ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 22 ฝ่าออกจากวังเบญจธาตุ

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 22 ฝ่าออกจากวังเบญจธาตุ

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 22 ฝ่าออกจากวังเบญจธาตุ
โดย zeech

ภายในห้องลับของวังเบญจธาตุอีกส่วนหนึ่ง หลังจากที่เจ้าลัทธิได้รับยา เทพโอสถทะลวงชีพจร
เข้าไปแล้ว ก็นั่งเข้ากรรมฐานโคจรลมปราณอย่างนิ่งสงบ จนเวลาล่วงผ่านไปหนึ่งคืน
ยาเทพโอสถทะลวงชีพจรก็เริ่มแสดงฤทธิ์ ทะลวงจุดหยินเหมิน และฉีจุง ให้เปิดออก
เป็นผลให้ยามโคจรลมปราณ สามารถไหลเวียนได้อย่างคล่องแคล่วกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก

เจ้าลัทธิลืมตาขึ้น ทดลองร่ายรำกระบวนท่าในเพลงยุทธฝ่ามือเบญจธาตุพบว่า บางกระบวนท่า
ในขั้นสูงที่มันเคยติดขัดไม่สามารถล่วงผ่านไปได้นั้น แต่ในตอนนี้กลับทำได้อย่างคล่องแคล่ว
และเต็มไปด้วยพลังวัตรที่เปี่ยมล้นทุกท่วงท่า สร้างความพึงพอใจให้แก่มันเป็นอย่างมาก

ในคืนที่สอง ระหว่างที่เจ้าลัทธิกำลังเร่งเร้าพลังลมปราณ เพื่อทบทวนกระบวนท่าต่างๆ
ครั้นร่ายรำจนถึงขั้นที่มันไม่เคยสามารถฝึกฝนได้สำเร็จ มันจึงทดลองเกร็งพลังลมปราณ
ผ่านจุดตังชั้ง แล้วถ่ายเทพลังวัตรออกมาตามท่วงท่าที่ร่ายรำ พลันจุดจิ่วเหว่ย และโหวเอี้ยน
ก็ถูกทะลวงผ่านอีก เปรียบดังทำนบที่กั้นสายน้ำมิให้ไหลผ่าน แล้วกักเก็บน้ำนั้นเอาไว้
ครั้นทำนบนั้นเกิดพังทลายลงในฉับพลัน สายน้ำนั้นก็ไหลบ่าพรั่งพรูออกมาด้วยกำลังแรง

พลังลมปราณของเจ้าลัทธิ ซึ่งก่อนนั้นเคยถูกปิดกั้นพลันก่อเกิดท่วมท้นขึ้นเป็นพลังวัตรสายใหม่
โคจรหมุนเวียนอยู่ในร่าง แล้วเข้ารวมตัวกับพลังวัตรสายเดิม กลับกลายเป็นพลังวัตรอันเข้มแข็ง
พ้นจากขีดจำกัดใดๆ

เจ้าลัทธิสามารถเร่งเร้าพลังลมปราณนั้นให้ก่อเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งยังโคจรพลังนั้นให้เคลื่อนย้ายไปตามส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างได้อย่างรวดเร็วตามใจปรารถนา

เจ้าลัทธิเกิดความลำพองใจขึ้นอย่างมาก ที่เห็นพื้นฐานกำลังภายในของมันพัฒนารุดหน้าไปจนถึงขั้นนี้
มันจึงคิดที่จะฝึกฝนกระบวนท่าฝ่ามือเบญจธาตุให้สำเร็จ จนบรรลุถึงขั้นสูงสุดให้จงได้

วันเวลาเวลาล่วงผ่านเข้าสู่วันที่เจ็ด เจ้าลัทธิฝึกฝนตนเองอย่างมุ่งมั่น จนสามารถข้ามผ่านขีดจำกัด
ที่แม้ในกาลก่อน มันเฝ้าเพียรพยายามมานับสิบปีก็หามีความรุดหน้าอันใดไม่ แต่แล้วในที่สุด
วันนี้มันก็สามารถบรรลุผล สำเร็จวิชาฝ่ามือเบญจธาตุขั้นสูงสุด เจ้าลัทธิบังเกิดความยินดีและฮึกเหิม
ลำพองใจขึ้นเป็นอย่างมาก จากนี้ไป มันจะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ไร้ผู้ต่อต้านอีกต่อไป

————–

ธิดาเทพนำทางเฟยอี้ลัดเลาะผ่านกลไกกลับมาตามเส้นทางเดิม โดยมีเฟยอี้แบกองค์หญิงไว้ที่เบื้องหลัง
ตามติดนางมาทุกฝีก้าว ในระหว่างทางที่นางนำเฟยอี้ออกเดินทางกลับออกมานั้น จิตใจของนางรู้สึก
ว้าวุ่นไม่เป็นปกติสุขเหมือนกาลก่อน ใจของนางหวั่นไหวเมื่อเห็นว่า เฟยอี้กำลังจะกลับออกไป
โดยที่นางเองก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อใดจะได้กลับมาพบหน้ากันอีก

จนนำเฟยอี้และองค์หญิงฯ เดินทางกลับออกมาพ้นจากเขตหวงห้ามแล้ว นางก็หยุดฝีเท้าลงแล้วยืนนิ่ง
พร้อมกับเอ่ยปากขึ้นว่า

“เจ้าทึ่ม จากตรงนี้ไปก็เป็นหนทางออกจากวังเบญจธาตุแล้ว ถึงแม้ว่าจะพ้นจากค่ายกลจตุรธาตุแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังมีทหารรักษาการประจำอยู่มากมาย แล้วเจ้าจะออกไปโดยปลอดภัยได้ด้วยวิธีใด”

เฟยอี้มีสีหน้าไม่สะทกสะท้าน กล่าวตอบไปว่า

“ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ข้าก็จะฝ่าฟันออกไปให้จงได้”

ธิดาเทพแสยะยิ้ม แล้วหัวเราะในลำคอ

“หึ….เจ้านี่มันทึ่ม สมกับใบหน้าของเจ้าจริงๆ เจ้าคิดว่าทหารที่เฝ้าประจำการอยู่เบื้องหน้านั้นมีจำนวนเท่าใด
สิบคน ยีสิบคน หรือว่าห้าสิบคน ข้าจะบอกต่อเจ้าก็ได้ว่า ทหารที่ประจำอยู่ ณ ทางออกนั้นมีอยู่ถึงสองร้อยคน
และในสองร้องนั้น มีพลแม่นเกาทัณฑ์อยู่หนึ่งร้อยคน แม้แต่นกที่บินอยู่บนท้องฟ้าก็ยังไม่สามารถรอดพ้น
จากพลแม่นเกาทัณฑ์เหล่านั้นไปได้ แม้เจ้าจะมีวรยุทธสูงส่งเพียงใด ก็คงไม่สามารถโบยบินได้ดีกว่านกเป็นแน่
ทีนี้เจ้ายังคิดที่จะฝ่าออกไปอีกหรือไม่”

เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มปรากฏร่องรอยวิตกกังวลขึ้นบนใบหน้า แล้วพูดขึ้นว่า

“ข้าไม่เชื่อ เจ้ามันเจ้าเล่ห์ มากไปด้วยกลอุบาย คิดจะหลอกลวงข้าให้เกิดความขลาดกลัว ไม่กล้าฝ่าฟันออกไป
ข้าไม่มีทางหลงกลเจ้า”

ธิดาเทพได้ยินเช่นนั้น ก็มีแววตาที่สลดลงวูบหนึ่ง แล้วกลบเกลื่อนเสีย

“เจ้าคงคิดว่าข้าเป็นหญิงที่เจ้าเล่ห์ มากด้วยเพทุบาย เมื่อกลับออกไปแล้วก็คงลืมข้าเสียสิ้นใช่หรือไม่”

สิ้นคำธิดาเทพก็เดินเลี่ยงออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วเป่าปากส่งเสียงเป็นสัญญาณดังขึ้น

เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็ตกใจ คว้ามือองค์หญิงหลบเข้าสู่มุมมืด โดยมิรู้ว่าจะทำประการใดต่อไป มันคิดไม่ถึงว่า
ธิดาเทพจะกระทำเช่นนี้จึงมิได้เตรียมแผนการณ์เอาไว้ล่วงหน้า

ทหารนับสิบคนกรูกันเข้ามาแล้วหยุดยืนอยู่ต่อหน้าธิดาเทพ ผู้เป็นนายของทหารเหล่านั้นถลันออกมา
แล้วไถ่ถามขึ้นว่า

“ข้าแต่ธิดาเทพ มีอันใดให้ข้าน้อยรับใช้”

ธิดาเทพชี้มือไปยังทิศใต้ แล้วพูดขึ้นว่า

“มีกลุ่มผู้บุกรุกเข้ามายังที่แห่งนี้ ข้าเห็นมันหลบหนีไปยังทิศใต้ พวกเจ้าพร้อมพลแม่นเกาทัณฑ์ทั้งหมด
จงติดตามมันไปแล้วจับตัวพวกมันมาให้ข้า”

ทหารผู้นั้นรับคำ แล้วออกไปสั่งการให้ทหารทั้งหมดที่เฝ้าทางออกอยู่นั้น เคลื่อนกำลังไปยังทิศที่ธิดาเทพบอกในทันที

เมื่อทหารเหล่านั้นเคลื่อนกองกำลังออกไปแล้ว ธิดาเทพก็เดินกลับมายังที่ที่เฟยอี้หลบอยู่ แล้วพูดขึ้นว่า

“เจ้าจงเร่งออกไปได้แล้ว ก่อนที่ทหารเหล่านั้นจะเคลื่อนย้ายกองกำลังกลับมา ที่ประตูทิศนี้ถูกข้าสั่งย้ายกองกำลังไปแล้ว
จงระวังตัวอย่าใครพบเห็นเป็นอันขาด มิเช่นนั้น ทหารเหล่านั้นจะให้สัญญาณแล้วรวมกองกำลังมาล้อมจับพวกเจ้า”

เฟยอี้เห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น ก็รู้สึกสะทกสะท้อนซาบซึ้งในน้ำใจของธิดาเทพผู้นี้ยิ่งนัก มันได้แต่หยุดยืนนิ่ง
จ้องมองใบหน้าของนาง มิสามารถกล่าวคำใดออกมาได้อีก จนธิดาเทพต้องร้องเตือนขึ้น

เฟยอี้เงยหน้าขึ้นสบตาแล้วคว้ามือของธิดาเทพมาเกาะกุมไว้ ในมือของธิดาเทพปรากฎเป็นผ้ายาวผืนหนึ่ง
มันคือผ้าที่เคยพันธนาการข้อมือของนางไว้กับมือของเฟยอี้เข้าไว้ด้วยกัน

“จงเก็บผ้าผืนนี้ไว้เป็นที่ระลึกว่า ครั้งหนึ่งเจ้าและข้าเคยมีไมตรีที่ซาบซึ้งต่อกัน ข้า..จะไม่มีวันลืมเลือนเจ้า”

ธิดาเทพมองดูผ้าในมือ แลัวฟังคำของเฟยอี้ ก็บังเกิดความซาบซึ้งใจ จนน้ำตาคลอขึ้นที่ดวงตาทั้งสอง นางรีบหันหลัง
แล้วร้องเตือนขึ้นอีกครั้ง

“เจ้าไปได้แล้ว ก่อนที่ทหารเหล่านั้นจะหวนกลับมา”

เฟยอี้คว้าข้อมือองค์หญิงฯ แล้วพาออกวิ่งไปยังทางออกนั้นทันที

ธิดาเทพ หันหน้ากลับมามองดู เห็นแผ่นหลังของมันค่อยๆ เลือนลับตาไป

———–

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง เจ้าลัทธิได้รับผลสำเร็จจากการเก็บตัวฝึกวิชาแล้ว ก็เดินออกมาจากห้องลับ
ด้วยความปลอดโปร่ง และภาคภูมิใจในตนเองยิ่ง ครั้นเห็นเหล่ากองทหารกำลังเคลื่อนย้ายกำลังพล
ผ่านหน้าตนไปเช่นนั้น ก็ร้องเรียกขึ้น

“ทหาร มีสิ่งใดเกิดขึ้น ใยจึงละทิ้งประตูเข้าออกมายังที่แห่งนี้”

นายทหารชั้นหัวหน้าได้ยินเช่นนั้น ก็หันมามองดู เห็นเป็นเจ้าลัทธิของตนกำลังยืนอยู่แล้วมองมายังตน
ก็ตกใจยิ่งนัก รีบเข้าไปทำคารวะแล้วรายงานขึ้นว่า

“ข้าแต่ท่านเจ้าลัทธิ มีกลุ่มผู้บุกรุกลักลอบเข้ามายังภายในวังของเรา แล้วกำลังหลบหนีออกไปทางทิศใต้
ข้าน้อยจึงนำกองกำลังทั้งหมดออกติดตาม”

เจ้าลัทธิได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจยิ่งนัก แล้วคาดการณ์ภายในใจทันทีว่า คงจะมีผู้ที่คิดลักลอบนำตัวองค์หญิงลีลู่อิน
ออกไปเป็นแน่ จึงรีบเร่งไปตรวจสอบยังสถานที่คุมขังองค์หญิงฯในทันที

เมื่อไปถึงเจ้าลัทธิก็พบประตูศิลาของหัองขังถูกทำลายลง มันถึงกับตาเบิกกว้าง รีบถลันร่างเข้าไปยังภายในห้องนั้น
พบว่า ภายในห้องขังนั้นว่างเปล่าและไม่มีร่องรอยใดๆปรากฏอยู่เลย

เจ้าลัทธิบังเกิดความโกรธแค้นเป็นอย่างมาก เรียกเหล่าทหารมาสั่งการในทันที

“พวกเจ้า จงกระจายกำลังออกค้นหาผู้บุกรุกให้พบภายในคืนวันนี้ มิเช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดจะต้องหัวหลุด
ออกจากร่างกันหมดทุกคน”

เหล่าทหารได้ยินเช่นนั้นก็บังเกิดความกลัวจนตัวสั่น เร่งรีบกระจายกำลังกันออกตามหาไปทั่วทิศทั้งสี่

กองกำลังทหาร เร่งออกค้นทั่วทุกจุดในวังเบญจธาตุ แต่ก็ไม่พบร่องรอยใดๆ
จนในที่สุด เหล่าทหารที่ออกตะเวนค้นหาในทิศตะวันออกผู้หนึ่ง ได้ขึ้นสู่หอคอยสังเกตการณ์
แล้วสังเกตุเห็นร่างของเฟยอี้และองค์หญิงฯ กำลังเดินทางออกจากกำแพงวังมุ่งสู่ทิศตะวันออก
จึงเป่าหวูดสัญญาณดังขึ้น

เหล่าทหารที่แบ่งกำลังกระจายไปยังทิศต่างๆ ครั้นได้ยินเสียงหวูดสัญญาณ ก็พากันมุ่งหน้ารวมตัวกัน
ไปสู่ทิศตะวันออกจนสิ้น

ธิดาเทพกำลังเดินกลับมายังที่พักของตนด้วยความหดหู่ ครั้นได้ยินเสียงหวูดสัญญาณก็ตกใจ
นางคิดว่าเฟยอี้จะหลบหนีจนรอดพ้นไปแล้ว แต่กลับมีเสียงหวูดสัญญานดังขึ้นเช่นนี้
ก็บังเกิดความเป็นห่วงรีบมุ่งหน้าออกติดตามไปยังเสียงหวูดสัญญาณนั้นทันทีเช่นกัน

เหล่าทหารม้าเคลื่อนที่เร็ว ควบม้าติดตามมายังทิศตะวันออกจนมองเห็นร่างของเฟยอี้ และองค์หญิงฯได้อย่างชัดเจน
ทหารม้าเหล่านั้นจึงขึ้นสายเกาทัณฑ์แล้วยิงออกไป

ลูกเกาทัณฑ์หลายสิบดอกพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าแล้วตกลงมา ไล่หลังเฟยอี้ และ องค์หญิงลีลู่อินไปอย่างฉิวเฉียด
เฟยอี้แหงนหน้าขึ้นดูเบื้องบนก็พบว่า ลูกเกาทัณฑ์อีกนับสิบดอก กำลังลอยตัวอยู่บนฟากฟ้าและจะพุ่งตกลงมา
ยังพื้นดินอีกเช่นเดียวกัน

เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็หยุดยืนแล้ว แล้วเร่งเร้าพลังวัตรภายในชั่วอีดใจ พลันก็ฟาดพลังฝ่ามือภูตคำรามออกไปอย่างรวดเร็ว

พลังอันรุนแรงหลุดพ้นจากฝ่ามือทั้งสองของเฟยอี้ พุ่งขึ้นสู่อากาศเบื้องบน แล้วบังเกิดเสียงหวีดหวิวติดตามพลังนั้นไป
เข้าทำลายล้างลูกธนูที่กำลังพุ่งตกลงมาจนเสื่อมสูญไปจนหมดสิ้น

องค์หญิงฯ ซึ่งยืนรอเฟยอี้อยู่ ณ.ที่นั้น เพ่งมองไกลออกไปเห็นกองกำลังทหารควบม้าใกล้เข้ามา จึงร้องบอกเฟยอี้
ด้วยความตื่นเต้นว่า

“เฟยอี้….พวกมันกำลังมากันแล้ว”

เฟยอี้มองออกไปตามทิศที่องค์หญิงบอก เห็นเป็นทหารม้านับสิบคนกำลังเตรียมขึ้นสายเกาทัณฑ์อยู่บนหลังม้า
มันจึงตัดสินใจร่ายรำฝ่ามือภูตคำรามขึ้นอีกครั้ง พลังลมปราณอันยิ่งใหญ่ก่อกำเนิดเป็นลูกพลัง แล้วหลุดพ้นไป
จากฝ่ามือทั้งสองของเฟยอี้ ตามติดไปด้วยเสียงที่คล้ายกับภูตผีคำรามร่ำร้อง ตรงเข้าทำลายล้างกลุ่มทหาร
บนหลังม้าเหล่านั้นจนตายเสียสิ้น

แล้วเฟยอี้ก็คว้าจับข้อมือขององค์หญิงฯ ไว้อย่างแนบแน่น

“เราเร่งหนีไปให้พ้นจากที่นี่กันเถอะ องค์หญิงฯ”

แต่ยังมิทันที่จะได้ก้าวเท้าวิ่งออกไป เกาทัณฑ์ลูกหนึ่งจากอีกหลายสิบดอกได้พุ่งตกลงมา
เสียบเข้าที่ขาข้างหนึ่งขององค์หญิงฯ จนล้มลง

เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็ตกใจแทบสิ้นสติ มันทรุดร่างลงนั่ง แล้วตรวจสอบดูบาดแผลขององค์หญิงฯ

เฟยอี้ตัดสินใจหักส่วนหางของลูกเกาทัณฑ์ที่ปักขาขององค์หญิงฯทิ้งไป

“โอ๊ยยยยยย……….”

องค์หญิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

“องค์หญิง ท่านเป็นเช่นไรบ้าง พอที่จะเดินทางต่อไปได้หรือไม่”

ที่หน้าผากขององค์หญิงฯ ปรากฏเม็ดเหงื่อใหญ่ผุดขึ้นมาโดยรอบ

“ข้าปวดบาดแผลเหลือเกิน ข้า…ข้า..คงติดตามเจ้าไปไม่ได้แล้ว พวกมันกำลังใกล้เข้ามา
เจ้า…เจ้า…ต้องรีบหนีไป เฟยอี้”

เฟยอี้ก้มลงตรวจสอบบาดแผลขององค์หญิงฯอีกครั้ง พบว่าบาดแผลเริ่มมีสีดำคล้ำ
“มันคือลูกธนูพิษ” เฟยอี้ลอบรำพึงอยู่ภายในใจ

เฟยอี้เหลือบมองใบหน้าขององค์หญิง เห็นนางพยายามปกปิด ซ่อนความเจ็บปวดไว้
ไม่ให้ปรากฏขึ้นบนใบหน้า ก็บังเกิดความสงสาร

“องค์หญิง ข้าจะแบกท่านไป ท่านจงขึ้นมาบนหลังของข้า”

แล้วมันก็หันหลังให้กับองค์หญิงฯ

องค์หญิงฯเห็นเช่นนั้นก็พูดว่า

“เราจะหนีไม่พ้น หากเจ้าต้องแบกร่างของข้าไว้บนหลัง เจ้าต้องเร่งหนีไปก่อน เฟยอี้”

เฟยอี้ไม่หันใบหน้ากลับมาดู มันพูดออกมาทั้งที่ยังหันแผ่นหลังให้นาง

“หากท่านไม่ขึ้นมาบนหลังข้า ข้าก็จะนั่งอยู่ ณ. ที่นี้ และขอตายไปพร้อมกับท่าน”

องค์หญิงฯ ได้ฟังคำพูดที่หนักแน่น และมั่นคงเช่นนั้นของเฟยอี้ ก็พยายามยันกายลุกขึ้น
แล้วเอนร่างลงแนบชิดกับแผ่นหลังของมัน เฟยอี้ยันกายลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวออกมาว่า

“องค์หญิงฯ ท่านกอดร่างข้าไว้ให้แน่น ท่านกับข้า หากว่ารอดตายในวันนี้เราจะรอดด้วยกัน
แม้ตายเราก็จะตายไปด้วยกัน”

องค์หญิงฯ ได้ยินคำพูดที่หนักแน่นมั่นคงประหนึ่งหินผาของมัน ก็รู้สึกอบอุ่นใจ เอื้อมมือโอบกอด
รอบลำคอของมันไว้แล้วแย้มยิ้มออกมา

ในสถานการณ์อันยากลำบากเช่นนี้ หากแม้นต้องตายลง แต่ตายพร้อมกับบุคลลที่มีน้ำใจเยี่ยงชายชาตรีเช่นมัน
นางก็ยินยอมพร้อมใจ ตายไปพร้อมกับมันอย่างเป็นสุข

เฟยอี้แบกร่างขององค์หญิง หลบลูกเกาทัณฑ์ที่ตกไล่หลังมา ยิ่งนานลูกเกาทัณฑ์ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
เหล่าทหารจากทุกทิศมารวมตัวกัน แล้วค่อยๆโอบล้อมมันไว้

เฟยอี้ยังคงแบกร่างขององค์หญิงออกวิ่งต่อไป จนในที่สุดมันก็ต้องหยุดฝีเท้าลง นิ่งมองไปยังเบื้องหน้า

สิ้นสุดการหลบหนีของมันเพียงเท่านี้ เบื้องหน้าของมันเป็นชะง่อนผาที่สูงชัน มองลงไปยังเบื้องล่าง
พบเพียงลำน้ำอันเชี่ยวกรากและหินผาแหลมคม ที่สามารถทิ่มแทงร่างของผู้ที่ตกลงไปให้ตายไปในทันที

เฟยอี้ทรุดกายลงนั่งแล้วพูดกับองค์หญิงฯ ว่า

“องค์หญิงฯ ท่านนั่งรอข้า ณ.ที่นี้ ข้าจะจัดการกับพวกที่ติดตามมาให้หมดสิ้น แล้วจะกลับมาพาท่านไปกับข้า”

เฟยอี้ปล่อยร่างขององค์หญิงให้นั่งพิงร่างอยู่กับหินใหญ่ก้อนหนึ่ง แล้วเดินออกมาเผชิญหน้ากับกองกำลัง
ที่ติดตามมา ดูเหมือนว่ามันหนุนเนื่องมาเป็นจำนวนนับร้อยแล้ว

พลันบังเกิดเสียงคนผู้หนึ่ง น้ำเสียงของมันเปี่ยมล้นไปด้วยพลังวัตร ดังขึ้นจนได้ยินกันทั่วบริเวณ

“ฮ่าๆๆๆๆ เป็นเจ้านี่เอง เจ้าเด็กน้อย”

ร่างของเจ้าลัทธิเหิรลอยมาบนอากาศ ด้วยวิชาตัวเบาที่เยี่ยมยอด แล้วม้วนตัวลงสู่พื้นดิน ยืนอยู่ต่อหน้ากองกำลังของมัน

“เจ้าเด้กน้อย เจ้าหาญกล้าเกินตัวไปแล้ว ที่บุกเข้ามายังวังของข้า”

เฟยอี้แย้มยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า

“เป็นท่านต่างหากที่หาญกล้านัก ท่านลักลอบชิงตัวบุตรสาวของผู้อื่นไป ช่างเป็นการกระทำที่สมเป็นผู้กล้าแห่งยุคจริงๆ”

เจ้าลัทธิได้ยินเฟยอี้กล่าวตอบโต้ในเชิงแดกดันเช่นนั้นก็โกรธ ตวาดกลับไปด้วยเสียงอันดังว่า

“ข้าต้องการจะดูว่าฝีมือของเจ้า จะเก่งกล้าเช่นเดียวกับปากของเจ้าหรือไม่ ที่วังหุบผาภูต เราสองยังมิทันรู้แพ้ชนะกัน
วันนี้เจ้ากับข้ามาประลองฝีมือกันให้เป็นที่ประจักษ์ รู้แพ้ชนะกันไป ”

สิ้นคำ เจ้าลัทธิก็เร่งเร้าพลังลมปราณ แล้วร่ายรำกระบวนท่าฝ่ามือเบญจธาตุ รอบๆร่างของมันปรากฎเป็นกระแสลม
หมุนวนอยู่โดยรอบ ดูคล้ายกับงวงแห่งลมพายุลูกหนึ่งที่หมุนวนอยู่ แล้วมันก็กระแทกฝ่ามือทั้งสองออกไป
กระแสพลังวัตรอันรุนแรงพร้อมกับงวงแห่งพายุหมุนนั้น พุ่งตรงไปยังร่างของเฟยอี้อย่างรวดเร็ว

เฟยอี้เห็นเจ้าลัทธิเร่งเร้าพลังลมปราณ ก็เร่งตั้งรับด้วยการเร่งเร้าพลังลมปราณของตนเองขึ้นเช่นกัน มันร่ายรำกระบวนท่า
ภูตคำรามทะยานฟ้า อันเป็นท่าไม้ตายขึ้นตอบโต้ พลังวัตรอันเข้มแข็งไหลเวียนอยู่ทั่วร่างของมันแล้วรวมตัวรออยู่ที่
ฝ่ามือทั้งสอง จนเกิดเป็นกลุ่มพลังวัตรขนาดใหญ่รอการปลดปล่อยออกไป

เมื่อเห็นว่าเจ้าลัทธิจู่โจมออกมาด้วยกลุ่มพลังวัตรที่มีกำลังรุนแรง เฟยอี้ก็กระแทกฝ่ามือทั้งสองออกไปเป็นการตอบโต้
บังเกิดกระแสลมหมุนวนอยู่รอบฝ่ามือทั้งสองของเฟยอี้ แล้วพุ่งออกไปด้วยกำลังแรงและรวดเร็ว

กลุ่มพลังอันยิ่งใหญ่ทั้งสองสาย พุ่งปะทะกันด้วยจนเกิดเสียงกัมปนาทปานฟ้าจะถล่มลงมา
ฝูงนกกาที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างตกใจบินหนีขึ้นสู่ท้องฟ้าจนมืดมิด ฝุ่นผงธุลีฟุ้งกระจายอยู่โดยรอบบดบัง
จนมองไม่เห็นสิ่งใดๆ

เฟยอี้ได้รับความกระทบกระเทือนภายในจนล้มลง มันเร่งยันกายลุกขึ้นแล้วอาศัยทัศนวิสัยที่มืดมัวนี้
ตรงเข้าไปหาองค์หญิงลีลู่อิน แล้วพูดว่า

“องค์หญิง ท่านเร่งขึ้นหลังข้า เราต้องรีบไปกันแล้ว”

เฟยอี้แบกองค์หญิงขึ้นบนหลังแล้วตรงไปที่หน้าผาอันสูงชันนั้น แล้วหันหน้ามาพูดกับองค์หญิงว่า

“นี่คงเป็นหนทางเดียว ที่เราจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของมัน องค์หญิงฯท่านพร้อมจะเสี่ยงตายไปพร้อมกับข้าหรือไม่”

องค์หญิงแย้มยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น แล้วกล่าวว่า

“เมื่ออยู่กับเจ้า ข้าหามีความเกรงกลัวอันใด เจ้าไปที่ใดข้าก็จะไปที่นั่น”

เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้น ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับองค์หญิงฯ ดวงตาของมันฉายทอแววประกายแห่งความมุ่งมั่น
แล้วกระโจนร่างลงจากหน้าผานั้นไปพร้อมกับองค์หญิงที่อยู่บนหลังมันในทันที

ร่างของคนทั้งพุ่งตกลงมาอย่างรวดเร็ว เบื้องล่างต่อหน้าของคนทั้งสองปรากฏเป็นยอดหินแหลมคมหลายยอด
รอท่าให้ตกลงมาทิ่มแทง เฟยอี้พยามยามฝืนร่างต้านทิศทางแรงที่ตกลงมา จนร่างใกล้จะกระทบยอดหินแหลมคมยอดหนึ่ง
มันก็ดีดเท้ายันกับยอดหินนั้น จนร่างของคนทั้งสองผละไกลออกมา แล้วจะล่วงลงสู่ผืนน้ำอันเชี่ยวกรากเบื้องล่าง
ด้วยกำลังแรง เฟยอี้เกร็งพลังฝ่ามือขึ้นอีกครั้งแล้วฟาดออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้านั้น เป็นผลให้ผิวน้ำนั้นแตกกระจายออก
ด้วยกำลังแรงจนลดแรงตกกระทบลงไป ร่างของคนทั้งสองล่วงหล่นลงสู่ผืนน้ำนั้น แล้วจมลึกหายลับไปกับกระแสน้ำนั้น

ฝ่ายเจ้าลัทธิหลังจากปลดปล่อยพลังฝ่ามือเบญจธาตุขั้นสูงสุดปะทะกับพลังฝ่ามือภูตคำรามของเฟยอี้ ก็ถึงกับเซถลาถอยหลัง
ไปหลายก้าว มันถึงกับตกใจและคาดไม่ถึงว่า เพียงช่วงเวลาเพียงไม่นาน เฟยอี้กลับมีพลังฝีมือที่รุดหน้าสามารถต้านทาน
ฝ่ามือเบญจธาตุขั้นสูงสุดของมันได้ จนเมื่อฝุ่นควันเบาบางลงก็กลับไม่พบร่างของเฟยอี้แล้ว เจ้าลัทธิเหลียวมองหาไปโดยรอบ
ก็ไม่พบ มันจึงมิอาจนิ่งนอนใจปล่อยให้เฟยอี้มีชีวิตหลุดรอดออกไปได้ จึงร้องสั่งทหารทั้งหมดให้ออกติดตามหาจนกว่าจะพบตัว

ฝ่ายธิดาเทพที่ลอบติดตามมายังทิศสัญญาณเสียงหวูด ด้วยความเป็นห่วงเฟยอี้ ครั้นเห็นบิดาของตนกำลังปะทะฝีมืออยู่กับเฟยอี้
ก็แอบซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ จนเห็นเฟยอี้แบกร่างขององค์หญิงฯไว้ที่เบื้องหลังแล้วกระโดดลงไปจากหน้าผานั้น นางรอจนกระทั่ง
บิดาของตนสั่งกองกำลังให้เคลื่อนย้ายออกค้นหาตัวเฟยอี้แล้ว ก็ออกมาจากที่ซ่อนแล้วยืนมองดูที่หน้าผาสูงชันนั้น นางสอดส่ายสายตา
มองหาร่างของเฟยอี้ด้วยความเป็นห่วง เบื้องล่างนั้นลึกจนเกินกว่าที่สายตาของนางจะมองเห็น นางจึงตัดสินใจเดินอ้อมลงไปอีกฟาก
หนึ่งของผาที่ลาดชันน้อยกว่า แล้วค่อยๆไต่ลัดเลาะลงไปยังเบื้องล่าง

เหล่ากองกำลังทหารกลุ่มหนึ่ง กำลังติดตามเฟยอี้ตามคำสั่งของเจ้าลัทธิ ครั้นเห็นธิดาเทพกำลังเดินลัดเลาะลงจากไหล่เขาเช่นนั้น
ก็ร้องเรียกขึ้น

ธิดาเทพได้ยินเช่นนั้นก็เร่งฝีเท้าเดินลงไป เพื่อมิให้ทหารเหล่านั้นติดตามนางทัน จนในที่สุดนางก็เสียหลักพลัดตกลงจากทางเดิน
ลงไปยังเบื้องล่างจมลงไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก กระแสน้ำพัดพาร่างของนางไปจากที่นั้น ท่ามกลางสายตาของเหล่าทหารที่ออกติดตาม
ทหารเหล่านั้น ต่างตื่นตกใจกันจนหมดสิ้น แล้วเร่งนำความไปบอกต่อเจ้าลัทธิโดยทันที

———

ร่างของเฟยอี้ และ องต์หญิงลีลู่อิน หลังจากที่ตกลงมาจากผาสูงก็จมลงสู่ท้องน้ำลึก เฟยอี้เร่งแหวกว่ายพาร่างของตนเอง
และองค์หญิงฯขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากได้ กระแสน้ำนั้นซัดพาร่างของเฟยอี้ และ องค์หญิงฯ
ล่องลอยไปตามลำน้ำอันคดเคี้ยว จนกระทบเข้ากับโขดหินน้อยใหญ่ในบางขณะ แต่ก็มิสามารถเหนี่ยวรั้งร่างเอาไว้
เนื่องด้วยโขดหินเหล่านั้นมีความเรียบลื่นเป็นอย่างยิ่ง ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พยายามยึดเหนี่ยวโขดหินเอาไว้จนสำเร็จ
แต่ก็หลุดลื่นออกมา ล่องลอยไปตามกระแสน้ำอีกครั้ง

เฟยอี้ได้ยินเสียงน้ำล่วงหล่นสู่หุบเหวเบื้องล่างลึกลงไปอีกระดับหนึ่ง เสียงนั้นดังกึกก้องไปทั่วอาณาบริเวณ มันอยู่เบื้องหน้า
ไม่ไกลจากจุดที่มันอยู่เท่าใดนัก มันตระหนักได้ในทันทีว่า หากมิสามารถยึดเหนี่ยวสิ่งใดไว้ ร่างของมันและองค์หญิง
คงต้องตกลงไปยังหุบเหวเบื้องล่างแหลกเหลวเป็นแน่

เฟยอี้พยายามดีดร่างให้ลอยขึ้นจากพื้นน้ำเพื่อดึงเอาเถาวัลย์ที่ห้อยย้อยจากกิ่งไม้ซึ่งอยู่เหนือศรีษะของมัน
แต่ก็มิสามารถทำได้ถนัดนัก สายน้ำอันรุนแรงไม่รอให้ร่างของมันได้ตั้งหลักเลยแม้แต่น้อย มันพยายาม
ครั้งแล้วครั้งเล่าจนใกล้จะปลงต่อชะตาชีวิตแล้วนั้น ก็คล้ายกับว่าคนทั้งสองยังไม่ถึงที่ตาย เฟยอี้พบขอนไม้
อันหนึ่งลอยติดอยู่แก่งหินที่เบื้องหน้า มันจึงรีบเร่งเบี่ยงตัวสู้กับทิศทางของกระแสน้ำเพื่อเข้าไปหาขอนไม้นั้น
จนในที่สุด เฟยอี้ก็คว้าขอนไม้นั้นไว้ในอ้อมแขนมัน

ไม่รอช้าก่อนที่จะถูกกระแสน้ำพัดพาจนตกลงไปสู่เบื้องล่าง เฟยอี้ยันร่างกับขอนไม้นั้นลอยตัวขึ้นไป
ยึดเอาเถาวัลย์ไว้ได้เส้นหนึ่ง แล้วรั้งร่างเอาไว้ด้วยกำลังแขน จากนั้นก็เหนี่ยวรั้งเถาวัลย์นั้นพาร่างของตนเอง
และองค์หญิงฯลอยเข้าหาฝั่งจนสำเร็จ

เมื่อถึงฝั่งเฟยอี้ก็พูดกับองค์หญิงฯ ด้วยความดีใจว่า

“เราไม่ตายแล้ว องค์หญิง …เราไม่ตายแล้ว”

ไม่มีเสียงตอบจากองค์หญิงฯ มือของนางที่โอบรัดลำคอของมันนั้นตกลง เหลือเพียงร่างอันอบอุ่น
ที่อิงแอบกับร่างของมันอยู่เท่านั้น

“องค์หญิง…องค์หญิง…ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”

เฟยอี้ตกใจอย่างมาก ร้องเรียกองค์หญิงให้ตอบมันกลับมา พลางเร่งหงายร่างให้องค์หญิงนอนลงกับพื้น
แล้วรีบหันกลับมาดู เห็นใบหน้าของนางซีดเผือด ดวงตาปิดสนิทไม่ได้สติ มันรีบตรวจดูชีพจรพบว่า
ยังเต้นอยู่เป็นปกติก็คลายใจ จึงหันมาตรวจสอบบาดแผลที่ถูกพิษขององค์หญิง พบว่ารอบๆบาดแผล
เริ่มขยายรอยดำคล้ำออกมาเป็นวงกว้างก็รู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก

ครั้นหันไปดูโดยรอบก็พบว่ารอบกายของมันเป็นป่าทึบ ไม่มีร่องรอยผู้คนสัญจรผ่าน

ดวงตะวันบนท้องฟ้าเคลื่อนมาทางทิศตะวันตก ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเข้าสู่ยามเย็น เฟยอี้จึงเร่งหากิ่งไม้มาเก็บไว้
แล้วก่อกองไฟให้ความอบอุ่นแก่องค์หญิงฯ

องค์หญิงยังคงหลับตานิ่ง แต่ร่างสั่นเทาด้วความหนาวสั่น เสื้อผ้าของนางเปียกชื้นยิ่งเพิ่มพูนความหนาว
แก่นางเป็นทวีคูณ มันได้แต่เพ่งมองไม่กล้าตัดสินใจช่วยเหลือนาง

เฟยอี้ต้องการจะเปลื้องเสื้อผ้าที่เปียกชื้นของนางออก และเดินกำลังภายในระงับพิษให้แก่นาง
ตามวิธีที่หมอวิปลาสอาจารย์ของมันเคยกระทำ ในคราวที่ได้ช่วยเหลือ ลิ่มบ้อฮวย ครั้งถูกพิษของลัทธิเบญจธาตุ
อาจารย์ของมันใช้วิธีเดินกำลังภายในเข้าที่จุด ถางจง อันอยู่กึ่งกลางระหว่าง ถันทั้งสองข้าง และจุด กวานหยวน
ซึ่งอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าสะดือลงไปหนึ่งฝ่ามือ

แต่จุดเหล่านั้นล้วนล่อแหลมต่อการล่วงล้ำระหว่างหญิงชาย หากองค์หญิงฯตื่นฟื้นคืนมาแล้วเข้าใจผิด
ก็จะเป็นเรื่องยุ่งยากใจของมันยิ่งนัก

มันเหม่อมองร่างขององค์หญิงฯ ซึ่งนอนหงายร่างสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เสื้อผ้าสีขาวของนางเปียกชื้น
รัดรึงเข้ากับเรือนร่างของนางจนเห็นส่วนโค้งนูนต่างๆขององค์หญิงอย่างชัดเจน เฟยอี้เฝ้ามองดูอย่างเซื่องซึมอยู่ครู่หนึ่ง
จนเห็นองค์หญิงฯละเมอร้องเรียกชื่อตนออกมา จึงเข้าไปสัมผัสที่หน้าผากขององค์หญิงก็รู้ว่า องค์หญิงเพ้อเพราะพิษไข้

เฟยอี้ตัดสินใจในทันทีเพื่อช่วยชีวิตของนาง มันเปลื้องเสื้อผ้าอันเปียกชื้นขององค์หญิงออกจากร่าง ทีละชิ้น
จนร่างขององค์หญิงเปลือยเปล่า แล้งเร่งกองไฟให้ลุกโชนขึ้นเพิ่มความอบอุ่นให้กับนาง

เฟยอี้อดไม่ได้ที่จะลอบชมเรือนร่างอันงดงามขององค์หญิง แต่จากลอบชมก็กลับกลายเป็นตะลึงค้าง แล้วเปลี่ยนเป็นจ้องมองดู
เรือนร่างเปลือยเปล่าที่ทอดกายอยู่เบื้องหน้าของมันนั้น งดงามปานปานเรือนร่างของเทพธิดา มิว่าบุรุษใดได้พบเห็นก็มิอาจ
สกัดหักห้ามใจมิให้ชื่นชมจ้องมองดู

ปทุมถันเต่งตึงชูยอดสีชมพูระเรื่อคู่งามนั้น กระเพื่อมขึ้นและลงตามจังหวะเข้าออกของลมหายใจ เฟยอี้เพ่งมองยอดถัน
งามทั้งคู่แล้วเหลือบมองไปดูใบหน้าขององค์หญิงฯ นางยังคงหลับตานิ่งไม่ได้สติ ใบหน้าของนางในยามต้องแสงไฟที่ลุกโชน
จากกองไฟที่ต้องลม ดูงดงามจนเฟยอี้เคลิบเคลิ้ม ครั้นเหลือบลงดูริมปากอวบอิ่มที่เผยอออกเล็กน้อยนั้น มันก็สุดที่จะระงับใจไว้ได้
ก้มลงจุมพิตอย่างเนิ่นนาน จนเมื่อได้สติก็ถอนใบหน้าออกมา

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

เฟยอี้พยายามระงับจิตใจมิให้ฟุ้งซ่าน แต่แล้วก็เผลอไผลจ้องมองที่ทรวงอกของนางอีกครั้ง ครั้งนี้มันทอดสายตาไล่ลงมายัง
หน้าท้องที่แบนราบนวลเนียนจนมาหยุดลงที่เนินเนื้อกึ่งกลางลำตัวของนาง

เนินสวาทขององค์หญิงฯ นูนเด่นขึ้นจากเรียวขาทั้งสองข้างอย่างเห็นได้ชัด เนินเนื้อนั้นกว้างขวาง และขาวผุดผ่องตัดกับไหมสีดำขลับ
อ่อนละเอียดเรียงตัวอย่างสวยงามตามกลีบสวาทอันอวบอิ่มทั้งสอง เฟยอี้จ้องมองแล้วตะลึงค้าง แก่นกายของมันชี้เกร็งขึ้นมาในทันที
สายตาของมันหยุดนิ่ง ณ.ตำแหน่งนั้นอย่างเนิ่นนาน อารมณ์กำหนัดของมันลุกโชนขึ้นประหนึ่งกองไฟที่ต้องลม มือของเอื้อมออกไป
อย่างลืมตัว แล้ววางลงบนเนินเนื้อนั้น มันสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มละมุนมือมันยิ่งนัก นิ้วของมันวางทับทับที่รอยผ่ากลางเนินสวาทของนาง
เตรียมที่จะกดให้นิ้วจมลึกลงไป

แต่แล้วมันก็กลับพลันได้สติชักมือขึ้นมา

“ไม่ได้ ทำไม่ได้ เราจะกระทำเช่นโจรราคะกับนางไม่ได้”

เฟยอี้คำนึงอยู่ภายในใจ แล้วหักห้ามกำหนัดของตนลง แม้ยากลำบากมันก็พยามยามสะกดกลั้นจนเป็นผลสำเร็จ
พลันมันก็เริ่มโคจรพลังในร่างขึ้น ฝ่ามือทั้งสองของมันชูสองนิ้วออกมาแล้วยกไว้ที่ระดับเอวถ่ายเทลมปราณให้ไหลเวียนมาสู่
นิ้วมือของมันทั้งสอง จากนั้นมือหนึ่งของมันก็จี้เข้าที่จุด ถางจง บริเวณกึ่งกลางถันทั้งสอง อีกมือหนึ่งก็จี้เข้าที่จุด กวานหยวน
เหนือเนินสวาทของของนางเล็กน้อย แล้วถ่ายเทลมปราณของมันเข้าสู่จุดทั้งสองของนาง

เฟยอี้เดินลมปราณจนมองเห็นว่า อาการหนาวสั่นของนางเริ่มคลายลงก็หยุด หันไปเพิ่มฟืนเร่งเปลวไฟให้ลุกโชน
เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับนาง ในระหว่างที่มันกำลังเติมฟืนเข้ากองไฟอยู่นั้น พลันก็เหลือบเห็นสิ่งหนึ่งลอยมากับสายน้ำ
มีลักษณะคล้ายดั่งร่างของมนุษย์ รวดเร็วเท่าความคิด เฟยอี้คว้าขอนไม้ที่ช่วยชีวิตตนเองไว้พร้อมกับเหนี่ยวเถาวัลย์
กระโจนตัวลงไปในสายน้ำแล้วแหวกว่ายตรงไปยังร่างนั้นจนคว้าจับร่างนั้นเอาไว้ได้ ก่อนที่จะถูกพัดพา
จนตกลงไปยังหุบเหวเบื้องล่าง หลังจากเหนี่ยวรั้งเถาวัลย์พาร่างนั้นกลับมายังฝั่งได้แล้ว มันก็เร่งประคองร่างนั้นขึ้นมา
วางใกล้กับกองไฟแล้วพลิกร่างให้หงายขึ้น แสงสว่างจากกองเพลิงก็ส่องให้เห็นใบหน้าของคนผู้นั้นได้อย่างชัดเจน

“ธิดาเทพ !..”

เฟยอี้ร้องออกมาอย่างตกใจ ใบหน้าของนางซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด มันเร่งคว้าข้อมือของนางมาตรวจดูชีพจร
เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ ก็แบกร่างของนางขึ้นบ่าแล้วเขย่าร่างอยู่ไปมาเพื่อให้น้ำไหลออกจากปอดของนาง
แล้ววางร่างของนางลงเคียงข้างกับร่างขององค์หญิง เพื่อรับความอบอุ่นจากกองไฟ

เฟยอี้ยืนนิ่งมองดูร่างของธิดาเทพ แล้วก็ครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
“หากนางคนใดตื่นฟื้นขึ้นมา ก็คงตำหนิเราเป็นโจรราคะเป็นแน่ เช่นนั้นอย่างไรก็มิอาจรอดพ้นจากคำกล่าวหานี้
ควรยึดถือการช่วยชีวิตไว้เป็นสำคัญจะดีกว่า”

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฟยอี้ก็ตรงเข้าไปเปลื้องผ้าของธิดาเทพออก ในระหว่างนั้นเฟยอี้ก็เหลือบไปเห็นเศษผ้าชิ้นหนึ่ง
ผูกติดไว้กับข้อมือของนาง มันจ้องมองดูด้วยดวงตาที่เซื่องซึมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเปลื้องผ้าให้นางต่อ จนเหลือแต่
ร่างเปลือยเปล่า แล้วจึงนำเสื้อผ้าของนางผิงไฟเอาไว้ จากนั้นมันก็เปลื้องเสื้อผ้าของมันออกเช่นกัน

พลันแก่นกายของมันก็ต้องชี้แข็งขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อหันกลับมาเพื่อหาตำแหน่งที่นอนให้กับตนเอง แล้วเหลือบไปมองดู
ร่างอันเปลือยเปล่าของนางทั้งสองที่นอนอยู่เคียงกัน ความงดงามของใบหน้าและเรือนร่างของนางทั้งสอง
มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย มันยืนนิ่งมองดูเรือนร่างเปลือยเปล่าอันแสนงดงามของนางทั้งสองอย่างเงียบงันและเนิ่นนาน

แต่แล้วมันก็หักห้ามใจเบือนหน้าหนี มันพยายามอดทนต่อกำหนัดที่เร่งเร้ามันอย่างมาก เฟยอี้ทรุดร่างนอนลงตรงกลาง
ระหว่างนางทั้งสองแล้วแหงนหน้าดูท้องฟ้าอันเวิ้งว้างยามค่ำคืน พลางครุ่นคิดในห้วงคำนึง

“จะมีบุรุษในโลกนี้มีโชคชะตาที่งดงามเฉกเช่นกับข้า แม้ต้องฝ่าฟันกับอุปสรรคและความยากลำบาก
จนแทบเอาชีวิตไม่รอด แต่ก็ยังมีสิ่งที่พาให้ชุ่มชื่นหัวใจ ด้วยในยามนี้มีหญิงงามประดุจเทพธิดาบนชั้นฟ้า
นอนเปลือยเปล่าอยู่เป็นเพื่อนข้าถึงสองนาง”

ดวงตาของเฟยอี้จ้องมองท้องฟ้าอย่างเลื่อนลอย แล้วก็ค่อยๆหรี่ตาลงจนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย

เวลาล่วงผ่านมาถึงยามสาม ดวงจันทร์ทอแสงสว่างนวลตาอยู่กลางฟากฟ้า ร่างของเฟยอี้นอนกอดก่าย
อยู่บนร่างของธิดาเทพ โดยมันเองก็มิได้รู้สึกตัว

ธิดาเทพได้หลับพักผ่อนมาหลายชั่วยามก็เริ่มรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมองเห็นท้องฟ้าสกาวไปด้วยแสงจันทร์
ก็เพ่งสำรวจมองดูสิ่งที่อยู่รอบตัวนาง ครั้นเห็นเป็นร่างของบุรุษเปลือยเปล่านอนกอดก่ายนางอยู่เช่นนั้นก็ตกใจ
แล้วเหลือบมองดูตนเอง ก็เห็นว่ากำลังเปลือยเปล่าอยู่เช่นเดียวกัน ก็ยิ่งตื่นตกใจเป็นทวีคูณ จึงส่งเสียงร้องกรีดแหลมออกมา 

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

แล้วผลักไสร่างของบุรุษผู้นั้นให้ห่างออกไป

เฟยอี้ถูกผลักร่างออกอย่างรุนแรงเช่นนั้นก็ตกใจตื่นขึ้น มองเห็นธิดาเทพตื่นฟื้นคืนมาก็ดีใจยิ่งนักลืมตัวลุกขึ้น
โดยหมายจะเข้าไปหานาง

ธิดาเทพเห็นบุรุษนั้นเป็นเฟยอี้ ก็คลายใจแต่ก็ต้องตื่นตกใจขึ้นอีกครั้งเมื่อนางเห็นร่างเปลือยเปล่าของมันลุกขึ้น
นางใช้มือปิดตาแล้วเอ่ยปากขับไล่ด่าทอมัน

“เจ้าทึ่ม เจ้า…ที่แท้เจ้าก็เป็นโจรราคะ..ออกไป…ออกไปอย่าเข้ามานะ”

เฟยอี้เห็นนางปิดตาเช่นนั้นก็ระลึกได้ว่าร่างของตนเปลือยเปล่าอยู่ จึงคิดที่จะหยิบเสื้อผ้ามาใส่ แต่แล้วก็หวนกลับมาคิดได้ว่า
ตัวมันเองและธิดาเทพ ต่างก็เป็นของกันและกันแล้ว จะมีอันใดต้องปกปิดเหนียมอายอีก คิดได้เช่นนั้นมันก็ล้มเลิกความคิด
ที่จะใส่เสื้อผ้า แล้วเข้ามาทรุดกายลงเคียงข้างกับนางแล้วพูดว่า

“ธิดาเทพ เจ้าบาดเจ็บที่ใดหรือไม่ เจ็บปวดที่ใดหรือไม่”

ธิดาเทพได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของมัน ก็ลดมือลงมองมายังมัน เห็นมันยังเปลือยอยู่ ก็ด่าทอมันอีก

“เจ้าทึ่ม ใยจึงยังไม่ใส่เสื้อผ้า เจ้าช่างดูน่าทุเรศยิ่งนัก”

“แล้วเจ้าเล่า นอกจากผ้าที่ติดอยู่ที่ข้อมือเจ้าแล้ว ส่วนอื่นๆก็หามีไม่ แต่เจ้ากลับดูน่าชมยิ่ง”

ธิดาเทพได้ยินเช่นนั้นก็ระลึกขึ้นได้ว่า ตนเองก็เปลือยเปล่าอยู่เช่นกันก็เกิดความละอายจนใบหน้าแดงระเรื่อ
คิดจะวิ่งไปยังกองเสื้อผ้าของตนที่เฟยอี้ผิงไฟไว้

เฟยอี้กลับว่องไวยิ่งนัก มือของมันรวบคว้าร่างของนางเอาไว้ได้ มันอบกอดนางไว้แนบกับทรวงอกมัน
ใบหน้าของมันแนบชิดกับใบหน้าของนางพลางพูดขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า

“เจ้ากับข้ามีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ทั้งร่างกายและหัวใจ ใยต้องเหนียมอายหาเสื้อผ้ามาปกปิดด้วย”

ธิดาเทพดิ้นรนปัดป้อง แล้วพูดขึ้นว่า

“ผู้ใดมีสัมพันธ์กับเจ้า ที่ผ่านมามีแต่เจ้าที่รังแกข้า และครั้งนี้เจ้ายังจะทำเช่นนั้นอีก
ปล่อย…ปล่อยข้านะ”

เฟยอี้ซุกไซ้ใบหน้าไปที่พวงแก้มของนาง แล้วโน้มร่างของนางให้นอนลง
ดวงตาทั้งคู่ของมันประสานกับดวงตาของธิดาเทพ จนนางต้องหลบตาลง

“ผ้าที่ผูกอยู่ที่ข้อมือของเจ้าคือสัมพันธ์ที่เจ้ากับข้ามีต่อกัน เจ้ามีความห่วงใยข้า
ถึงกับติดตามมาโดยไม่คิดถึงชีวิตเช่นนี้ ข้ามีรึที่จะกล้ารังแกเจ้า มีแต่จะต้อง
ปกป้องและทนุถนอมเจ้าด้วยชีวิตของข้า”

เฟยอี้ก้มลงจุมพิตที่ปากของธิดาเทพอย่างดูดดื่มและเนิ่นนาน ธิดาเทพหลับตาพริ้มลง
จิตใจของนางสั่นสะท้านและหวาบหวิว ท่ามกลางบรรยากาศอันงดงามเช่นนี้
นางได้อยู่ในอ้อมกอดของมัน บุรุษผู้ที่ได้ใจของนางไว้ครอบครอง นางเองก็สุดที่จะทัดทาน
ยับยั้งอารมณ์อ่อนไหวของตนอีกต่อไป ได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามท่วงทำนองของมัน

นางเผยอปากปล่อยเสียงครางออกมา เมื่อเฟยอี้เลื่อนใบหน้าลงมาที่ทรวงอกแล้วโลมเลีย
ลิ้นลากเลียเป็นวงกลมที่รอบยอดถัน ก่อนที่จะไล่ระรัวที่ยอดถันนั้นจนชี้ชันขึ้นมา
แล้วมันก็อ้าปากอมดูดยอดถันนั้นไว้ในปากของมัน

มือข้างหนึ่งของมันลูบไล้อยู่ที่เรียวขาของนางแล้วเลื่อนขึ้นมาจนเกาะกุมที่เนินนูนของนางไว้
มันค่อยๆกดน้ำหนักฝ่ามือของมันลงบนเนินสวาทนั้น แล้วเค้นคลึงอย่างแผ่วเบา
พลางทาบทับนิ้วมือของมันไว้ที่ร่องสวาท นิ้วมือของมันลูบไล้และลากวนอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนที่จะกดนิ้วให้จมลึกลงไปบดบี้กับติ่งสวาทของนาง

ธิดาเทพ ถูกก่อกวนทั้งยอดถัน และ ที่ติ่งสวาทพร้อมกัน ก็ถึงโยกย้ายสะโพกขึ้นอย่างสุดเสียว

“อึ้ยยย……..ซี๊ดดดดดดดดดดด………………อ้าาาาาา………”

ขาข้างหนึ่งของเฟยอี้ที่ก่ายทาบทับร่างของนางไว้ เริ่มขยับเคลื่อนขึ้นมา จนเปลี่ยนเป็นคร่อมทาบทับร่างของนางไว้
แก่นกายอันแข็งเกร็งของมันถูกวางลงบนเนินนูนของนางอย่างแนบสนิท แล้วมันก็เคลื่อนร่างให้แก่นกายของมัน บดคลึงกับ
เนินนูนนั้นจนบิดเบี้ยวไปตามการโยกคลึงของมัน

ธิดาเทพรู้สึกได้ว่า ติ่งเสียวของนางถูกมันใช้แก่นกายบดบี้ไปมา จนนางเองก็รู้สึกเสียวสะท้าน แอ่นร่างโยกคลึงติดตามมันไป

“อูยยยยยยย……………..อ้าาาาาา……”

เฟยอี้เลื่อนใบหน้าขึ้นไปแนบชิดกับใบหน้าของนาง มือของมันข้างหนึ่งจับแก่นกายของมันถูไถวนเวียนที่ร่องสวาทของธิดาเทพ
จนบริเวณนั้นของนางชื้นแฉะ จากนั้นส่วนหัวของแก่นกายมันก็ค่อยๆจมลึกหายลงไป จนในที่สุด แก่นกายของมันทั้งหมด
ก็มุดหายลงไปในโพรงสวาทของนางจนหมดสิ้น

ธิดาเทพปิดตาลง แล้วนิ่วหน้า นางรู้สึกถึงความใหญ่โตของแก่นกายมันที่ล่วงล้ำเข้ามา แล้วก็ต้องอ้าปากครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน
ไปทั้งช่องท้อง เมื่อแก่นกายนั้นเริ่มขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้า

“โอ้ววววววววว………ซี๊ดดดดดดดด……………..ซี๊ดดดดดดดดดดดดดด……”

เฟยอี้กัดกรามแน่น สองมือของมันตระกองกอดร่างของนางไว้ พลางซุกไซ้ใบหน้าอยู่ที่ปทุมถันทั้งสอง ส่วนล่างของมัน
ขยับเข้าออกอย่างเนิบนาบ โพรงสวาทของนางรัดรึงแก่นกายของมันจนแนบแน่น สร้างความซ่านเสียวให้กับมันยิ่งนัก

เฟยอี้ขยับร่างเข้าออกเร็วขึ้น เนื่องด้วยตัวมันเองในยามนี้ถูกโพรงสวาทของนางตอดรัดอย่างหนักหน่วง ความเสียวซ่าน
เพิ่มระดับขึ้นจนมันเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างลืมตัว

“โอ๊ะ…โอ๊ะ…โอ๊ะ…โอ๊ะ…โอ๊ะ…โอ๊ะ…โอ๊ะ”

ธิดาเทพครั้นถูกกระแทกกระทั้นอย่างกระชั้นถี่เช่นนั้น นางก็ถึงกับลืมตัวร่ำร้องออกมาอย่างสุดเสียวเช่นเดียวกัน

“โอ้ววว……โอ้ววววว……โอ้วววว…….โอ้วววว………”

เฟยอี้เร่งจังหวะจนรัวถี่ได้อยู่ครู่หนึ่ง มันก็ถึงกับเกร็งค้างไปทั้งร่าง แก่นกายของมันปลดปล่อยน้ำรักจนทะลัก
พรั่งพรูไปในโพรงสวาท จนเอ่อล้นออกมา เป็นเวลาเดียวกันกับธิดาเทพ นางถูกเฟยอี้กระแทกกระทั้นอย่างหนักหน่วง
และเร็วถี่ จนความเสียวของนางพุ่งขึ้นถึงระดับสูงสุด

นางถึงกับแอ่นร่างค้างนิ่ง ปลดปล่อยเสียงร้องยาวออกมา ระบายความเสียวซ่านที่เกิดขึ้น

“โอ้วววววววววววววววว…………………..อ้าาาาาาาาาาาาา”

ร่างของคนทั้งสองนอนกอดก่ายกันอย่างมีความสุข ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องยามค่ำคืน ธิดาเทพหลับตาแย้มยิ้ม
ก่อนที่จะหลับลงอย่างเป็นสุข

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More