ศึกสองนางพญา ตอนที่ 4 องค์หญิงเจ้าปัญญา
เฉาฮั่วฉุนปั้นหน้าเคร่งเครียด โบกมือคราหนึ่ง เหล่าองครักษ์พิทักษ์ตึกก็ล่าถอยออกจากห้องเหลือเพียง จั่วหวินหลิง
“บิดา เรื่องนี้ระแวงสงสัยว่าเป็นฝีมือขององค์หญิงเจาเหยิน พวกเราสมควรเคลื่อนไหว แล้ว”
“เจาเหยินผู้นี้ชอบจับดาบควงกระบีแต่เล็ก เคยกราบอาจารย์เลิศล้ำ ซ้ำนางกำนัลก็มีวิทยายุทธมิใช่ชั่ว หากคิดจัดการนางควรวางแผนให้รอบคอบ”
“อย่างนั้นบิดาเห็นควรทำอย่างไร”
“เช้าวันพรุ่งนี้เราจะเข้าเฝ้า บีบบังคับฉุงเจินสอบสวน เรื่องนี้”
คนผู้นี่ถือดีกุมอำนาจล้นฟ้า บังอาจเรียกพระนามฉุ งเจิน
ฮ่องเต้ตรงๆ
จั่วหวินหลิงกลอกตากล่าว
“บิดา องค์หญิงเจาเหยินมีวิทยายุทธ แต่ความคิดอ่านยังเป็น เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไม่เป็นที่น่าวิตก”
“เฮอะ หรือจะเลิกราในลักษณะนี้..ทำไม่ได้เด็ดขาด”
“บิดา ครั้งนี้เราจะละเว้นองค์หญิงเจาเหยิน แล้วป้ายความผิดไปยังสื่อเข่าฟ่า บีบบังคับให้ฮ่องเต้ประหารชีวิตมัน”
เฉาฮั่วฉุน ฉุกใจคิดแหงนหน้าหัวร่อกล่าว
“เจ้าสิบสี่มีมันสมองจริงๆ ตอนนี้พวกเรามีพยานหบัก ฐานกับมือ ฉุ งเจินหากไม่สำเร็จโทษสื่อเข่อฝ่าก็ต้องเสียสละเจาเหยิน แต่ฉุงเจินปกป้องนัง กะหรี่น้อยต้องไม่ทำเช่นนี้แน่นอน เต่เยี่ยงนี้เท่ากับปล่อยปละเจาเหยินแล้ว”
“บิดา ซึ่งความจริงในวังหลวงยังมีคนผู้หนึ่งน่ากลัวกว่าองค์ หญิงเจาเหยินสิบเท่า พวกเราสมควรทุ่มเทกำลังทั้งหมดจัดการนางจึงถูกต้อง”
“เจ้าหมายถึงผู้ใด”
“องค์หญิงฉางผิง”
ฉางผิงกงจู้ เป็นราชธิดาองค์โตของฉุงเจินฮ่องเต้
………………………………………………………………………..
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉุงเจิงฮ่องเต้ในชุดฉลอง พระองค์ลายมังกร เสด็จว่าราชการ ณ ท้องพระโรงใหญ่ โดยมีฉางผิงกงจู้ตาม เสด็จ
ฉุงเจิงฮ่องเต้ประทับนั่งบนบัลลังก์มังกร
องค์หญิงฉางผิงประทับอยู่ด้านข้าง นางเกล้าผมเป็นมวยสูง ประดับมุกมณีแพรวพราย มีสิริลักษณ์หมดจดงดงาม สมกับที่เป็นราชนิกูลสูงศักดิ์โดยแท้จริง
ยามนี้ฉางผิงกงจู้สวมใส่อาภรณ์แพรสีขาว ปกเสื้อปักรูปหงส์สี คราม ยิ่ง ขับเน้นลักษณะราศีของนางจนสูงส่งสุดอาบเอื้อม
ฉุงเจินฮ่องเต้รับสั่งว่า
“ท่านทั้งหลายมีเรื่องใดให้กราบทูล ไม่มีเรื่องก็เลิก ประชุม”
เฉาฮั่วฉุนในเครื่องแบบขันทีเต็มยศ มือโบกแส้ปัดคุกเข่า ถวายบังคม
“ข้าพระองค์เฉาฮั่วฉุนถวายบังคมฮ่องเต้”
ฉุงเจินรับสั่งให้ลุกขึ้น เฉาฮั่วฉุนยืดกายขึ้นกราบทูลว่า
“ขอเดชะ เมื่อคืนปรากฏคนร้ายลอบเข้าคฤหาสน์เรา คิดประทุษร้ายข้าพระองค์ ด้วยพระบารมีปกเกล้า คนร้ายถูกจับกุมน่าเสียดายที่ชิงฆ่าตัว กายก่อน”
“คิดไม่ถึงในนครหลวงมีคนบังอาจปานนี้ เฉากงกงวางใจ ข้าจะสืบสาวเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด”
“มิต้องให้ฮ่องเต้กังวลพระทัย ข้าพระองค์สืบทราบแล้ว”
ฉุงเจินตรัสโพล่งว่า
“เป็นผู้ใด”
“เป็นสมุหกลาโหมเมืองนางกิง…สื่อเข่อฝ่า ขอให้ฮ่องเต้ทรงลงอาญา ตัดสินประหารชีวิตเพื่อ มิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป”
ฉุงเจินฮ่องเต้ตรัสตะกุกตะกักว่า
“นี่..ข้าจะสืบสาวเรื่องนี้…”
“หลักฐานแน่ชัดไม่ต้องสืบสาวให้เสียเวลา แล้ว” เฉา ฮั่วฉุนพูดเสียงเด็ดขาด
ฉุงเจินฮ่องเต้มีพระพักตร์บึ้งตึง
ฉางผิงกงจู้พลันตรัสว่า
“ผู้ฆ่าคนต้องตาย อย่าว่าแต่คนบงการยิ่ง สมควรตาย พระบิดา ขอพระองค์ประทานความตายแก่สื่อเข่อฝ่า”
ฉุงเจินฮ่องเต้ได้แต่ตรัสว่า
“เฉากงกง เรื่องนี้มอบให้ท่านจัดการเถอะ”
เฉาฮั่วฉุนค่อยรับพระราชกระแสด้วยความสบใจ
………………………………………………………………………..
ฉุงเจินฮ่องเต้ เสด็จกลับเข้าห้องทรงพระอักษร รับสั่งต่อฉางผิงกงจู้ว่า
“ตอนนี้ สื่อเข่อฝ่าเป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อข้าที่สุด เจ้าไฉนให้ข้าประหาร ชีวิตมัน”
“นี่เป็นแผนถ่วงเวลาของผู้บุตรตางหาก”
“แต่ข้ามีพระราชกระแสไปแล้ว”
ตาคู่งามของฉางผิงกงจู้ทอประกายปัญญา กล่าวว่า
“พระบิดาโปรดวางพระทัย หากผู้บุตรคาดเดาไม่ผิด เฉาฮั่วฉุนต้องส่งจั่วหวินหลิงผู้เป็นบุตรบุญธรรมไป คนผู้นี้มีวิทยายุธสูงเยี่ยม ตราบใดที่อยู่ข่างกายเฉาฮั่วฉุนยกจะฆ่ามันได้ พระบิดามีพระราชกระแสเช่นนี้ เท่ากับสั่นกระสุนเดียวยิงนกสองตัว ทั้งสามารถกันจั่วหวินหลิงออกไป ทั้งสามารถฆ่าเฉาฮั่วฉุน”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้”
“พระบิดา โปรดทรงมีพระบรมราชโองการลับนิรโทษแก่สื่อเข่อฝ่า บุตรีจะให้นางกำนัลปลอม ตัวถือสาส์นไป หากแม้นจั่วหวินหลิงเดินทางถึง ขอเพียงสื่อเข่อฝ่าแสดงสาส์นนิรโทษก็จะ ปลอดภัยไร้เรื่องราว”
“ประเสริฐ เป็นอุบายประเสริฐจริงๆ”
………………………………………………………………………..
ใต้แสงอาทิตย์เจิดจ้า บริเวณจุดเปลี่ยนม้า เมืองฟงเอี๋ยง
นี่เป้ฯตัวเมืองที่อยู่ระหว่างนครหลวงกับ นานกิง ทาง การจึงจัดที่เปลี่ยนม้า ทั้งสร้างที่พักสำหรับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
วันนี้ปรากฏหนุ่มน้อย หน้าตาหล่อเหลา ผิวพรรณเกลี้ยง เกลาขาวสะอ้านเดินทางถึงหน้าประตูตึก ทหารที่เฝ้าประตูทั้งสองพากันไขว้สลับทวนขวางกันไว้
หนุ่มน้องหน้าในล้วงป้ายทองประจำตัว แสดงต่อทหารทั้งสอง ทหารทั้งสองตรวจดูแวบ หนึ่งก็อนุญาตให้ผ่านเข้าไป
โดยแระชั้นชิดตามติด ผู้พิทักษ์ที่สิบสี่จั่ว หวินหลิงก็ตามเข้ามายังตึกที่พัก ผู้ดูแลตึกออกมาปฎิเสธแขก แต่เมื่อสือฉีล้วงป้าย หยกกวัดแกว่งแสดงตัวว่าทำงานกับเฉากงกง ผู้ดูแลตึกก็รีบน้อมกายคารวะ
จั่วหวินหลิงซักถามว่า
“เมื่อครู่ใช่มีชายหนุ่มรูปงามเข้าพักหรือ ไม่”
“ถูกแล้ว เป็นขันทีในวังของกงจู้ใหญ่ ตอนนี้พักอยู่ในห้องข้างชั้นที่หนึ่ง”
จั่วหวินหลิงยิ้มอย่างเยือกเย็น กล่าวว่า
“คืนนี้พวกเราจะพักอยู่ที่นี่”
ยามวิกาล ขันนี้นั้นขณะจะเข้านอน พลันบังเกิดเสียงโครม ใหญ่ประตูห้องข้างถูกเตะเปิดผางออก
ขันทีนั้นเหลียวขวับไปด้วยความตระหนก เห็นคนเตะประตูเป็นสือ ฉี ด้านข้างยังยืนไว้ด้วยจินเปียว ต้องถามโพล่งว่า
“พวกท่านเป็นใคร” น้ำเสียงนั้นหวานใส ราวกับเสียงสตรีไม่ผิด เพี้ยน
“ผู้พิทักษ์ที่สิบสี่จั่วหวินหลิง” ในเสียงกล่าว จั่วหวินหลิงเดินช้าๆ เข้าห้องมา เพ่ง ตาถามขันทีนั้นว่า
“องค์หญิงฉางผิงใช้ท่านไปที่ใด”
ขันทีรูปงามกลอกตากลมโตกล่าว
“องค์หญิงใช้เราไปยังเมืองนานกิง เพื่อจัดซื้อสมุนไพรตัว ยา”
“หน้าที่ในราชสำนัก ล้วนผ่านมือเฉากงกงตลอดมา ครั้งนี้ไฉนส่งทานมา”
“ระหว่างนี้องค์หญิงร่างกายไม่สบาย ต้องการยาบำรุง ผู้ต่ำตอยมีความรู้ทางสมุนไพรตัวยา ดังนั้งองค์หญิงจึงส่ง เรามา”
“ท่าสคิดจัดซื้อสมุนไพรอันใด”
“เป็นยาตังกุยและจำพวกโสม”
สือฉีออกมา กล่าวว่า
“ตังกุยเป็นเครื่องบรรณาการจากแคว้นยูนาน โสมมาจากภูเขาฉางไป่ทาง ภาคเหนือ เมือง นานกิงหามีสมุนไพรจำพวกนี้ไม่”
เอ่ยถึงตอนนี้ พลันยื่นมือตะปบคว้าคอเสื้อขันทีนั้น ตะคอกถามว่า
“ท่านเดินทางไปยังเมืองนานกิงด้วยภารกิจใด”
ขันทีนั้นหน้าซีดเผือด อ้ำอึ้งไม่ตอบคำ สือฉีพลันล้วงมือเข้าไปในคอเสื้อ พลันก็อุทานดังอา ร้องว่า
“นายน้อย ขันทีนี้ประหลาดแท้กลับมีหน้าอกอวบอัดหยุ่นมือดีแท้” พูดไปมือก็ควานไปๆมาๆใน คอเสื้อพร้อมกับขยำอย่างเมามัน ขันทีนั้นยืนตัวสั่นไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อยปล่อยให้มัน ใช้มือสำรวจไปในร่มผ้าตามใจชอบ
“มีเรื่องเช่นนี้ ไหนถอดเสื้อมันออกมาให้ ข้าชมดู”
ขันทีนั้นอุทาน กรีดร้องร่ำไห้ สือฉีหัวเราะฮาฮา ฉีกกระชากเสื้อดังควากๆ ชั่วพริบตาท่อนบนของขันทีก็เปลือยเปล่าขาวโพลน ขันทีรีบเอามือปิดก้อน เนื้อด้านบนเอาไว้ แต่เพราะก้อนเนื้อทั้งสองก้อนนั้นมีขนาดใหญ่เกินมาตรา ฐาน ทำให้ มือน้อยๆของขันทีปิดไม่มิดแลเห็นก้อนเนื้อบางส่วนขาวเนียนรำไรยั่วตายั่วใจ จั่วหวินหลิงกับพวกถึง กับตาลุกวาวหัวร่อด้วยความหื่นกระหาย
“เฮอะ เฮอะ ขันทีที่ไหนมีนมใหญ่ขนาดนี้ บอกมาว่าเจ้าเป็นใครกันแน่”
ขันทีนั้นตัวสั่นงันงก ตอบเสียงสั่นเครือ
“ข้า.. ข้า…. คือชิงชิง เป็นนางกำนัลขององค์หญิงฉางผิง”