ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 21 พบธิดาเทพแห่งวังเบญจธาตุ

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 21 พบธิดาเทพแห่งวังเบญจธาตุ

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 21 พบธิดาเทพแห่งวังเบญจธาตุ
โดย zeech

ตั้งแต่เว่ยฉิงคังสยบเทวทูตหน้าทองลงได้ ชื่อเสียงของมันก็ยิ่งเลื่องระบือออกไป
เหล่าชาวยุทธต่างบังเกิดการยอมรับในตัวมันมากขึ้น และมีความเชื่อว่า
มันสามารถเป็นผู้นำพาเหล่าชาวยุทธขับไล่เหล่าลัทธิเบญจธาตุให้ออกไป
จากดินแดนจงหยวนได้ ถึงกับยกย่องให้มันเป็นจอมยุทธอันดับหนึ่งแห่งแผ่นดิน
สร้างความฮึกเหิมลำพองใจให้กับเว่ยฉิงคังเป็นอย่างยิ่ง

แต่ในเวลาไม่นานก็กลับมีคำเล่าลือหนึ่งสอดแทรกเข้ามาว่า มิได้มีเพียงเว่ยฉิงคังเท่านั้น
ที่สามารถสยบเทวทูตหน้าทองลงได้ แต่ยังมีจอมยุทธน้อยผู้หนึ่งแห่งวังหุบผาภูตคำราม
ที่มีฝีมือสูงส่งไม่แพ้ เว่ยฉิงคัง และอาจจะมีฝีมือสูงล้ำกว่าด้วย เนื่องด้วยจอมยุทธผู้นั้น
นอกจากจะสยบเทวทูตหน้าทองได้แล้ว ยังสยบเจ้าลัทธิเบญจธาตุได้อีกด้วย

คำเล่าลือนี้มาถึงหูของเว่ยฉิงคัง สร้างความไม่พอใจต่อมันอย่างมาก เนื่องว่ามันสู้อดทน
ยินยอมลดอายุตนเองลงสิบปี เพื่อฝึกลมปราณพรากวิญญาณ ทั้งในระหว่างฝึกก็ได้รับความ
เจ็บปวดอย่าง

แสนสาหัส แต่มันก็สู้อดทน เพื่อต้องการล้างแค้นให้กับบิดาของตน และ สร้างชื่อ
เสียงให้เป็นที่ยอมรับ แต่กลับมีคนผู้หนึ่งจู่ๆก็มีชื่อเสียงขึ้นมาเทียบเคียงกับมัน เปรียบดัง
เป็นเงาดำมาบดบังรัศมีอันเจิดจ้าในตัวมัน มันจึงมิสามารถทำใจยอมรับได้หากมิได้พิสูจน์ฝีมือ
กับคนผู้นั้น ความคับข้องใจของมันติดอยู่ในใจมันมาตลอดเวลานับตั้งแต่มีคำเล่าลือนี้

ในวันหนึ่ง ลิ่มบ้อฮวยและศิษย์ นำเม่ยเม่ย เดินทางมาถึงยัง สำนักทวนผดุงคุณธรรม
เม่ยเม่ย ได้กลับมาเห็นบ้านของตนอีกครั้งก็บังเกิดความยินดีวิ่งตรงไปเรียกคนเฝ้าประตู
ของสำนักให้เปิดรับตนเองเข้าไป

ครั้นบริวารผู้นั้นเปิดประตูออกมา มองเห็นใบหน้าของ เม่ยเม่ย ก็จำได้ร้องเรียกแต่คำว่า
คุณหนูน้อย คุณหนูน้อย ออกมาอย่างลิงโลด จนเม่ยเม่ยต้องร้องเตือน บริวารผู้นั้นจึงได้
เข้าไปรายงานต่อเว่ยฉิงคัง

เว่ยฉิงคัง พอทราบว่า เม่ยเม่ย กลับมาอย่างปลอดภัย ก็มีความยินดียิ่งนัก เร่งให้บริวาร
ไปเชื้อเชิญทั้งคณะเดินทางไปยังห้องรับรอง เหล่าบริวารของสำนักฯทุกผู้คนต่างพากัน
มารอดูคุณหนูน้อยแห่งสำนักฯ ด้วยความยินดี

ครั้นพอ เว่ยฉิงคัง เดินเข้ามายังห้องรับรองนั้น เหล่าบริวารที่พากันรอดูอยู่ก็กลับไป
ยังที่อยู่ในส่วนของตนกันหมดสิ้น เว่ยฉิงคังมีความยินดีนัก เดินตรงไปหาเม่ยเม่ย
แต่เม่ยเม่ย กลับเพ่งมองมาที่มันนิ่งอยู่

“เม่ยเม่ย เป็นเจ้า..เป็นเจ้าจริงๆ เจ้ากลับมาและปลอดภัยเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าดีใจจริงๆ”

เม่ยเม่ย เพ่งมองใบหน้ามันนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า

“พี่ใหญ่ ใยท่านจึงมีสภาพเยี่ยงนี้…ที่ผ่านมาท่านคงพบกับความยากลำบากยิ่งนัก”

ลิ่มบ้อฮวยและศิษย์ต่างก็มองดู เว่ยฉิงคัง ด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน
เนื่องด้วยสารรูปของมัน กลับกลายเป็นชราลงกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด

“ข้า ไม่เป็นไร เพียงขอให้เจ้าอภัยให้พี่ใหญ่ผู้นี้ด้วยที่ทอดทิ้งเจ้าไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา
แต่จากนี้ไปข้าจะดูแลเจ้าเอง”

มันพูดพลาง ใช้มือลูบศรีษะเม่ยเม่ยอย่างรักใคร่ จนเมื่อนึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหันไป
กระทำคารวะต่อ ลิ่มบ้อฮวย และ ศิษย์แห่งสำนักเงาจันทรา

“เว่ยฉิงคัง ขอขอบคุณท่านเจ้าสำนักลิ่ม ที่ช่วยนำเม่ยเม่ยมาส่งให้”

ลิ่มบ้อฮวยกระทำคารวะตอบ

“เกรงใจไปแล้ว”

จากนั้น เว่ยฉิงคังก็ขอให้เม่ยเม่ย เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากที่พลัดพรากจากกันให้มันฟัง
เม่ยเม่ย จึงไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด ตั้งแต่ถูกควบคุมตัวที่วังหุบผาภูต แล้วหมอวิปลาส
มาช่วยไว้ จนกระทั่งมาพบกับเฟยอี้ แล้วเดินทางมาพร้อมกับลิ่มบ้อฮวยและศิษย์

หลายครั้งที่นางกล่าวถึง เฟยอี้ออกมา จนมันเกิดความสนใจหันไปทางลิ่มบ้อฮวย แล้วกล่าวขึ้นว่า

“ฟังจาก เม่ยเม่ย แล้ว หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพวกท่าน ชีวิตนางคงไม่มีวันนี้แล้ว”

แล้วเว่ยฉิงคังก็กระทำคารวะขอบคุณต่อลิ่มบ้อฮวยอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า

“มีเรื่องหนึ่งข้าอยากไถ่ถามต่อท่านเจ้าสำนักลิ่ม ผู้ที่มีนามว่า เฟยอี้ เป็นบุคคลเดียวกันกับ
จอมยุทธน้อยที่สยบ เทวทูตหน้าทอง และ เจ้าลัทธิเบญจธาตุลงในคราวเดียวกันใช่หรือไม่”

ลิ่มบ้อฮวย แย้มยิ้มออกมา แล้วพูดขึ้นว่า

“มิผิด เฟยอี้คือจอมยุทธผู้นั้น นอกจากนี้ มันยังเป็นผู้มีบุญคุณต่อสำนักของเรา
มันเคยช่วยชีวิตข้าและศิษย์ของข้าให้รอดชีวิตจากการจู่โจมของเหล่าลัทธิเบญจธาตุ
นับเป็นผู้กล้าในวัยเยาว์ที่หาได้ยากยิ่งนัก”

เว่ยฉิงคัง พลันมีดวงตากล้าแข็งกล้าขึ้น แล้วกล่าวว่า

“ตัวข้าในฐานะผู้นำชาวยุทธ คิดรวบรวมเหล่าผู้กล้าและชาวยุทธที่มีฝีมือทั้งหลาย
ขับไล่ลัทธิเบญจธาตุให้ออกไปจากแผ่นดินจงหยวนเรา หากได้จอมยุทธเฟยอี้ผู้นี้
มาร่วมแนวทาง คาดว่าการณ์ในเบื้องหน้าคงสำเร็จลงโดยง่าย มิทราบท่านเจ้าสำนักลิ่ม
จะช่วยส่งเสริมนัดหมายให้ข้าสักครั้งจะได้หรือไม่”

“คงไม่ต้องให้ข้านัดหมายแล้ว เพราะในตอนนี้ เฟยอี้กำลังวางแผนบุกวังเบญจธาตุแล้ว”

คำพูดของลิ่มบ้อฮวย สร้างความตกใจให้กับเว่ยฉิงคังเป็นอย่างมาก ในขณะที่มันกำลัง
ซ่องสุมกำลังคนและนัดหมายชาวยุทธให้บุกเข้าวังเบญจธาตุ แต่มันผู้นั้นกลับกระทำการ
ตัดหน้ามัน ทั้งยังเป็นการบุกโดยไม่ใช้กำลังคนอีกด้วย

เว่ยฉิงคังส่ายใบหน้าอยู่ไปมาแล้วพูดขึ้นว่า

“ท่านเฟยอี้ไม่น่าหุนหันด่วนใจร้อน กระทำการแต่เพียงลำพังเช่นนี้ หากพลาดพลั้งไป
ก็จะเป็นการเอาชีวิตมาทิ้งเสียเปล่าๆ”

เหม่ยเยี่ยได้ยินมันพูดเช่นนั้นก็เกิดความไม่พอใจ กล่าวขึ้นว่า

“เฟยอี้คิดช่วยคน ทดแทนบุญคุณผู้มีพระคุณโดยไม่คิดเกรงกลัวต่อความตาย นับเป็นผู้กล้า
ควรแก่การยกย่อง แม้ตายก็มีศักดิ์ศรี ข้ามิเห็นว่าจะไม่สมควรอย่างไร”

ลิ่มบ้อฮวยเห็นเช่นนั้น ก็ส่งสายตาให้เหม่ยเยี่ยสงบคำลง เว่ยฉิงคังหันมาสบสายตากับเหม่ยเยี่ย
ด้วยแววตาที่หยาดเยิ้ม จนเมื่อลิ่มบ้อฮวยกล่าวขัดจังหวะขึ้นว่า

“ท่านเจ้าสำนักเว่ย ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องการไถ่ถามท่าน ในช่วงที่ข้าไม่อยู่ ศิษย์ของข้ารายงานว่า
ท่านได้ไปเยือนสำนักของเรา ทั้งยังได้กล่าวถ้อยคำบางอย่างต่อเหล่าศิษย์ของข้า ข้าไม่มั่นใจว่า
ศิษย์ของข้าได้กล่าวออกมาถูกต้องหรือไม่ ขอท่านจงพูดให้ข้าฟังอีกครั้งได้หรือไม่”

ลิ่มบ้อฮวยพูดจบ ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น

เว่ยฉิงคัง ได้ยินเช่นนั้น ก็แย้มยิ้มพูดออกมาว่า

“ข้าเพียงกล่าวเชื้อเชิญพวกนางให้มาร่วมชุมนุมที่สำนักของข้าเท่านั้น หากทำให้ท่านไม่พอใจข้าก็ขออภัย”

แล้วมันก็กระทำคารวะขึ้นอีกครั้ง

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ข้าก็ขอบอกต่อท่านว่า สำนักเงาจันทราไม่ชมชอบให้ผู้ใดมาข่มขู่ หากท่านมิได้กระทำ
เช่นนั้นก็แล้วไปเถิด”

สิ้นคำ ลิ่มบ้อฮวยก็เดินนำศิษย์ของนางออกจาก สำนักทวนผดุงคุณธรรมทันที

เว่ยฉิงคัง เห็นเช่นนั้นก็ร้องทัดทานขึ้น แต่ก็มิเป็นผลได้แต่มองดูพวกนางเดินออกจากสำนักของมันไป

————

วังเบญจธาตุ ณ ห้องยาของหยางเพ่ยจือ ทุกคนต่างเพ่งพิศเฟยอี้ในร่างของ หลิงหลิง อย่างไม่วางตา
หมอวิปลาสทำลายความเงียบขึ้นด้วยการส่งเสียงหัวเราะออกมา

“ฮ่าๆๆๆๆ เฟยอี้เจ้านี่มันสมเป็นศิษย์ของข้าจริงๆ วิชานอกลู่นอกรอยเช่นนี้เจ้ากลับทำได้เยี่ยมยิ่งนัก”

หยางเพ่ยจือ หันไปมองหน้าหมอวิปลาส แล้วพูดว่า

“มันแปลงเป็นสตรีได้แนบเนียนยิ่งนัก หากไม่ล่วงรู้มาก่อนจะไม่มีทางดูออกเลย”

แล้วทุกคนก็จ้องมองส่วนต่างๆในร่างของเฟยอี้ จนมันรู้สึกอึดอัด หันมองทุกคนไปมา
ก็เห็นเอาแต่จ้องตนเช่นนั้น ก็ถามขึ้นว่า

“เช่นนี้เพียงพอจะเป็นองครักษ์หุ่นได้แล้วหรือไม่”

หยางเพ่ยจือ แย้มยิ้มแล้วพยักหน้าเป็นคำตอบ จากนั้นนางก็ซักซ้อมกับเฟยอี้ถึงลักษณะ
ขององครักษ์หุ่น และการปฏิบัติตัวตามคำสั่งของผู้ที่สั่นกระดิ่งเรียกวิญญาณ
จนเฟยอี้เข้าใจดีแล้ว นางก็ให้หมอวิปลาสหลบออกไป แล้วเรียกบริวารหญิงสองคนเข้ามาสั่งความ

“พวกเจ้าทั้งสอง จงนำองครักษ์หุ่นตนนี้ไปส่งต่อองค์ธิดาเทพ แจ้งว่าท่านเจ้าลัทธิเป็นผู้ฝากมา”

บริวารหญิงทั้งสองรับคำ และรับกระดิ่งเรียกวิญญาณจากหยางเพ่ยจือ มาสั่นหนึ่งครั้ง แล้วออกคำสั่ง
ให้เฟยอี้ในร่างของ หลิงหลิง เดินตามพวกนางไป

บริวารหญิงทั้งสอง พาเฟยอี้เดินลัดเลาะไปตามทางเดินหลักจนมาถึงหน้าประตูวังส่วนใน แล้วพูดคุย
กับทหารที่เฝ้าประตูวังส่วนในอยู่ชั่วครู่ จากนั้นบริวารหญิงทั้งสองก็มอบกระดิ่งเรียกวิญญาณให้กับ
ทหารเฝ้าประตูนั้นแล้วก็เดินกลับออกมา

เฟยอี้ถูกปล่อยให้ยืนคอยอยู่เพียงผู้เดียวอยู่ครู่หนึ่ง ก็ปรากฏร่างของทหารผู้หนึ่งแต่งการคล้ายกับ
มีตำแหน่งเป็นหัวหน้า เดินออกมาพร้อมกับกระดิ่งในมือ มันมาหยุดยืนที่หน้าของเฟยอี้แล้วเพ่งมองมัน
อย่างละเอียด จากนั้นมันก็สั่นกระดิ่งขึ้น แล้วออกคำสั่งให้เดินตามมันไปจนเข้ามายังภายในของวังชั้นใน

จากตรงที่เฟยอี้ยืนอยู่ มองตรงออกไป เห็นเป็นลานกว้างพื้นดินถูกปูด้วยหินน้อยใหญ่เต็มไปหมด
ถัดจากลานกว้างนั้น เป็นตึกใหญ่สีขาวทั้งหลัง ตามหัวเสาของตึกประดับด้วยทองคำส่งแสงสะท้อน
ยามต้องกับแสงตะวันที่สาดส่องลงมาดูงามตายิ่งนัก หัวหน้าทหารผู้นั้นยกกระดิ่งขึ้นสั่นแล้วพูดว่า

“จงเดินตามรอยเท้าข้า”

แล้วหัวหน้าทหารผู้นั้นก็ก้าวเท้าย่างออกไปตามก้อนหินที่ฝังอยู่บนพื้นดินทีละก้าวแล้วหยุดรอ
ให้เฟยอี้เดินตามมันมา คล้ายดังว่าก้อนหินเหล่านั้นมีกลไกแฝงอยู่ เฟยอี้ย่างเท้าตามทหารผู้นั้นทุกฝีก้าว
และพยายามจดจำตำแหน่งที่เดินตามนั้น แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องด้วยไม่สามารถแยกแยะ
จดจำก้อนหินเหล่านั้นได้ในระยะเวลาอันสั้น จนในที่สุดหัวหน้าทหารผู้นั้นก็พามันบรรลุถึง
ภายในตึกใหญ่สีขาวนั้น แล้วให้เฟยอี้หยุดยืนภายในห้องโถงใหญ่ แล้วเดินจากไป
โดยทิ้งกระดิ่งเรียกวิญญาณไว้ยังโต๊ะกลางห้องนั้น

เฟยอี้ในร่างของหลิงหลิง ยืนนิ่งไม่ไหวติงแม้ดวงตาก็ไม่สามารถขยับ ตามคำแนะนำ
ของหยางเพ่ยจือ มันทนนิ่งอยู่เป็นเวลานานจนในที่สุด ก็มีเสียงฝีเท้าดังออกมาจากส่วนใน
กำลังตรงมายังจุดที่มันยืนอยู่

พลันปรากฏเป็นร่างของสตรีสามนาง สตรีที่อยู่ตรงกลางเดินล้ำออกมาเบื้องหน้า แต่งกายดั่งสตรีสูงศักดิ์
สวมใส่เครื่องประดับล้ำค่าของชาวเปอร์เซีย อีกสองนางลักษณะคล้ายดังเป็นบริวารคอยติดตามอยู่เบื้องหลัง

บริวารนางหนึ่งเห็นเฟยอี้ในร่างของหลิงหลิงยืนอยู่ก็กล่าวกับสตรีสูงศักดิ์ผู้นั้นว่า

“ข้าแต่ธิดาเทพ มีองครักษ์หุ่นตนใหม่ถูกส่งเข้ามา ท่านต้องการให้ทำเช่นไรกับมัน”

สตรีผู้ที่ถูกเรียกว่า ธิดาเทพ มองไปยังร่างของเฟยอี้ แล้วพูดขึ้นว่า

“เจ้าไปนำมันมาให้ข้าดูใกล้ๆ”

บริวารผู้นั้นก็ตรงเข้าไปหยิบกระดิ่งเรียกวิญญาณแล้วออกคำสั่งให้เฟยอี้เดินเข้าไปจนใกล้ชิดกับธิดาเทพ
ธิดาเทพเดินวนไปรอบตัวมัน แล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้ามันอีกครั้ง นางยื่นหน้าเข้ามาเพ่งพิศใบหน้าของมัน
อย่างใกล้ชิด

เฟยอี้มองดูใบหน้าของธิดาเทพอย่างใกล้ชิด ก็พลันบังเกิดความหวั่นไหว ใบหน้าของนางขาวผุดผ่อง
รับกับดวงตากลมโตสีดำสนิท ริมฝีปากของนางอวบอิ่มแดงระเรื่อ ระยะที่นางยื่นใบหน้าเข้ามานั้น
ใกล้เสียจนมันได้กลิ่นหอมจางๆจากกายของนาง มันสูดดมจนรู้สึกเคลิบเคลิ้ม

แล้วนางก็หันไปยังบริวารหญิงที่อยู่เคียงข้าง แล้วพูดขึ้นว่า

“ข้ารู้สึกถูกชะตากับองครักษ์หุ่นตนนี้ ให้มันคอยปรนนิบัติข้ายังที่ภายใน”

บริวารทั้งสองรับคำแล้ว ก็ออกคำสั่งเรียกเฟยอี้ให้ติดตามไปยังภายในห้องกว้างห้องหนึ่ง
ภายในถูกสร้างให้มีน้ำตกจำลองมาไว้ในห้องนั้น สายน้ำจากน้ำตกนั้นไหลลงมายังสระกว้าง
ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางห้อง รอบสระประดับด้วยปูนปั้นเป็นรูปสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ตามความเชื่อ
ของชาวเปอร์เซีย เฟยอี้มองดูแล้วลอบชื่นชมอยู่ภายในใจว่า ช่างเป็นสถานที่ที่สวยงามน่ารื่นรมณ์นัก

บริวารทั้งสองพาเฟยอี้มาหยุดยืนอยู่ข้างแท่นหินเรียบกว้างริมสระ พื้นหินปูด้วยพรมสีแดงขลิบทอง
ข้างแท่นหินนั้นมีโถสีทองบรรจุเครื่องหอมต่างๆตั้งอยู่สองสามใบ ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วบริเวณนั้น
ธิดาเทพเดินเข้ามาในห้องแล้วหย่อนกายลงบนแท่นหินนั้นแล้วพูดว่า

“พวกเจ้าออกไป”

บริวารทั้งสองได้ยินดังนั้น ก็วางกระดิ่งเรียกวิญญาณไว้บนโต๊ะนั้น แล้วเดินกลับออกไปอย่างสงบ
ธิดาเทพ เงยหน้าขึ้นพูดกับเฟยอี้ในร่างแปลงที่ยืนอยู่ข้างแท่นที่นั่งของนาง แล้วพูดว่า

“เจ้าชื่อว่าอะไร”

นางมองสำรวจเรือนร่างของเฟยอี้อีกครั้ง แล้วพูดว่า

“เจ้ามีร่างกายสูงใหญ่ ใบหน้าก็ดูไม่ฉลาดนัก ข้าจะเรียกเจ้าว่า นังทึ่ม ก็แล้วกัน”

แล้วนางก็หันร่างไปหยิบกระดิ่งขึ้นมาสั่น แล้วออกคำสั่งว่า

“นังทึ่ม เจ้ามานวดเฟ้นไหล่ให้ข้า”

เฟยอี้ใจเต้นระรัว มันคาดไม่ถึงว่าจะถูกออกคำสั่งให้ปฏิบัติเช่นนี้ มันเร่งตั้งสติ
แล้วปฏิบัติตามคำสั่งนั้น เพื่อมิให้เกิดพิรุธ ฝ่ามือทั้งสองของมันบีบลงอย่างแผ่วเบา
ที่หัวไหล่ของนาง แล้วเลื่อนไปที่ต้นคอขาวผุดผ่องนั้น มือของมันลูบไล้แล้วบีบเฟ้นอย่างเบามือ

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

ธิดาเทพปิดเปลือกตาเงยใบหน้าขึ้น แล้วเอ่ยขึ้นว่า

“อืมมม………..นังทึ่ม..เจ้านวดเฟ้นได้ดี”

เฟยอี้ยืนอยู่เบื้องหลังของนาง ระหว่างที่มือของมันนวดเฟ้น ตาของมันก็ลอบมองใบหน้าอันสวยสะคราญ
ของนางอย่างหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ธิดาเทพสั่นกระดิ่งอีกครั้งแล้วออกคำสั่งว่า

“เปลื้องผ้าให้ข้า”

เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจจนสะดุ้งสุดตัว ตาของมันเบิกกว้างเกือบจะหลุดวาจาออกมา
ดีที่มันยืนอยู่เบื้องหลังของนาง นางจึงไม่สังเกตุเห็นพิรุธที่เกิดขึ้น

เฟยอี้ทำสิ่งใดไม่ถูกมันยื่นมืออ้อมออกไปยังเบื้องหน้าของธิดาเทพอย่างสั่นเทา
เพื่อจะปลดสายคาดเอวของนาง แต่มือของมันนั้นกลับไม่สามารถปลดสายคาดเอว
ของนางออกได้จนธิดาเทพรู้สึกรำคาญ

“สมแล้วที่ข้าเรียกเจ้าว่า นังทึ่ม ไม่ต้องแล้วข้าทำเอง”

แล้วนางก็เปลื้องผ้าส่วนบนออกจนเปลือยเปล่า จากนั้นก็นอนคว่ำหน้าลง
เฟยอี้เพ่งมองดูแผ่นหลังอันเปลือยเปล่าไล่ไปจนถึงช่วงเอวอันคอดกิ่ว
ขาวนวลเนียนนั้นนิ่งค้างอยู่

“นำน้ำมันหอมในโถมาชโลมร่างให้ข้า”

เฟยอี้ได้ยินคำสั่งนั้นก็ยกโถทองที่ใส่น้ำมันหอมนั้น มาเทราดรดลงบนร่างของนาง
จากนั้นมันก็ใช้มือลูบไล้น้ำมันหอมให้ไหลชโลมไปถ้วนทั่วแผ่นหลังของนาง

เฟยอี้สัมผัสได้ถึงผิวอันนวลเนียนนุ่มละมุนมือของมันอย่างที่สุด มันลูบไล้ตั้งแต่ลำคอ
ผ่านมาถึงแผ่นหลัง แล้วในจังหวะหนึ่งน้ำมันหอมได้ไหลย้อยจากแผ่นหลังจะเข้าสู่ทรวงอก
ของนาง เฟยอี้จึงลูบไล้ฝ่ามือตามติดลงไปเพื่อปาดเอาน้ำมันหอมนั้นคืนมา แต่นิ้วมือของมัน
หลายนิ้วกลับกวาดลึกลงไปสัมผัสเข้ากับทรวงอกของนาง

เฟยอี้รู้สึกตื่นเต้นจนทุกสิ่งในร่างลุกชันไปหมด แต่เมื่อมองดูนางเห็นยังคงหลับตานิ่งอยู่
มันก็เริ่มได้ใจ กระทำซ้ำเดิมอีกครั้ง และอีกหลายๆครั้ง จนในที่สุด ธิดาเทพก็มีความรู้สึก
บางอย่างเกิดขึ้น ยามที่นิ้วมือของมันลากผ่านทรวงอกของนาง เป็นความรู้สึกที่นางพึ่งเคย
พานพบ ครั้นเฟยอี้ลากผ่านนิ้วมือมาต้องบ่อยครั้งเข้า นางก็รู้สึกมีความเคลิบเคลิ้มอยากให้มัน
จับต้องอีก

พลันเฟยอี้ก็ต้องตกใจจนตาพองโตขึ้นอีกครั้ง เมื่อจู่ๆ ธิดาเทพก็พลิกร่างหงายขึ้น แล้วปิดตาหลับลง
มือที่กำลังลูบไล้แผ่นหลังของนางอยู่ ก็ถึงกับค้างนิ่งทำสิ่งใดไม่ถูก ปทุมถันกลมกลึงชูยอดงามทั้งคู่
ของนางปรากฎแก่สายตามันอย่างเต็มตา เฟยอี้ตะลึงจ้องมองค้างอยู่เช่นนั้น

จนเมื่อมันได้สติ ก็เอื้อมมืออันสั่นเทาหยิบโถน้ำมันหอมมาชโลมลงบนเรือนร่างของนาง
แล้ววางมือทั้งสองของมันลงบนหน้าท้องที่แบนราบนวลเนียนนั้น มือของมันลูบไล้น้ำมันหอม
ให้ไหลย้อนทวนขึ้นไปบนทรวงอก สัมผัสปทุมถันของนางทั้งสองข้างจนเต็มฝ่ามือของมัน

ในตอนนี้ฝ่ามือของเฟยอี้ หมุนวนอยู่แต่เพียงถันงามทั้งคู่ มันทั้งบีบเค้นและลูบไล้ไปมา
ด้วยอารมณ์ที่เคลิบเคลิ้มหลงไหล นิ้วมือของมันเริ่มบี้บดยอดถันงามทั้งสองอยู่ไปมาอย่างลืมตัว

ไม่เพียงแต่มันที่กำลังตกอยู่ในอารมณ์เคลิบเคลิ้ม ธิดาเทพเองก็เช่นเดียวกัน นางเคยให้บริวาร
คนอื่นชโลมน้ำมันหอมให้นางเช่นนี้แต่ก่อนมา แต่ก็มิมีครั้งใดที่ทำให้นางบังเกิดความวาบหวาม
ได้เท่าครั้งนี้ ริมฝีปากของนางเผยอขึ้นเล็กน้อยแล้วเชิดใบหน้าขึ้นครางออกมาอย่างแผ่วเบา

เฟยอี้มองดูใบหน้าของนางแล้วแทบจะอดใจไว้ไม่ได้ มันคิดอยากจะก้มลงไปจุมพิตนางให้สาแก่ใจมัน
แต่ก็สู้อดทนไว้เพื่อบรรลุต่อแผนการณ์ที่ตั้งใจไว้

ในขณะที่มันกำลังคลึงเค้นถันของนางอย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น ธิดาเทพก็ลืมตาขึ้นสั่นกระดิ่ง
แล้วออกคำสั่งว่า

“เปลื้องผ้าข้า แล้วชโลมน้ำมัน”

สิ้นคำสั่ง ใจของเฟยอี้ก็ถึงกับเต้นระรัวคล้ายจะหลุดออกจากร่าง มันทั้งตื่นเต้น เกรงกลัวระคนกับยินดี
มือของมันสั่นเทาจนแทบจะควบคุมไม่ได้ มันเหลือบมองดูใบหน้าของนางเห็นยังนอนหลับตานิ่งอยู่
ก็ตัดสินใจทำสติให้มั่นคง แล้วเปลื้องผ้าของนางออกทีละชิ้น จนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า

เฟยอี้จ้องมองเรือนร่างงามที่เปลือยเปล่าทอดกายอยู่เบื้องหน้าของมัน มืออันสั่นเทาทั้งสองของมัน
วางลงบนเรียวงามข้างหนึ่ง แล้วลูบไล้ไปมาอย่างแผ่วเบา ดวงตาของมันจ้องมองที่เนินสวาท
อันโหนกนูนปกคลุมด้วยไหมสีดำอ่อนละเอียดที่อยู่ ณ เบื้องหน้ามัน

มันพยายามยับยั้งอารมณ์กำหนัดมิให้ก่อกำเริบขึ้น แล้วยกโถใส่น้ำมันหอม เทลงบนหน้าท้องของธิดาเทพ
พลางใช้ฝ่ามือทั้งสองปาดไล่น้ำมันให้ไหลลงมายังเนินสวาทจนไหมอ่อนละเอียดที่ปกคลุมอยู่ เปียกจนชุ่มโชก
จากนั้นก็ไล่ฝ่ามือทั้งสองลงมาจนสัมผัสกับเนินสวาทของนาง นิ้วมือของมันล้วงไล่ให้น้ำมันชโลม
ไปทั่วกลีบสวาททั้งสอง

อารมณ์กำหนัดของเฟยอี้ก่อกำเริบจนลืมตัว มันกดนิ้วมือมันลงไปในร่องสวาทของนางอย่างที่ใจมันปราถนา
นิ้วมือของมันสัมผัสเข้ากับติ่งเสียวของนางอย่างแม่นยำ

ธิดาเทพสะดุ้งร่างเล็กน้อยแล้วห่อปาก พลางพูดอย่างแผ่วเบา

“นังทึ่ม เจ้าไม่ต้องชโลมภายใน….อืมมมม…..”

นิ้วของเฟยอี้ลากทาน้ำมันไปที่ติ่งเสียวอยู่ไปมา แล้วล้วงลึกลงไปในร่องสวาทสลับกันไป

ธิดาเทพบังเกิดความเสียวสยิวในส่วนนั้น เป็นครั้งแรกของนางที่มีความรู้สึกเช่นนี้เกิดขึ้น
เรียวขาของนางเริ่มเปิดกว้างขึ้นให้มือของเฟยอี้ลูบไล้ได้อย่างสะดวกโดยไม่รู้ตัว
แล้วนางก็ครางอย่างเสียวซ่านขึ้นเป็นครั้งแรกในชีวิต

“…อืมมม……….ซี๊ดดดดดดดดดดดด……………………………อืมมม……….ซี๊ดดดดดด…”

และแล้วนางก็ได้สติลืมตาขึ้น มองดูมันใช้มือชโลมน้ำมันให้นางอย่างตั้งใจ นางคิดสงสัย
อยู่ภายในใจว่า เหตุใดมันจึงไม่ไปชโลมที่อื่นบ้าง ดังนั้นนางจึงสั่นกระดิ่งขึ้น

“พอได้แล้ว”

เฟยอี้หยุดมืออย่างนึกเสียดาย แต่ฝ่ามือของมันยังเกาะกุมอยู่ที่เนินสวาทของนางอย่างแนบแน่น

“นังทึ่ม ข้าสั่งให้เจ้าหยุดแล้ว ยังไม่เอามือออกไปอีก”

แล้วนางก็สั่นกระดิ่งขึ้นอีกครั้ง อย่างขุ่นเคือง

“เอามือเจ้าออกไป”

เฟยอี้ยกมือของมันออกตามคำสั่งอย่างเสียดาย ธิดาเทพลงจากแท่นหิน แล้วเดินตรงไปยังสระน้ำ
หย่อนกายลงแหวกว่าย นางยกกระดิ่งขึ้นสั่น แล้วพูดขึ้นว่า

“ลงมาชำระกายให้ข้า”

เฟยอี้เดินตรงไปที่สระแล้วหย่อนกายลงไปตามคำสั่ง ครั้นธิดาเทพหันมาก็ต้องทอดถอนใจ
ที่เห็นเฟยอี้ลงสระน้ำมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ นางพูดออกมาเหมือนระบายกับตัวเองว่า

“ข้าไม่น่าเลือกนังทึ่มผู้นี้มาเลย หาเรื่องยุ่งยากใส่ตัวแท้ๆ”

แล้วนางก็สั่นกระดิ่งขึ้น

“เปลื้องเสื้อผ้าเจ้าออก แล้วมาชำระกายให้ข้า”

ครั้งนี้ทำเอาเฟยอี้ถึงกับตื่นตระหนก หากมันเปลื้องผ้าออกนางจะต้องล่วงรู้ว่ามันเป็นชาย
แผนการณ์ที่วางไว้ก็จะล้มเหลว มันครุ่นคิดแล้วหาหนทางให้รอดพ้นไปในครั้งนี้ก่อน
ด้วยการรีบสาวเท้าลงไปในสระแล้วค่อยเปลื้องผ้ามันออก ขณะที่ร่างของมันจมน้ำจนมิด

เฟยอี้เดินตรงไปยังร่างของนางที่เบื้องหลัง ร่างเปลือยเปล่าของทั้งคู่ยืนใกล้ชิดแทบจะติดกัน
มันยกมือขึ้นลูบไล้ไปเรือนร่างของธิดาเทพอย่างอ่อนโยน จากลำแขนทั้งสองเลื่อนไล่มายังหัวไหล่
แล้วล่วงล้ำลงสู่ทรวงอกเต่งตึงทั้งสองข้าง มือของมันบีบเค้นตามอารมณ์ปรารถนาของมันอย่างเกิน
จะห้ามใจ

แก่นกายของเฟยอี้ แข็งเกร็งและชี้ยาวออกมาตามอารมณ์กำหนัดที่พุ่งพล่านขึ้น มันลูบไล้มือของมัน
ไล่ลึกลงสู่เนินสวาทของนางอีกครั้งอย่างลืมตัว ครั้งนี้เฟยอี้ถึงกับใช้นิ้วบี้บดติ่งสวาทอย่างตั้งใจ

ธิดาเทพถูกสัมผัสที่จุดเสียวเข้าเช่นนั้น อารมณ์เสียวซ่านที่พึ่งสลัดทิ้งไปเมื่อครู่ ก็กลับเข้ามาจู่โจมนาง
อีกครั้ง จนนางถึงกลับครวญครางออกมา

“ฮืมมม……..ซี๊ดดดดดดดดด………..อูยยยยย……มือของเจ้า…ใยไม่ไปที่อื่นบ้าง”

แล้วนางก็โค้งงอสะโพกออกไปทางเบื้องหลัง เพื่อหลบหนีจากมือของเฟยอี้ที่กำลังจู่โจม
อย่างไม่หยุดยั้ง เป็นผลให้แก่นกายอันแข็งเกร็งของเฟยอี้ ที่ยื่นยาวออกมาจากอารมณ์กำหนัด
สัมผัสเข้ากับกลีบสวาทของนางทันที

ธิดาเทพถึงกับเบิกตากว้าง นางครุ่นคิดว่าสัมผัสที่ถูกต้องกับกลีบสวาทของนางเมื่อครู่มันคือสิ่งใด
นางรีบหันกลับมา มองหน้ามัน แล้วใช้มือล้วงลึกลงไปจนกำเข้ากับแก่นกายของเฟยอี้เข้าเต็มฝ่ามือ

ธิดาเทพตกใจสุดขีด นางล่วงแล้วว่าผู้ที่ยืนอยู่ในสระร่วมกับนางในตอนนี้มิใช่สตรี นางถึงกับจะส่งเสียงร้อง
แต่เสียงร้องยังมิทันได้ออกจากปาก เฟยอี้ก็โผเข้าประชิดร่างของนางด้วยความรวดเร็ว แล้วประกบปากปิด
การกรีดร้องของธิดาเทพจนแนบสนิท สองมือของมันโอบกอดร่างของนางไว้จนแนบแน่นกับร่างของมัน
ทรวงอกแนบชิดกับทรวงอก แก่นกายของมันเสียดสีกับเนินเนื้อของนางอยู่ไปมา

ธิดาเทพพลันบังเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้น ความวาบหวิวเสียวซ่านยามได้รับสัมผัสจากตัวมันชวนให้นาง
เคลิบเคลิ้มจนร่างสั่นสะท้าน เฟยอี้ใช้ลิ้นของมันพัวพันกับปากของนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วเลื่อนลงมาซุกไซ้ที่ลำคอ
จนเลื่อนลงมาที่ทรวงอก ธิดาเทพเอ่ยวาจาออกมาด้วยเสียงที่แหบพร่า

“อย่า……อย่า……ทำเช่นนี้กับข้า……อย่า…..ข้าจะร้องให้ทหารเข้ามาจับเจ้า”

เฟยอี้หยุดการซุกไซ้ของมัน แล้วพูดกับนางอย่างแผ่วเบาว่า

“เจ้าต้องการให้ทหารมาเห็นเจ้าเปลือยกายทำสิ่งใดอยู่กับข้ากระนั้นรึ”

แล้วมันก็ซุกใบหน้าลงที่ทรวงอกของนาง อ้าปากงับยอดถันที่ชูชันของนางเข้าไว้ในปาก
แล้วดูดกินสลับกับโลมเลียอยู่ไปมา

ธิดาเทพอับจนถ้อยคำ มิรู้ว่าจะตอบโต้มันประการใดให้มันกลัวเกรง เป็นความจริงดังที่มันกล่าว
นางไม่กล้าร้องเรียกทหารให้เข้าพบภาพที่น่าละอายของนางในตอนนี้

ธิดาเทพพยายามผลักไสร่างของมัน แต่ก็ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของนางได้เสื่อมสูญไป
ขาทั้งสองของนางคล้ายกับจะทรุดลง เมื่อถูกปลายนิ้วของเฟยอี้บดบี้ที่ติ่งสวาทของนางอย่างระรัวถี่
นางถูกเฟยอี้จู่โจมทั้งทรวงอกและเนินสวาทพร้อมกันจนเคลิบเคลิ้มไร้เรี่ยวแรงขัดขืน

“อืมมมม………….ซี๊ดดดดดดดดดด…………………………..อืมมมม………..”

เฟยอี้เกิดอารมณ์กำหนัดจนเกินกว่าจะหยุดได้ มันรวบช้อนร่างของธิดาเทพไว้ในอ้อมแขนทั้งสอง
แล้วเดินมาวางร่างของนางลงยังริมขอบสระ

ธิดาเทพเห็นมันทำเช่นนั้น ก็คาดว่ามันจะหยุดการกระทำของมัน ก็อุ่นใจมิทันระวังตัว
เฟยอี้จับเรียวขาทั้งสองของนางวางพาดลงบนไหล่มัน ใบหน้ามันจ้องมองเนินสวาทที่เปิดอ้าอยู่ตรงหน้า
แล้วก้มลงโลมเลียในทันที

ความเสียวสยิวอย่างที่สุดแล่นสู่ช่องท้องแล้วแผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย จนนางมิอาจอดกลั้นเอาไว้ได้
ต้องปลดปล่อยเสียงระบายความเสียวซ่านนั้นออกมา

“อ๊ายยยยยยยยย……………..อ๊ายยยยยยยย……………………………..อ๊ายยยยยย……………………..”

ธิดาเทพแอ่นร่างเด้งขึ้นจนกายไม่ติดพื้นแล้วบิดร่างไปมา เพื่อหนีสัมผัสจากปลายลิ้นของมัน
แต่ครั้นนางบิดหนีไปทางใดลิ้นของเฟยอี้ก็ตามติดไปโลมเลีย ณ จุดนั้น จนเนินสวาทของนางเริ่มชื้นแฉะ
แล้วการดิ้นรนของธิดาเทพก็ผ่อนกำลังลงกลับกลายเป็น แอ่นร่างค้างนิ่งให้มันโลมเลียพร้อมกับส่งเสียงคราง
คลอออกมาอย่างแผ่วเบา

“อูยยยยยยยย………..ซี๊ดดดดดดดด………………..ฮ้าาาาาาา………ซี๊ดดดดดดดดดดดดดดด……….”

เฟยอี้โลมเลียเนินสวาทอันโหนกนูนของนาง จนสมกับความอยากที่ทนอดกลั้นไว้เป็นเวลานาน ครั้นเห็นนางครวญ
ครางอย่างมีความสุขด้วยท่าทีที่ไม่ขัดขืนแล้ว มันจึงดึงร่างของนางลงมาในสระอีกครั้ง แล้วเบียดร่างเข้าไปแนบชิด
จนร่างของนางติดกับขอบสระ มันยกเรียวขาข้างหนึ่งของนางคล้องไว้กับแขนของมัน แลัวดันแก่นกายเสยเข้าไป

ธิดาเทพถึงกับอ้าปากกว้างร้องออกมา ส่วนหัวแก่นกายอันเบ่งบานของมัน สอดลึกเข้าไปในร่องสวาทของนาง
ทะลวงผ่านด่านพรหมจารีของนางจนขาดสะบั้นลง แล้วแช่นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง

“โอ๊ะ……………..ข้าเจ็บ………..”

เฟยอี้บรรจงจุมพิตไปทั่วใบหน้าของนาง แล้วเริ่มเคลื่อนแก่นกายของมันให้เข้าออกในร่องสวาทที่คับแน่นของนาง
อย่างเชื่องช้า

ธิดาเทพถึงกับนิ่วหน้าทุกครั้งที่มันดันแก่นกายของมันกลับเข้าไปในร่องสวาทของนางใหม่อีกครั้ง
นางรู้สึกถึงความแข็งเกร็งที่กำลังสอดลึกเข้ามาในร่างของนาง มันให้ทั้งความรู้สึกเจ็บระคนกับความเสียว
ร่างของนางสั่นสะท้าน จนเมื่อเวลาล่วงเลยไป นางก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บอีก คงเหลือแต่ความเสียวสยิว
ที่กำลังก่อตัวเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับจังหวะของมันที่เร่งถี่ขึ้น

“โอ้ว…..โอ้ว….โอ้ว….ซี๊ดดดด…….โอ้ว….โอ้ว….ซี๊ดดดด…..โอ้ว….โอ้ว……….”

เฟยอี้เร่งจังหวะถี่ขึ้น แรงขึ้น จนน้ำที่ขอบสระกระเพื่อมกระทบกันดังเป็นจังหวะ สลับกับเสียงลมหายใจหอบของมัน
ร่องสวาทของธิดาเทพคับแน่นเสียจน มันต้องหยุดจังหวะกระแทกกระทั้นไปหลายครั้ง เพื่อชะลอมิให้น้ำรักของมัน
พังทลายออกมาเสียก่อน ครั้นมันหยุดนิ่งอยู่เพียงครู่ ร่องสวาทของนางก็ตอดรัดอย่างรุนแรงเป็นจังหวะ
คล้ายกับจะพยายามให้มันต้องพ่ายแพ้

เฟยอี้จึงตัดสินใจปล่อยขานางลงจากวงแขนของมัน แล้วพลิกร่างนางให้กลับเป็นหันหลัง มันจับแก่นกายสอดเข้าไป
ในร่องสวาทของนางอีกครั้ง มือข้างหนึ่งของมันอ้อมร่างของนางมาเกาะกุมเนินสวาทของนางไว้
แล้วขยับแก่นกายเข้าออกอย่างเร็วถี่อีกครั้ง แต่ครั้งนี้มือของมันที่เกาะกุมเนินสวาทของนางอยู่ ก็พลันบี้บดติ่งสวาทของนางไปด้วย

ธิดาเทพหลับตาสูดลมเข้าปากเป็นระยะ ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวคล้ายกับเจ็บปวด แต่เสียงร้องออกมาช่างรัญจวนใจนัก

“อูยยยยยยยย……….ซี๊ดดดดดดดดด………………อูยยยยยยยย…………ซี๊ดดดดดด……….”

เฟยอี้เร่งจังหวะเร็วขึ้น แรงขึ้น เรื่อยๆ จนเกิดเสียงเนื้อของคนทั้งสองกระทบกัน ดังไปทั้งห้อง

“ตั้บบ…….ตั้บบ….ตั้บบ….ตั้บบ….ตั้บบ….ตั้บบ….ตั้บบ….ตั้บบ….ตั้บบ”

“โอ้ววววว…….โอ้วววว…………..โอ้วววว…………..โอ้วววว…………..โอ้วววว………….โอ้วววว……..”

และในที่สุด เฟยอี้ก็ดันแก่นกายแนบชิดติดร่างของนางค้างไว้อย่างเนิ่นนาน แล้วร้องครางเสียงดังยาวออกมา
ธิดาเทพเองก็มีอาการไม่ผิดแผกกัน นางส่งเสียงร้องดังยาวประสานกับเสียงเฟยอี้ แล้วผ่อนลมหายใจ
อย่างผ่อนคลายออกมา

“โอ้วววววววววววววววววววว……………………………….อ้าาาาาาาาาาาาา……… ………”

เฟยอี้โอบกอดร่างของนางไว้จากเบื้องหลัง แล้วซบหน้าลงกับไหล่ของนางอย่างอ่อนเพลีย

มันโอบกอดธิดาเทพอยู่เป็นเวลานาน จนในที่สุดก็มีเสียงไถ่ถามขึ้นจากธิดาเทพว่า

“เจ้าเป็นใคร มาหลอกลวงข้าเพื่อต้องการสิ่งใด”

เฟยอี้มิตอบคำ แต่กลับช้อนร่างของนางขึ้นไว้แนบกับทรวงอก แล้วเดินขึ้นจากสระ
มันหยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ให้นางดังเดิม จากนั้นก็หันกลับไปใส่เสื้อผ้าให้กับตนเองคืนร่างเป็นบุรุษ
แล้วกล่าวออกมาว่า

“ข้ามีชื่อว่า เฟยอี้ ต้องการนำตัวองค์หญิงลีลู่อินที่บิดาเจ้าลักพาตัวนางมากลับไปคืนแก่บิดาของนาง
โปรดบอกสถานที่ที่ซุ่มซ่อนนางแก่ข้า แล้วข้าจะจากไปโดยดี”

ธิดาเทพงงันนิ่งอยู่ ตั้งแต่ที่เห็นมันกลับกลายเป็นบุรุษหนุ่มที่มีใบหน้าที่คมคาย นางเพ่งมองมันนิ่งอยู่
จนมันถามย้ำเตือนมา

“โปรดบอกสถานที่ที่ซุ่มซ่อนนางแก่ข้าได้หรือไม่”

นางแสร้งทำสีหน้าเรียบเฉย แล้วตอบว่า

“ข้าไม่ทราบ บิดามิเคยบอกกล่าวสิ่งใดต่อข้า”

เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มมีอารณ์โกรธ กล่าวขึ้นว่า

“เหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังจะโป้ปดข้าอีก เจ้าจะบอกแต่โดยดี หรือต้องการให้ข้าฆ่าเจ้า”

ธิดาเทพมองหน้ามันแล้วยิ้มเยาะ

“เช่นนั้นก็จงฆ่าข้าซะ”

เฟยอี้ได้ยินนางท้าทายเช่นนั้นก็ทำสิ่งใดไม่ถูก จึงแสร้งขู่นางต่อไปว่า

“เจ้าต้องการจะทดลองดู ใช่หรือไม่”

แล้วจึงทำเป็นยกฝ่ามือหมายจะฟาดลงบนศรีษะของนาง
ธิดาเทพกลับไม่มีท่าทีเกรงกลัว นางจ้องมองหน้ามันนิ่งอยู่

เฟยอี้สบตากับนางแล้วลดฝ่ามือลง ทอดถอนลมหายใจออกมา

ธิดาเทพเห็นมันไม่กล้าลงมือต่อนาง ก็ลอบมองมาที่มันแล้วแย้มยิ้มอย่างพอใจ

พลันเฟยอี้กลับฉุกคิดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ จึงกล่าวออกไปว่า

“ข้าอาจไม่ใจแข็งพอที่จะฆ่าเจ้า แต่ถ้าเปลี่ยนมาลวนลามเจ้าล่ะก็ ข้าชื่นชอบยิ่งนัก”

สิ้นคำเฟยอี้ก็ยื่นมือของมันออกไป ทำท่าทีคล้ายจะเกาะกุมทรวงอกของนาง

ธิดาเทพเปลี่ยนสีหน้าเป็นตื่นตกใจ ร่ำร้องออกมาว่า

“อย่า….อย่านะ….หากเจ้าลวนลามข้าอีก ข้าจะฆ่าตัวตาย”

พลันเฟยอี้ก็ยื่นมือไปจี้สกัดจุดนางไว้

“ข้าจะลวนลามเจ้า ในสภาพนี้ ดูซิว่าเจ้าจะขัดขืนได้เยี่ยงไร”

สิ้นคำมันก็ยื่นฝ่ามือออกไป ทำท่าทีคล้ายจะขยำขยี้ทรวงอกทั้งสองของนาง

“อย่า…..อย่า….อย่านะ……..อย่าทำข้า………”

เฟยอี้เห็นนางมีท่าทีเกรงกลัวเช่นนั้น ก็ได้ใจยื่นฝ่ามือทั้งสองของมันออกไป หยุดรออยู่ที่
ทรวงอกอันเต่งตึงนั้นแล้วพูดขึ้นว่า

“ทรวงอกของเจ้าช่างเต่งตึงต้องใจข้านัก ข้าจะเค้นคลึงให้สาแก่ใจ หากเจ้าไม่บอกต่อข้า
เร่งบอกมา ที่ซุ่มซ่อนองค์หญิงอยู่ที่ใด ”

ธิดาเทพมีสีหน้าทั้งโกรธ และ เกรงกลัว มองดูที่มือทั้งสองของมัน แล้วพูดว่า

“นางอยู่เบื้องล่างของตึกนี้ เดินออกไปทางทิศตะวันตกแล้วลงไปตามทางลาดที่อยู่เบื้องขวา”

แต่เฟยอี้กลับยังไม่ลดมือมันลง มันขยับมือคล้ายดั่งจะขยำขยี้ทรวงอกของนาง ธิดาเทพเห็นเช่นนั้น
ก็ตวาดออกมาว่า

“เจ้า…ชั่วช้านัก ข้าบอกต่อเจ้าไปแล้วใยจึงยังไม่เลิกรา หรือวาจาของเจ้าเป็นดั่งผายลม”

เฟยอี้จ้องมองใบหน้านาง แล้วตวาดออกไปเช่นกันว่า

“เจ้าคิดว่าข้าโง่นักรึ ใยจึงมิบอกด้วยเล่าว่าจะผ่านค่ายกลที่บิดาของเจ้าวางไว้ได้โดยวิธีใด
คิดว่าข้าจะหลงอุบายตื้นๆของเจ้ารึ หรือว่าเจ้าชื่นชอบให้ข้าลูบคลำ ข้าก็จะ…..”

เฟยอี้แสร้งทำดวงตาหื่นกระหายได้สมจริงนัก จนธิดาเทพตื่นกลัวรีบบอกกล่าวออกมาโดยรวดเร็ว

“ก็ได้…ก็ได้….ข้ายินยอมบอกต่อเจ้าทั้งหมดแล้ว การจะผ่านค่ายกลเข้าไปได้ต้องอาศัยแผนที่
คลายจุดให้ข้าแล้วข้าจะไปหยิบให้”

เฟยอี้ได้ยินนางพูดเช่นนั้นก็ลังเลใจ มันคิดตรองอยู่ภายในใจว่า ธิดาเทพผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมมากนัก
จำจะต้องหาวิธีที่นางมิสามารถแยกออกไปจากเราได้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฟยอี้ก็ถอดเสื้อชั้นนอกของมันออกมา แล้วฉีกออกจนมีความยาวพอสมควร
แล้วมันก็ใช้ผ้านั้นพันธนาการมือของนางกับมือของมันเข้าไว้ด้วยกัน แล้วกล่าวขึ้นว่า

“เราสองจะไปด้วยกัน แม้เจ้าคิดจะพาข้าไปตาย เจ้ากับข้าก็จะได้ตายพร้อมกัน ข้ายินดียิ่งนัก
หากได้ตายไปพร้อมกับเจ้าในสภาพเยี่ยงนี้”

ธิดาเทพฟังถ้อยคำที่มันพูดออกมาก็รู้สึกหวั่นไหวอย่างไม่ทราบสาเหตุ นางลอบมองดูหน้ามัน
แล้วหลบสายตายามเมื่อมันหันมาสบตากับนาง ตั้งแต่นางยังเยาว์จนกระทั่งเติบโต
มิเคยมีผู้ใดที่กล้าต่อคำ หรือรังแกนางได้เยี่ยงนี้ แม้แต่บิดาของนางก็ไม่เคยขัดใจ หากนางต้องการ
สิ่งใดก็จะเร่งจัดหาให้แต่โดยดี

แต่กับบุรุษผู้นี้ มันทั้งกลั่นแกล้ง ขู่ตะคอก และรังแกนาง แต่กลับทำให้นางสนใจมันยิ่งนัก
ธิดาเทพมองดูมือของตนที่ถูกพันธนาการติดอยู่กับมันแล้วลอบยิ้มออกมา นางก้าวเดินไป
โดยมีมันเดินอยู่เคียงคู่แนบชิดตลอดเวลาอย่างยินดี

ธิดาเทพนำพามันเดินลัดเลาะหลบกลไก ที่บิดาของตนวางไว้โดยมิต้องใช้แผนที่อย่างชำนาญ
จนเฟยอี้ลอบครุ่นคิดอยู่ว่า

“หากว่าหลงเชื่อนาง มิได้พันธนาการมือของนางไว้ เราคงติดกับดักที่บิดานางวางไว้เป็นแน่แท้
ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ธิดาเทพผู้นี้”

ธิดาเทพพาเฟยอี้ เดินลงไปในทางลาดที่ทอดลงสู่เบื้องล่างอันมืดมิด จากนั้นนางก็หยุดอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วพามันหลบออกไปทางเบื้องขวาอย่างรวดเร็ว

วัตถุขนาดใหญ่พุ่งผ่านร่างธิดาเทพกับเฟยอี้ไปอย่างฉิวเฉียด แล้วบังเกิดเสียงคล้ายดังสิ่งนั้นฝังติด
อยู่กับผนังด้านหลัง

เฟยอี้เอ่ยถามธิดาเทพขึ้นว่า

“มันคือสิ่งใด”

ธิดาเทพก้มหน้าลงมองดูพื้น แล้วตวาดออกมาว่า

“มันคือ ขวากเหล็ก ข้าพาเจ้าเดินหลบกลไกมา เหตุใดจึงไม่เดินตามรอยเท้าข้า เจ้าต้องการตาย
ไปพร้อมกับข้าจริงๆใช่หรือไม่”

แต่เฟยอี้กลับพูดออกมาว่า

“แม้ตายไปพร้อมกับเจ้าในคราวนี้ ข้าก็ไม่เสียใจ”

ในความมืดมิดนั้น เฟยอี้หารู้ไม่ว่า คำพูดของมันได้ทำให้จิตใจของธิดาเทพหวั่นไหวถึงกับยิ้มออกมา
อย่างเป็นสุข

ธิดาเทพพาเฟยอี้ลัดเลาะตามทางเดินมาจนถสุดทาง แล้วนางก็ชี้มือไปยังประตูศิลาที่สุดทางเดินนั้น

“องค์หญิงที่เจ้าตามหา อยู่ในห้องนี้”

เฟยอี้หันไปแล้วพูดขึ้นกับนาง

“เหตุใดเจ้าจึงยังไม่เปิดประตู”

ธิดาเทพส่ายหน้า แล้วตอบมันว่า

“ถึงจุดนี้ มีแต่บิดาข้าที่รู้ตำแหน่งกลไกเปิดประตูนี้ ”

“เช่นนั้นข้าจะทดลองหามันดู”

เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วยาม ทั้งเฟยอี้ และ ธิดาเทพก็ไม่สามารถหาตำแหน่งเปิดกลไกประตูพบ
เฟยอี้ทำได้เพียงส่งเสียงเรียกองค์หญิงผ่านประตูนั้น

ขณะนั้นองค์หญิงลีลู่อินกำลังนั่งเอนหลังพิงประตูศิลานั้น อย่างเบื่อหน่าย แต่ภายในใจของนาง
ก็ยังคงมั่นใจว่า บิดาต้องส่งคนมาช่วยนางอย่างแน่นอน นางเฝ้ารออย่างมีความหวังตลอดเวลาที่ผ่านมา
แล้วนางก็ได้ยินเสียงร้องเรียกของเฟยอี้มาจากแว่วมาจากภายนอก

องค์หญิงลีลู่อิน ลุกขึ้นหันกลับไปยังประตูศิลาอย่างยินดี นางใช้มือป้องปากแล้วพูดตอบกลับไป
“ข้าอยู่นี่ เจ้าคือใคร บิดาข้าส่งเจ้ามาช่วยข้าใช่หรือไม่”

เฟยอี้ได้ยินเสียงตอบกลับมาจากภายในห้องนั้นก็ยินดียิ่งนัก มันคิดจะใช้พลังวัตรทดลองทำลายประตูนี้ดู
จึงบอกต่อองค์หญิงว่า

“องค์หญิง ท่านหลบออกไปจากประตูก่อน ข้าจะทดลองใช้พลังวัตรทำลายประตูนี้ดู”

ธิดาเทพได้ยินเช่นนั้นก็ทักท้วงขึ้นว่า

“ประตูศิลานี้สกัดจากหินใหญ่ทั้งก้อน มีความหนาถึงเชี๊ยะครึ่ง ท่านไม่อาจทำลายมันลงได้
ด้วยพลังวัตร อย่าเสียพลังวัตรไปโดยเปล่าประโยชน์เลย”

เฟยอี้แกะผ้าที่พันธนาการมือของมันไว้กับมือของธิดาเทพออก แล้วพูดกับนางว่า

“ถึงขั้นนี้แล้ว อย่างไรข้าก็จะขอทดลองดู”

เฟยอี้ยืนอยู่ในท่ารวบรวมพลังลมปราณ ฝ่ามือทั้งสองประสานกันในระดับท้องน้อยแล้วเร่งเร้าลมปราณ
จากช่องท้องให้ไหลเวียนไปทั่วร่าง พลางร่ายรำกระบวนท่าลมปราณภูตคำรามขั้นที่แปด เพื่อรวบรวมพลังวัตรจากจุดตันเถียน
มาไว้ที่ฝ่ามือทั้งสอง แต่มิคาดพลังวัตรมิทราบแหล่งกำเนิดกลับบังเกิดขึ้นที่จุด จิวเหว่ย และฉีจุงอีกสองสาย
รวมเข้ามาไว้ที่ช่องท้อง กลายเป็นพลังวัตรสายใหญ่โคจรอยู่ทั่วร่าง

เฟยอี้หยุดโคจรพลัง แล้วครุ่นคิดถึงเมื่อครั้งมันบรรลุลมปราณภูตคำรามขั้นที่แปด เหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็ได้เคยบังเกิด
มาครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งนั้นพลังวัตรของมันเพิ่มพูนขึ้นเนื่องจากได้เสพสมกับภูตแพรทั้งสี่ และในครั้งนี้ก็คงจะเนื่องมาจาก
การเสพสมกับ เม่ยเม่ย ฮุ่ยหนิง ลี่จิน กิมเฮียกจื้อ และธิดาเทพ แล้วรับเอาพลังหยินจากเรือนร่างของพวกนาง มาสร้างสมดุลย์กับ
พลังหยางของตะขาบอัคคีในตัวมัน จนเกิดเป็นพลังวัตรอันยิ่งใหญ่ขึ้นในร่างของมัน

เมื่อคิดได้เช่นนั้นเฟยอี้จึงทดลองร่ายรำพลังลมปราณภูตคำรามขั้นที่เก้า และขั้นที่สิบซึ่งเป็นขั้นสุดยอด ปรากฎว่า
กระบวนท่าต่างๆ ในสองขั้นสุดท้ายซึ่งก่อนหน้านี้มันยังไม่สามารถก้าวผ่าน เนื่องด้วยยังขาดพลังวัตรคอยเกื้อหนุน
บัดนี้กลับสามารถร่ายรำได้อย่างไหลลื่นสอดคล้อง เปี่ยมไปด้วยพลังทุกท่วงท่า มันกลับพบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
โดยไม่คาดคิด

เฟยอี้ถอยหลังออกมาสองก้าว แล้วเร่งเร้าลมปราณขึ้นอีกครั้งด้วยความมั่นใจ มันร่ายรำฝ่ามือทั้งสองออกไปเบื้องหน้ามัน
เป็นวงกลม รวมจิตประสาททั้งหมดไว้ที่หน้าผาก โคจรมปราณสายใหญ่ในร่างให้มารวมที่ฝ่ามือทั้งสอง
พลันบังเกิดกระแสลมไหลลอดผ่านมาจากเบื้องนอกมาหมุนวนอยู่รอบตัวมัน แล้วมันก็ฟาดฝ่ามือทั้งสองออกไปด้วย
กระบวนท่าลมปราณภูตคำรามขั้นสุดยอด

กลุ่มก้อนพลังใหญ่พุ่งออกจากฝ่ามือทั้งสองของเฟยอี้ไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มก้อนพลังนั้นแหวกอากาศตรงไปยังประตูศิลาใหญ่
จนบังเกิดเสียงหวีดหวิวดุจดังภูตพรายคำรามร้อง เข้าปะทะกับประตูศิลาใหญ่จนบังเกิดการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น
คล้ายแผ่นดินจะถล่ม ประตูศิลาใหญ่นั้นปรากฏรอยแตกและแยกออกจนลามไปทั้งแผ่นศิลา ล้มพังครืนลงมา

ธิดาเทพยืนมองดูอย่างตกตะลึง นางคาดไม่ถึงว่าบุคคลเช่นเฟยอี้ จะมีพลังฝีมือที่ร้ายกาจเกินหยั่งคาดเช่นนี้
จนเมื่อฝุนควันเริ่มจางลง จึงมองเห็นแสงสว่างจากคบเพลิงภายในห้องเจิดจ้าขึ้น จนมองเห็นเงาร่างของสตรีในอาภรณ์ขาว
นางหนึ่ง ยืนสงบนิ่งรอคอยอยู่ นางเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่งก็จำได้ว่าเป็นเฟยอี้ ก็ถึงกับร่ำร้องเรียกชื่อมันออกมา
อย่างยินดี แม้ว่าในยามอยู่วังหุบผาภูต นางไม่คิดที่จะสนทนากับมันเท่าใดนัก

“เฟยอี้”

“องค์หญิง ท่านเป็นเช่นไรบ้าง บาดเจ็บบ้างหรือไม่ ข้ามาช่วยท่านออกไปแล้ว”

“ข้าไม่เป็นไร เฟยอี้เจ้าเร่งพาข้าออกไปจากที่นี่”

เฟยอี้หันไปสบตากับธิดาเทพ

“ขอบคุณเจ้ามาก ที่ช่วยให้ข้าได้พบตัวนาง”

ธิดาเทพ มีสีหน้าสลดลงโดยที่เฟยอี้ไม่ทันสังเกตเห็น แล้วนางก็กล่าวขึ้นว่า

“ตามข้ามา”

ธิดาเทพ เดินนำย้อนออกไปยังทิศทางเดิม เฟยอี้มองดูองค์หญิงแล้ว
เกิดความกังวลใจ จึงดึงมือที่ผูกติดอยู่กับธิดาเทพไว้ แล้วพูดขึ้นว่า

“รอก่อน”

มันไปทางองค์หญิงแล้วพูดขึ้นว่า

“ทางเดินที่เรากำลังจะเดินไปนี้ มีกลไกที่เป็นกับดักมีอันตรายเป็นอย่างมาก
ข้าขอบังอาจ แบกองค์หญิงไว้บนหลังข้า เพื่อออกไปจากที่แห่งนี้”

แล้วมันก็หันหลัง ย่อตัวลง องค์หญิงนิ่งมองอยู่ครู่หนึ่งก็ประชิดร่างเข้าที่แผ่นหลังของมัน
มือทั้งสองของนางโอบกอดคอมันไว้

เฟยอี้ใช้มือข้างที่เป็นอิสระยกขาองค์หญิงข้างหนึ่งเกี่ยวกระหวัดเข้ากับเอวของมัน
นางจึงยกขาอีกข้างทำเช่นเดียวกัน

ธิดาเทพลอบมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินนำออกไปโดยมิกล่าวสิ่งใด

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More