึ่งจะกล่าวโทษเธอก็คงไม่ได้ เนื่องจากหากมีเรื่องไม่ดีงาม คนที่ต้องรับผิดชอบอันดับแรก ๆ คงไม่พ้นองครักษ์ข้างกายของราชินี

แม็กถอนหายใจด้วยความเสียดาย ก่อนจะจูบปากของราชินีอย่างหนักหน่วงรอบหนึ่ง แล้วค่อยขยับถอนกายออกมาจากสุขสมด้วยความจำยอม จากนั้นจึงค่อยช่วยจัดแจงเสื้อผ้าและทรงผมขององค์ราชินีให้ดูเรียบร้อย ในขณะที่เธอยืนตัวอ่อนระทวยพิงผนังมองดูเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ

เขารีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วทำทีเป็นเดินมาเกาะราวกั้นตรงระเบียง ตรงกับตำแหน่งที่ทหารองครักษ์มองเห็น ซึ่งนั่นเป็นการหลอกหล่อทำให้องครักษ์หญิงคนนั้นรู้สึกผ่อนคลายว่าไม่ได้เกิดเรื่องราวไม่ดีงาม เธอจึงเพียงหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งนั้นไม่ก้าวเดินเข้ามาจนเห็นสภาพขององค์ราชินีที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าผิดปกติ

ราชินีฟารินี่ยืนพิงกับผนังหินครู่ใหญ่ เธอมองดูเขาด้วยดวงตาร้อนแรง แต่ไม่ได้เรียกร้องอะไรอีก เพราะดูเหมือนว่าเธอเองก็รู้ว่าการที่เขาย้ายไปยืนอยู่ตรงนั้น ทำให้องครักษ์หญิงประจำตัวของเธอไม่เข้ามาเห็นสิ่งไม่ดีงาม ราชินีจึงค่อย ๆ รวบรวมสติ ใช้ตลับแป้งและหวีเวทย์มนต์เพื่อสะสางใบหน้าและผมเผ้าของตนเองให้หมดจด ในขณะที่ใช้สองมือจัดแจงเสื้อเนื้อบางให้ดูเรียบร้อย

“เจ้ายังไม่เสร็จสม … อยากทำต่อหรือไม่”

ราชินีที่แต่งกายเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากเงามืด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบากับเขา จากนั้นเธอจึงค่อยรู้สึกใบหน้าร้อนฉ่าเพราะนี่เป็นคำถามที่ไม่สมควรถาม แต่ว่านี่คือสิ่งที่เธอรู้สึกจริง ๆ ไม่ว่าจะพยายามปฏิเสธอย่างไร แต่จิตใจส่วนลึกของเธอนั้นได้วางให้เขาเป็นคนพิเศษในใจไปแล้ว

สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้ว เมื่อมองเขาเป็นคนพิเศษ เธอก็จะแสดงอาการห่วงหาอาทรออกมาโดยไม่รู้ตัว เธอรู้สึกผิดเสียด้วยซ้ำที่เขายังไม่ได้ปลดเปลื้องความใคร่ใส่เข้ามาในร่างกายของเธอ

“อยากทำต่อจะแย่ แต่ถ้ามากกว่านี้อาจจะเสี่ยงเกินไป แค่ทำให้คนรักมีความสุขผมก็พอใจแล้ว”

แม็กตอบด้วยรอยยิ้มอบอุ่น ราชินีจึงยิ่งรู้สึกร้อนวาบในทรวงอก เธอเริ่มรู้สึกว่านี่อาจเป็นสิ่งที่เธอโหยหา แม้จะมีฐานะสูงส่ง หากทว่าเนื้อแท้แล้วเธอก็แค่อยากมีผู้ชายสักคนคอยปกป้องดูแล ใครสักคนที่จะไม่ใจดำไม่แยแสสนใจเธอเหมือนพระราชาซึ่งเป็นสามีในทางสังคมของเธอ

“ราชากีแลนป่วยหนักใกล้จบสิ้นแล้ว ขุมอำนาจในเมืองกำลังจะผลัดเปลี่ยน ข้าที่เป็นราชินีจะมีสิทธิบริหารบ้านเมืองระยะเวลาหนึ่ง ถ้าหากเจ้าสาบานว่าจะทำงานให้มหาอุปราชฟาร์โก้บิดาข้า ข้าจะช่วยให้เจ้าได้ครอบครองพารีสบุตรีของข้า เจ้าอาจจะกลายเป็นเจ้าชาย และมีสิทธิขึ้นเป็นราชา และเมื่อถึงวันนั้นเจ้าจะได้ครอบครองทุกสิ่ง ซึ่งรวมถึงตัวข้าด้วย”

อะไรบางอย่างดลใจให้ราชินีฟารินี่ตัดสินใจบอกสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งยังเสนอสิ่งที่นับได้ว่าไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้วจากมุมมองของเธอ เวลานี้เธอกำลังวาดหวังว่าเทพธนูจะตอบตกลง จากนั้นเธอจะเดินแผนให้เขาได้ครอบครองพารีสอย่างเปิดเผย จนมีฐานะเป็นเจ้าชายคนหนึ่ง และเมื่อเขามีอำนาจทางการเมืองมากพอโดยมีเธอสนับสนุนด้านหลัง ก็จะสามารถสนิทสนมกับเธอได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวว่าใครจะว่ากล่าว

แม็กรับฟังข้อเรียกร้องด้วยความรู้สึกเหมือนสมองพองโต สิ่งที่ถูกเสนอออกมานี้เขาเชื่อว่าน่าจะเป็นภารกิจสำคัญอย่างหนึ่ง และรางวัลของภารกิจนี้น่าจะเป็นการพิชิตใจราชินีผู้เปลี่ยวเหงาไร้คู่รัก รวมไปถึงยังจะได้ครอบครองเจ้าหญิงพารีส รวมไปถึงตำแหน่งทางการเมืองของเลอองนิสต์ด้วยอีกต่อหนึ่ง และอาจเป็นอย่างที่เธอพูดไว้ หากไปตามเส้นทางนี้ได้ตลอด ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้เป็นราชาของเมืองก็เป็นได้

สิ่งนี้คล้ายกับจะเพ้อฝันเกินจริงไปบ้าง แต่เมื่อได้รับการรับรองจากคนระดับราชินี และการผลักดันอย่างลับ ๆ จากเนทีเรียน รวมถึงอาจจะจากเจ้าหญิงพารีสอีกหนึ่งหากทักษะของเขาทำให้ได้ครอบครองเธอ เวลานี้แม็กเชื่อว่าภารกิจไม่ได้ยากจนเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ว่านี่ก็ต้องแลกเปลี่ยนกับอะไรบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นต้องเป็นศัตรูกับแม่ทัพฟาร์อีสต์และเซเฟีย

เท่าที่เขารู้นั้น เมืองเลอองนิสต์มีการแบ่งขั้วอำนาจเป็นสองฝ่ายใหญ่ ๆ องค์ราชาคนปัจจุบันป่วยเจียนตายจึงแทบไม่มีอำนาจจริงจังนัก แต่ก็อยู่เบื้องหลังเจ้าหญิงเรนเน่รัชทายาทอันดับหนึ่ง โดยมีแม่ทัพฟาร์อีสต์ และเซเฟียยืนอยู่ข้างนั้น อีกขั้วการเมืองนั้นก็คือฝ่ายของมหาอุปราชฟาร์โก้ ซึ่งมีองค์ราชินีที่เป็นลูกสาว และเจ้าหญิงพารีสซึ่งเป็นรัชทายาทอันดับสองเป็นหลาน

จากที่เนทีเรียนเล่าให้เขาฟังนั้น ทั้งสองขั้วการเมืองมีอำนาจถ่วงดุลใกล้เคียงกัน ยากจะที่จะตัดสินได้ว่าใครจะได้รับอำนาจในท้ายที่สุด และเมื่อไหร่ก็ตามที่ราชาเสียชีวิต สงครามเย็นก็จะแปรสภาพเป็นการรบอย่างเปิดเผย เวลานี้พวกที่อยู่ตรงกลางจึงต้องรีบเลือกฝ่ายเพื่ออนาคตของตนเอง เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าในสงครามการเมืองนั้น ผู้แพ้ต้องตาย หรือไม่ก็ต้องถูกเนรเทศ

ในช่วงเวลาตึงเครียดเช่นนี้ การปรากฎตัวของเทพธนูที่ถูกร่ำลือว่ามีพลังฝีมือใกล้เคียงกับแม่ทัพในตำนานกลับยิ่งกระตุ้นให้เกิดความปั่นป่วนเร็วกว่าเดิม หากเขาเลือกเข้ากับฝ่ายแม่ทัพฟาร์อีสต์ความได้เปรียบก็อาจจะเอียงไปทางหนึ่ง แต่หากเขาเลือกเข้ากับมหาอุปราชฟาร์โก้ก็จะเอียงไปอีกทางหนึ่ง และนี่คือช่วงจังหวะแห่งความอ่อนไหวทางการเมือง ที่อาจจะทำให้พวกตรงกลางตัดสินใจถมหินลงบ่อเลือกเข้ากับฝ่ายที่ได้เปรียบ

ด้วยเหตุนี้ มหาอุปราชจึงไม่เสียดายกับการพยายามทุ่มทุนเพื่อซื้อตัว ถึงขนาดส่งทหารไปแย่งเชื้อเชิญเทพธนูเข้ามาในวังเพื่อเสริมสภาวะให้กับตนเอง และยังแอบกระจายข่าวลือว่าเทพธนูได้ตัดสินใจอยู่กับมหาอุปราชแล้ว

ข้อมูลอันล้ำค่าจากเนทีเรียนนี้ ทำให้แม็กอยู่ในสภาวะรู้เขารู้เรา เขาทราบว่าตนเองยังห่างชั้นจากแม่ทัพฟาร์อีสต์ก้าวใหญ่ ถึงแม้จะเหนือกว่าทหารทั่วไป อาจจะสู้กับทหารสักสิบคนร้อยคนได้ แต่ก็ไม่ได้ร้ายกาจอย่างในคำร่ำลือ และเขายังทราบว่าคุณค่าของเขาในสายตาคนอื่นนั้นมีความสำคัญอย่างไร ไม่เช่นนั้นราชินีก็คงจะไม่ยอมเสียเวลาหว่านล้อมเขาเช่นนี้

“ถ้าหากมหาอุปราชชนะ ราชินีก็จะกลายเป็นแค่หุ่นเชิดหรือเปล่า … หากชนะแล้ว เมืองแบล็คฟอร์ดส่งกองทัพมา ตอนนั้นจะต้านไหวหรือเปล่า แม่ทัพฟาร์อีสต์จะยังบัญชาการรบหรือเปล่า … หรือว่ามหาอุปราชจะยกเจ้าหญิงพารีสให้กับเจ้าชายวิลเลี่ยมเพื่อเป็นพันธมิตร หรือไม่ก็อาจจะยอมเป็นเมืองขึ้นให้กับแบล็คฟอร์ด โดยแลกกับการให้มหาอุปราชขึ้นเป็นราชา ถึงตอนนั้นราชินีจะอยู่ในสถานะอะไร อย่าว่าแต่ผมที่เป็นศัตรูกับเจ้าชายวิลเลี่ยม”

แม็กคิดวิเคราะห์ไตร่ตรอง ก่อนจะเอ่ยถามประโยคที่ทำให้ราชินีฟารินี่นิ่งอึ้งไปไปครู่ใหญ่ แน่นอนว่าสิ่งที่แม็กพูดนั้นคือจุดอ่อนในแผนฝันหวานที่ราชินีนำเสนอ และนี่ไม่ใช่จุดอ่อนเล็ก ๆ แต่เป็นจุดสำคัญยิ่งยวดที่ถูกปิดบังเอาไว้

ควรทราบว่าเมืองแบล็คฟอร์ดนั้นมีกำลังทหารมากกว่าจนเทียบไม่ติด แต่ว่าเมืองเลอองนิสต์มีแม่ทัพฟาร์อีสต์ซึ่งเป็นแม่ทัพระดับตำนานคอยถ่วงดุลย์เอาไว้ สงครามจึงยังไม่เกิดขึ้น แต่หากมหาอุปราชครองอำนาจ ก็คงเป็นไปได้ยากที่แม่ทัพฟาร์อีสต์จะยังสามารถบัญชาการกองทัพคุ้มครองเมืองได้

โอกาสที่จะเกิดความพ่ายแพ้มีสูงลิบ จึงเป็นไปได้ว่ามหาอุปราชจะซื้อใจเจ้าชายวิลเลี่ยม และเป็นไปได้ว่าจะยกเจ้าหญิงพารีสให้ หรือไม่ก็อาจจะขายเขาทิ้งเพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

“เจ้ามองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้ว ข้ารับรองว่าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นเด็ดขาด”

ราชินีฟารินี่แสดงสีหน้าลำบากใจขณะพยายามพูดหว่านล้อม และแม็กรู้สึกว่าเธอไม่ได้คิดจะหลอกลวงเขาเสียทีเดียว เพียงแต่ประเด็นสำคัญก็คือเขาเชื่อว่าหากราชาจากไปแล้ว องค์ราชินีฟารินี่ก็จะอยู่ในสถานะที่ไม่ได้อำนาจชี้เป็นชี้ตายเช่นในปัจจุบัน และเธอเองก็ดูจะยังไม่ได้ตระหนัก หรืออาจจะพยายามหลับหูหลับตาไม่คิดถึงความจริงข้อนี้เท่าที่ควร

“ผมมองโลกตามความเป็นจริง ผมมองเห็นความจริงข้อหนึ่งที่ทุกคนพยายามหลับตามองข้าม การช่วงชิงทางการเมืองของเลอองนิสต์ สุดท้ายคนที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่เจ้าหญิงเรนเน่ หรือมหาอุปราชฟาร์โก้ แต่ว่าเป็นเมืองแบล็คฟอร์ดที่จะได้ครอบครอบทุกอย่าง ขณะที่ทุกคนฟาดฟันกันจนบาดเจ็บอ่อนเปลี้ย ในตอนท้ายเมืองแบล็คฟอร์ดจะทุ่มทหารออกมาเก็บกวาดทุกอย่างไว้ในมือ คนอย่างเจ้าชายวิลเลี่ยมจะต้องยึดครองเจ้าหญิงเรนเน่ เจ้าหญิงพารีส รวมถึงราชินีฟารินี่เป็นทาสบำเรอใคร่อย่างแน่นอน ถึงวันนั้นราชินีอยากแก้ไขอะไร ก็คงทำไม่ได้แล้ว”

แม็กหันไปมองและกล่าวเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมต้องการครอบครองราชินีและเจ้าหญิงพารีสอย่างที่เธอเสนอ หากทว่าเขาทราบดีว่านั่นเป็นแค่การหวังผืนหนังจากเสือร้ายที่ไม่มีวันได้รับ และเขาจะไม่เดินตามเกมของคนอื่นเด็ดขาด

“… แสดงว่าเจ้าไม่ยอมรับข้อเสนอใช่หรือไม่?”

ราชินีฟารินี่สะท้านไปวูบหนึ่งเหมือนจะยอมรับความจริงข้อนี้ หากทว่ายังคงหันมาส่งเสียงกราดเกรี้ยวไม่พอใจ แม็กจึงเดาว่าเธอน่าจะยังมีอะไรบางอย่างที่เขายังไม่รู้ และอะไรบางอย่างนั้นทำให้เธอพยายามมองข้ามความจริงข้อนี้ไป

“ผมไม่เดินตามเกมของใคร ผมจะไม่แสดงตัวว่าอยู่ฝ่ายมหาอุปราช และจะไม่ช่วยเหลือฝ่ายเจ้าหญิงเรนเน่ แต่ผมสาบานว่าจะปกป้องราชินีอย่างที่เคยบอกไว้ ผมจะเป็นฝ่ายคุมเกมทุกอย่างเอาไว้เอง แล้ววันหนึ่งผมจะปล่อยราชินีออกจากกรงทองที่พันธนาการอยู่ วันนั้นราชินีจะได้รับอิสรภาพที่แท้จริง และยังคงสามารถอยู่ในชนชั้นสูงได้ ถ้าหากราชินีเชื่อผมก็อย่ารีบบีบคั้นให้ผมเลือกฝ่าย และแสดงท่าทีกับผมเหมือนก่อนหน้านี้ แต่ถ้าหากไม่เชื่อผมคงจะโดนมหาอุปราชสั่งฆ่า และเรื่องราวจะไปยังจุดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ตลอดกาล”

แม็กไม่สะทกสะท้านกับท่าทีเกรี้ยวกราดนั้น เขาเพียงมองดูเธอด้วยแววตาอบอุ่นเวทนา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังจริงจัง และนั่นทำให้ร่างของราชินีถึงสั่นสะท้านหอบหายใจหนักหน่วง เพราะว่าทางเลือกของเขานั้นดูเลื่อนลอยเกินไป หากทว่าในความเลื่อนลอยนั้นกลับมีสิ่งที่เธอหวังมากที่สุดอย่างหนึ่ง เธอเพียงแค่อยากออกไปจากกรงทองที่แสนห่อเหี่ยวไม่น่าพิศมัยนี้ เธอไม่ต้องการโดนตำแหน่งราชินีเป็นโซ่ตรวนจนไร้ความสุข แต่ก็ยังอยากที่จะเดินเฉิดฉายอยู่ในสังคมชั้นสูงเช่นที่เคยเป็น

สีหน้าของราชินีฟารินี่ทำให้แม็กรู้ว่าเธอกำลังเกิดความคิดขัดแย้งรุนแรง เขาเดาได้ว่าเธอต้องได้รับคำสั่งจากมหาอุปราชมาเร่งรัดให้เขาแสดงท่าทีว่าจะเข้ากับฝ่ายใด และเธอเองก็เริ่มเอนเอียงมาทางเขาเพราะความหลงใหลจนยอมยื่นข้อเสนอที่ดีงามสำหรับเธอเองแล้ว แต่ว่าเขากลับยังคงไม่แสดงท่าทีตอบรับ

หากราชินีไปรายงานเรื่องนี้กับมหาอุปราชอย่างตรงไปตรงมา เขาเชื่อว่าคนใจแคบและหวงอำนาจอย่างมหาอุปราชจะต้องเปลี่ยนแปลงท่าทีเป็นวางแผนสังหารเขาอย่างแน่นอน เพียงแต่เขากลับเชื่อว่าราชินีจะไม่ทำแบบนั้น เพราะเขารับรู้ได้ว่าเธอเองก็ไม่เชื่อมั่นในแผนการของมหาอุปราชผู้เป็นบิดา ทั้งยังโดนคารมของเขากล่อมให้เห็นสิ่งที่เธออยากได้ที่สุดอย่างหนึ่ง

ราชินีจ้องมองดูเขาโดยไม่พูดไม่จาอะไรอีกครู่ใหญ่ ในขณะที่เขาเองก็มองตอบกลับไปเพื่อแสดงความจริงใจ ผ่านไปไม่นานนักสายตาเกรี้ยวกราดของราชินีจึงค่อยสงบลง แววตาที่เธอมองมานั้นมีความรู้สึกคาดหวัง ลังเล สับสน ไม่แน่ใจผสมปนเปกันอยู่ และท้ายที่สุดเธอก็เลือกที่จะหมุนตัวแล้วเดินชดช้อยจากไปด้วยท่วงท่าราวกับนางพญาหงส์ทิ้งให้แม็กยืนอยู่ที่ระเบียงเพียงลำพัง

แม็กมองเงาหลังของราชินีที่เดินกลับเข้าไปด้านในโดยไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน เขาเชื่อว่าในระยะเวลาอันสั้นนี้ราชินีจะยังฝากความหวังไว้กับแผนอันเลื่อนลอยของเขา เธอจะไม่บอกเรื่องนี้กับมหาอุปราช เพราะเธอเองก็หวาดกลัวการสู้รบแตกหักอยู่เช่นกัน ดังนั้นเขาน่าจะยังมีเวลาให้ทำอะไรได้อีกพอสมควร ส่วนค่ำคืนนี้เขาจะโยนเรื่องหนัก ๆ ทิ้งไปก่อน เพื่อจะได้พลอดรักกับเตียวเสี้ยนและเหล่าสาวงามสกุลเทียนที่ห่างหายมานาน

อย่างไรก็ตามเขายังไม่ทันได้เดินกลับเข้าไปด้านใน ก็สัมผัสได้ว่ามีใครคนหนึ่งเดินออกมาหาเขาที่ด้านนอกระเบียงเพียงลำพัง และใครคนนั้นก็เป็นคนที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าเธอจะออกมาหาเขา

“คุณหนูแซนดี้ ออกมารับลมหรือเปล่า?”

แม็กเอ่ยปากทักสาวสวยผมสีน้ำตาลในชุดราตรีหรูหราสีเหลือง เธอคนนี้คือแซนดี้หนึ่งในห้าสาวงามประจำเมือง และเป็นลูกสาวคนเดียวของรัฐมนตรีคลังแห่งเมืองเลอองนิสต์ ส่วนที่น่าแปลกใจก็คือเมื่อครู่เขาแทบไม่ได้สนทนากับเธอโดยตรง แต่ตอนนี้เธอกลับแสดงท่าทีว่าอยากออกมาสนทนากับเขา อีกทั้งยังจงใจเดินไปหยุดยืนอยู่ในตำแหน่งมุมมืดที่มองจากห้องโถงด้านในออกมาไม่เห็นอีกด้วย

“ไม่หรอกค่ะ ข้าเพียงมีคำถามบางอย่างอยากถามสักสองข้อ”

แซนดี้ซึ่งมีอายุราวยี่สิบมองดูเขาด้วยดวงตาสีน้ำตาลแล้วยิ้มที่มุมปาก ท่าทีของเธอที่แสดงออกมานั้นไม่ได้ห่างเหินเกินไป และไม่ได้ใกล้ชิดเกินไป คล้ายจะพยายามขีดเส้นกั้นเอาไว้เช่นนั้น นั่นทำให้แม็กเชื่อว่าแซนดี้คนนี้ไม่ได้เป็นเพียงคุณหนูไร้เดียงสา หากทว่าเป็นหญิงสาวชนชั้นสูงที่เฉลียวฉลาดไม่น้อย

“คุณหนูมีคำถามอะไร”

“ข้อแรก คุณอยู่ฝ่ายมหาอุปราชฟาร์โก้ หรือว่าอยู่ฝ่ายเจ้าหญิงเรนเน่”

แซนดี้มองตาเขาด้วยดวงตาสีน้ำตาลนั้น แล้วถามออกมาอย่างตรงไปตรงมา ท่าทีไม่อ้อมค้อมนั้นทำให้แม็กมึนงันไปวูบใหญ่ เขาไม่ทราบว่าควรตอบคำถามที่ตรงประเด็นจนเกินไปเช่นนี้อย่างไรดี

แน่นอนว่าเขาสามารถตอบอ้อมค้อมเล่นลิ้นหรือโกหกได้ เช่นตอบว่าอยู่ฝ่ายเดียวกับแซนดี้ หรือพูดเฉไฉไปเรื่องอื่น แต่ด้วยสัญชาตญาณของเขานั้น เขาเชื่อว่าคำตอบแบบนั้นมีแต่จะทำให้แซนดี้ดูถูกดูแคลน และนั่นน่าจะเป็นวัตถุประสงค์หลักของคำถามนี้ เธอไม่ได้คาดหวังคำตอบว่าเขาอยู่ฝ่ายไหน แต่คาดหวังที่จะได้เห็นว่าเขาเป็นคนอย่างไรเสียมากกว่า

“ผมอยู่ฝ่ายตัวเอง”

“ฝ่ายตัวเองเหรอคะ?”

“ใช่ครับ ฝ่ายตัวเอง ผมจะไม่ทำร้ายใคร แต่หากใครคิดทำร้ายผมและคนของผม ผมก็จะเป็นศัตรูกับฝ่ายนั้น”

แม็กเลือกตอบตามความเป็นจริง ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาคิดจริง ๆ เวลานี้เขายังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะเข้ากับใคร และเขาเองก็ไม่ได้คิดจะไปทำร้ายใครก่อน

คุณหนูแซนดี้แสดงท่าทีแปลกใจเล็กน้อยกับคำตอบนี้ ดูเหมือนว่าเธอเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน เพียงแต่ไม่นานนักสาวงามชนชั้นสูงผู้นี้ก็ยิ้มแย้มคล้ายพึงพอใจในคำตอบ เพียงแต่ที่แม็กไม่แน่ใจก็คือนั่นเป็นเพียงการแสดงหรือไม่

“ในรายงานข่าวบอกว่า จุดเด่นของเทพธนูคือการต่อสู้ และมีใบหน้าหล่อเหลาสามารถล่อลวงสตรีได้ แต่ข้ากลับคิดว่าจุดเด่นของท่านกลับเป็นความปราดเปรื่องที่เก็บงำเอาไว้”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”

“คำตอบเมื่อครู่ แสดงให้เห็นว่าท่านล่วงรู้สถานการณ์ของการเมืองเป็นอย่างดี รวมถึงท่านได้มีเป้าหมายอยู่ในใจแล้ว เพียงแต่ท่านไม่ยอมเปิดเผยเป้าหมายของท่านออกมา”

“หือ? พูดแค่นั้น มันแปลความหมายได้ขนาดนั้นเลยเหรอ”

แม็กขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะดูเหมือนว่าคุณหนูแซนดี้จะสามารถอ่านความคิดของเขาออกไม่น้อย และนั่นไม่น่าจะเป็นผลดีกับตัวเขามากนัก เนื่องจากเขาเองยังไม่แน่ใจว่าแซนดี้อยู่ฝ่ายไหนกันแน่

“คิก คิก ท่านเป็นคนน่าสนใจจริง ๆ ข้าต้องคาดคั้นทรมาณนางเสียนานกว่าที่ลิลลี่จะยอมเล่าให้ข้าฟัง อ้อ เวลานี้ลิลลี่ผู้หญิงของท่านอยู่ที่คฤหาสน์ของข้าเอง”

แซนดี้ส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ก่อนจะกล่าวประโยคที่ทำให้แม็กแตกตื่นจนแทบเก็บอาการไม่อยู่ ความสัมพันธ์ของเขากับลิลลี่สาวสวยร้านเสื้อผ้านั้นควรจะยังไม่มีคนทราบมากนัก ยกเว้นก็แต่เพียงพวกสตรองและสมุนทั้งสอง ดังนั้นการที่แซนดี้ล่วงรู้ได้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ปกติธรรมดาอย่างที่สุด

เรื่องนี้อาจเป็นไปได้ว่าพวกสตรองเปิดเผยข่าวออกไป หรือไม่ก็เป็นตัวลิลลี่เอง หากทว่าเรื่องเหล่านี้ดูจะไม่ค่อยสำคัญนัก เพราะในประโยคคำพูดของแซนดี้นั้นคล้ายจะสื่อว่าลิลลี่ถูกควบคุมตัวอยู่ที่คฤหาสน์ของเธอ และเธอยังใช้คำว่าคาดคั้นทรมาณถาม ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องดีงามอย่างแน่นอน

เพียงนึกว่าลิลลี่โดนจับไปทรมาณ ความฉุนเฉียวไม่พอใจก็พวยพุ่งออกมา พร้อมกับมือขวาที่ยื่นออกไปในลักษณะของกรงเล็บคว้าเข้าที่ลำคอขาวผ่อง ลมปราณมารฟ้าเจ็ดวิถีซึ่งตอบสนองดีเยี่ยมกับความคิดด้านลบจึงแผ่ปราณอาถรรพ์ออกมากดดันใส่แซนดี้ หากทว่าจำกัดเอาไว้แค่เพียงแซนดี้เพียงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นที่อยู่ด้านในจึงสัมผัสไม่ได้ รวมถึงมองไม่เห็นเหตุการณ์ที่เขาบีบคอแซนดี้เอาไว้ เพราะอยู่ในตำแหน่งที่มีกำแพงบังอยู่

ความรวดเร็วและเงียบเชียบของท่วงท่าทำให้แซนดี้เบิกตากว้างตื่นตกใจ เพียงพริบตาเดียวก็รู้สึกเจ็บปวดตึงวูบที่ลำคอจนหายใจไม่สะดวก จากนั้นร่างงามในชุดราตรีสีเหลืองก็โดนผลักดันไปจนแผ่นหลังกระแทกชนกับผนังกำแพงดังตุ้บ

“เกิดอะไรขึ้นกับลิลลี่?”

แม็กเค้นถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา จิตสังหารของปราณมารฟ้านั้นเย็นเยียบเสียดแทงไปถึงกระดูกจนแซนดี้หน้าซีดตัวสั่นสะท้าน ดวงตาคู่สวยนั้นเบิกกว้างมองเขาคล้ายกับไม่เคยเห็นสิ่งใดน่าหวาดกลัวเท่านี้มาก่อน

“แค่ก แค่ก … ท่านจะทำอะไร ใจเย็นก่อน”

แซนดี้ที่ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำพยายามส่งเสียงพูดกระท่อนกระแท่น เพราะโดนบีบเค้นลำคอเอาไว้ ตอนนี้แม็กจึงค่อยพยายามข่มใจเย็นและคลายมือออกเล็กน้อย เพื่อให้เธอหายใจหายคอได้ เพียงแต่ยังคงค้างอยู่ในท่วงท่าที่สามารถลงมือจัดการกับคุณหนูคนสวยคนนี้ได้ในทันทีหากจำเป็น

“ลิลลี่อยู่ที่ไหน?”

“ข้าก็บอกแล้ว ว่านางอยู่ที่คฤหาสน์ของข้าเอง”

“ลิลลี่เป็นยังไงบ้าง ใครทำร้ายอะไรเธอหรือเปล่า”

“นางปลอดภัยดี นางกำลังวัดสัดส่วนเตรียมตัดเย็บเสื้อผ้าให้พ่อแม่ของข้า ไม่มีใครทำร้ายนางหรอก เพราะนางเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็กของข้า ปล่อยข้าได้หรือยัง”

คำตอบของแซนดี้ทำให้แม็กงงงันวูบ ท่าทางของแซนดี้คล้ายไม่ได้โกหก ดูเหมือนลิลลี่จะไม่ได้รับอันตรายอะไร เธอเพียงแค่ไปทำงานตัดเย็บตามปกติของเธอเท่านั้น เพียงแต่คำถามสำคัญก็คือแซนดี้รู้มากขนาดไหน

หากลิลลี่ไม่ได้เป็นทาสของเขา อาจเป็นไปได้ว่าแซนดี้คงได้ข้อมูลทั้งหมด เพราะความสนิทสนม แต่เมื่อเป็นทาสของเขา คำสั่งที่เขาสั่งเอาไว้จึงกลายเป็นสิ่งที่ขัดขืนไม่ได้ เขาเคยสั่งลิลลี่ไว้ว่า ห้ามพูดเรื่องที่เขารักษาพ่อแม่ของเธอ รวมถึงเรื่องที่เขามาซื้อเสื้อผ้าสีดำ เรื่องเหล่านี้จึงน่าจะไม่ได้หลุดออกไปจากปาก

“เมื่อครู่เธอบอกว่าคาดคั้นทรมาณลิลลี่ใช่มั้ย”

“ก็ใช่ ลิลลี่น่ะบ้าจี้มาตั้งแต่เด็ก เอานิ้วจี้ ๆ ให้หัวเราะหน่อย ถามอะไรก็ยอมบอกแล้ว ข้าเห็นนางอมยิ้มมีความสุขแต่ไม่ยอมบอกว่าเรื่องอะไร ข้าก็เลยจัดการคาดคั้นชุดใหญ่ นางจึงค่อยยอมเล่าเรื่องที่กลายเป็นผู้หญิงของเทพธนูให้ฟัง”

แซนดี้ขมวดคิ้วตอบและเร่งรัดให้เขาปล่อยมือออก แม็กจึงคลายมือออกอีกเล็กน้อยแต่ยังคงค้างมือเอาไว้บนลำคอของเธอเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน อารมณ์เย็นเยียบพร้อมจะฆ่าคนของเขาลดลงจนอยู่สภาวะปกติแล้ว ปราณมารฟ้าเจ็ดวิถีจึงหยุดแผ่พลังออกมากดดัน สีหน้าซีดเซียวของแซนดี้จึงดีขึ้นมาไม่น้อย

“เธอเป็นเพื่อนสนิทของลิลลี่งั้นเหรอ”

“ใช่ซิ เราสองคนน่ะโตมาด้วยกัน แอบหนีเที่ยวด้วยกันก็บ่อย ช่วงที่พ่อแม่ของลิลลี่ป่วย ข้านี่แหละที่ช่วยเหลือให้เงินเธอไว้ดูแลรักษาพ่อแม่ แถมยังช่วยตามหาหมอมาดูอาการอีก”

เธอตอบด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็ดูน่าเชื่อถือ แม็กจึงเริ่มเชื่อ แต่เขายังไม่ยอมปล่อยมือง่าย ๆ เพราะเขากำลังแอบเรียกใช้ทักษะหยั่งรู้สภาพ ซึ่งเป็นทักษะระดับสิบดาวเพื่อตรวจดูข้อมูลของแซนดี้

ชื่อ : แซนดี้ เผ่าพันธ์ : มนุษย์ ระดับ : 215 คลาส: 2
อายุ: 19 ปี 4 เดือน ส่วนสูง: 166cm น้ำหนัก: 40kg สัดส่วน: 35-24-36
พลังชีวิต : 130,000 / 130,000
พลังเวทย์ : 54,000 / 54,000
ความแข็งแกร่ง : 34
ความคล่องแคล่ว : 87
ความอดทน : 43
ความฉลาด : 178
ความแม่นยำ : 116
ความโชคดี :179
อาชีพ: Merchant (แม่ค้าคลาส 4), Jeweller (ช่างอัญมณีคลาส 4)
ตำแหน่ง : ประธานกลุ่มสมาคมพ่อค้าแม่ค้าแห่งเมืองเลอองนิสต์

ประวัติ:

แซนดี้เป็นบุตรีโทนของตระกูลพ่อค้าอันดับหนึ่งในเมืองเลอองนิสต์ มารดาของเธอเป็นชนชั้นสูง เธอเติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่นมีความสุข หากทว่าก็เต็มไปด้วยความเข้มงวดจากบิดาและมารดาเพื่อให้สามารถอยู่รอดในสังคมซึ่งเต็มไปด้วยการแก่งแย่งได้

แซนดี้ร่ำเรียนสืบทอดวิชาการค้าและการทำอัญมณีจากผู้เป็นบิดาด้วยความตั้งใจ บวกกับแรงผลักดันสนับสนุนจากผู้เป็นบิดาและมารดา ทำให้แซนดี้กลายเป็นประธานใหญ่ของกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าของเมืองเลอองนิสต์ และนั่นคือตำแหน่งที่เธอรู้สึกภาคภูมิยิ่ง

ตัวเลขกำไรของสมาคมพ่อค้าเป็นหลักฐานยืนยันความสามารถทางด้านการค้า แม้แต่ความสามารถในการเจียระนัยอัญมณีที่ยอดเยี่ยมนั้นก็ไม่เป็นสองรองใครในเมืองเลอองนิสต์ ทำให้เธอกลายเป็นหญิงสาวที่ถูกเหล่าชนชั้นสูงหมายปองแต่งงานเป็นเครือญาติ


แม็กพยายามกวาดตาอ่านข้อมูลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากลำคอนุ่มนิ่ม เขามองไม่เห็นข้อมูลที่เชื่อมต่อกับลิลลี่ในข้อความเหล่านี้ หากทว่าสิ่งที่ได้อ่านทำให้เขารู้สึกได้ว่าแซนดี้น่าจะไม่ใช่ศัตรู

“ขอโทษที เข้าใจผิดกันนิดหน่อย”

เขายืนยิ้มแห้ง ๆ พร้อมกับกล่าวขอโทษ ขณะที่คุณหนูแซนดี้กำลังขมวดคิ้วมองดูเขาด้วยท่าทีหงุดหงิด แต่ก็ไม่ถึงกับโกรธเกรี้ยวไม่พอใจ เธอดูจะเข้าใจในสิ่งที่เขาทำ เพียงแต่ยังรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง และเวลาเดียวกันนั้นเขาได้สังเกตเห็นว่าแววตาของเธอกำลังยิ้มคล้ายพึงพอใจยิ่ง

“ฮึ ถ้าเอาไปบอกลิลลี่คงดีใจแย่ เทพธนูเล่นแสดงท่าทางเป็นห่วงอย่างออกนอกหน้าถึงขนาดพร้อมฆ่าคนซะขนาดนี้”

“ช่วยไม่ได้นี่นา ก็อยากใช้คำพูดให้เข้าใจผิดเอง”

“ยังจะมาแก้ตัวอีก เงียบไปเลยนะ เดี๋ยวเถอะ สงสัยจะบีบซะจนคอเป็นรอยแดงหมดแล้วมั้งเนี่ย เดี๋ยวคนอื่นเห็นเข้าจะแก้ตัวยังไงล่ะ”

แซนดี้ส่งเสียงดุใส่พร้อมกับใช้มือนวดเฟ้นไปตามลำคอขาวเนียน ซึ่งเวลานี้มีรอยแดงจ้ำเป็นรูปฝ่ามือให้เห็นได้อย่างชัดเจน แม็กจึงรู้สึกผิดต่อสาวสวยที่ดุเหมือนนางแมวคนนี้ขึ้นมาอีกหน่อย

“ขอโทษ ๆ เดี๋ยวจัดการให้ก็ได้ ขออนุญาตินะ”

แม็กพยายามแก้ไขความผิดของตัวเองด้วยการเอื้อมมือไปที่ลอคำของแซนดี้อีกครั้ง เธอจึงสะดุ้งโหยงวูบหนึ่งเพราะเพิ่งโดนบีบคอไปหมาด ๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนต่อต้านนอกจากการยืนนิ่ง ๆ แล้วมองดูเขาด้วยดวงตาสีน้ำตาลมากเสน่ห์

เขายิ้มให้เพื่อแสดงท่าทีว่าไม่ได้คิดร้าย จากนั้นจึงขยับนิ้วมือวาดอักขระแสงร่ายเวทย์รักษาจนเกิดแสงสีเงินอ่อนจางบนฝ่ามือ แล้วจึงค่อยยื่นมือไปแตะสัมผัสแผ่วเบาที่รอยแดงบนลำคอของแซนดี้ และตอนนี้เองที่เขาเริ่มสใจมองดูร่องอกล้ำลึกที่เบียดชิดกันอย่างแนบแน่นของแซนดี้

แซนดี้สะดุ้งสะท้านแผ่วเบากับสัมผัสอ่อนโยนอบอุ่นที่ลำคอ เวทย์มนตร์รักษานั้นทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นสบายหายเจ็บปวด เธอยกมือนุ่มขึ้นจับข้อมือของเขา แล้วลืมตากลมโตมองดูเขาด้วยความตื่นตระหนกสงสัย ตอนนี้แม็กจึงรู้สึกว่าตนเองพลาดพลั้งเปิดเผยข้อมูลตัวเองมากเกินไป ทีแรกนั้นเขาตั้งใจว่าจะไม่แสดงให้คนอื่นรู้ว่าเขามีความสามารถของนักบวชด้วยซ้ำไป

อย่างไรก็ตามเมื่อพลั้งเผลอไปแล้ว ก็ได้แต่จัดการรักษาต่อให้จบ เพียงแต่ตอนนี้เขากลับเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาเสียแล้วว่าทำไมแซนดี้จึงหน้าแดงก่ำแสดงสีหน้าเอียงอายขัดเขินขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“คนเลว”

อยู่ดี ๆ เธอก็พึมพำด่าทอเขาทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ แม็กจึงยิ่งงุนงงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หากจะบอกว่าเป็นเพราะเขาแอบมองดูร่องอกก็คงไม่ใช่ เพราะเธอเองไม่ได้มีท่าทียกมือขึ้นมาปิดป้อง หรือหากจะบอกว่าเป็นเพราะเขาแตะสัมผัสกับคำของเธอก็ดูจะเป็นปฏิกิริยาที่รุนแรงเกินไป

“อะไร?”

แม็กถามกลับแบบตรง ๆ เพราะรู้สึกว่าแซนดี้เป็นคนประเภทที่ชอบพูดจาตรงไปตรงมามากกว่า หากทว่าเธอก็ยังคงอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบคำอยู่อีกครู่ใหญ่ จากนั้นเธอจึงค่อยมองค้อนใส่เขาพร้อมกับยื่นนิ้วมาแตะลูบที่ลำคอของเขา ก่อนจะยกขึ้นมาให้เขาเห็นคราบสีแดงสดที่ติดอยู่บนปลายนิ้วของแซนดี้

ทีแรกนั้นแม็กยังไม่เข้าใจเรื่องราว แต่เมื่อลองมองดูที่ปลายนิ้วของแซนดี้ดี ๆ แล้วก็ต้องใจหายวาบ เพราะว่านั่นน่าจะเป็นรอยสีแดงจากริมฝีปากของราชินีฟารินี่ และนั่นน่าจะเป็นรอยจูบที่ฝากค้างเอาไว้บนลำคอของเขา

“รอยจูบบนลำคอนี่เป็นสีเดียวกับริมฝีปากขององค์ราชินี อีกทั้งข้ายังได้กลิ่นน้ำหอมของราชินีติดฟุ้งอยู่เต็มตัวเจ้า … หากไม่เรียกเจ้าเป็นคนเลวแล้วจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าว่าอะไร”

…………………..

Share the Post:

Related Posts

เมียสวิงกับฝรั่ง ควยอันใหญ่เข้าไปอยู่ในจิ๋มเธอทั้งอันเลย

เรื่องเสียว เมียสวิงกับฝรั่ง ควยอันใหญ่เข้าไปอยู่ในจิ๋มเธอทั้งอันเลย คือผมกับแฟนผมเธอชื่อรัตนา เราสองคนมักจะคุยเรื่องเซ็กส์กันเป็นประจำ เพราะเราเห็นว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่เป็นแฟนกัน และเราก็มักจะหาโอกาสไปมีเซ็กส์กันตามที่ต่างๆอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นโรงภาพยนตร์ ลานจอดรถ หรือแม้แต่ในที่ทำงาน โดยเฉพาะตามที่สาธารณะ มันทำให้รู้สึกตื่นเต้นดีเวลาที่มีเซ็กส์กันเพระต้องคอยลุ้นว่าจะมีใครเห็นหรือปล่าว ผมเคยถามแฟนผมว่า รู้สึกอย่างไรกับควยฝรั่ง เธอตอบว่า มันใหญ่และก็ยาวด้วยดูน่ากลัว คิดว่าเอาเข้าจิ๋มเธอไม่ได้แน่นอน ผมถามเธออีกว่าอยากเห็นของจริงๆ มั้ย และถ้าเห็นแล้วจะกล้าจับหรือปล่าว

Read More

เดี๋ยวพ่อจะสอนให้

เรื่องเสียว เดี๋ยวพ่อจะสอนให้  ชีวิตของผม คงเป็นชีวิตที่บ้าจริงๆ อีกคนนึง ครอบครัวผมมีแฟน ผมลูกสามคน หมาตัวนึง วันนึงเมียผมได้รับคนใช้มาเพิ่ม เป็นเด็กสาว 18 น่ารักดีมากเลย แฟนผมว่า เธอน่าสงสารมาก พ่อแม่ตาย ญาติไม่มี คุณช่วยเลี้ยงเด็กคนนี้เถอะ ปกติผมกับแฟนน่ะซาดิสม์ ชอบอะไรๆแบบพิเศษ อิอิได้เด็กมาคนจะเหลือเหรอ

Read More