ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 24 องค์หญิงลีลู่อินผู้งดงาม
ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 24 องค์หญิงลีลู่อินผู้งดงาม
โดย zeech
ทางด้านของวังหุบผาภูต ตั้งแต่เฟยอี้เดินทางจากไป อ๋องลีลู่ปังก็ให้คนติดตามความเคลื่อนไหว
แล้วกลับมารายงานอยู่เป็นระยะ จนในวันหนึ่งคนของอ๋องลีลู่ปังก็ควบม้าเร็วอย่างเร่งรีบ
ตรงเข้ามาขอเข้าพบอ๋องลีลู่ปังโดยด่วน อ๋องลีลู่ปังเมื่อทราบว่ามีม้าเร็วจากวังเบญจธาตุ
มาขอเข้าพบ ก็เร่งรีบออกมาโดยทันที
เมื่อไปถึงห้องโถงใหญ่ก็พบว่า ภูแพรทั้งสี่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว พวกนางทั้งสี่ล้วนร้อนใจ
ใคร่จะทราบความเคลื่อนไหวของเฟยอี้ และ องค์หญิงลีลู่อินด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่ออ๋องลีลู่ปังนั่งลงในที่ของตนแล้ว ม้าเร็วก็รายงานโดยทันที
“ท่านอ๋อง ท่านเฟยอี้ได้ลอบเข้าไปในวังเบญจธาตุ และช่วยเหลือองค์หญิงออกมาจากที่คุมขังได้
แต่เจ้าลัทธิรู้ตัว นำพาเหล่าทหารของวังเบญจธาตุนับร้อยล้อมจับท่านเฟยอี้และองค์หญิงฯเอาไว้
ท่านเฟยอี้เห็นว่าจวนตัว จึงพาองค์หญิงฯกระโดดลงจากหน้าผา
สูง จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ทราบ
ชะตากรรม ข้าน้อยจึงเร่งรีบมารายงานให้ท่านทราบ”
อ๋องลีลู่ปังได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งค้างอยู่ ใบหน้าซีดเผือดลงอย่างเห็นได้ชัด
ภูตแพรทั้งสี่ก็มีอาการไม่แตกต่างกัน พวกนางต่างตกตะลึงนิ่งค้างอยู่เนิ่นนาน
จนในที่สุด ภูตแพรขาวก็ถามขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
“ผาสูงนั้นอยู่ที่ใด แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ไปตรวจสอบดูว่าเฟยอี้และองค์หญิงฯ
เป็นอันตรายหรือไม่”
ม้าเร็วผู้นั้นเห็นสายตาดุร้ายของภูตแพรขาว ก็มีท่าทีตื่นตระหนก จนอ๋องลีลู่ปัง
ต้องเอ่ยขัดขึ้น
“พอเถอะเจ้าขาว…เฟยอี้ไม่ใช่ผู้ที่ไม่มีความคิด หากว่ามันไม่มั่นใจ เฟยอี้คงจะไม่นำ
ลู่อิน กระโดดจากผานั้นเป็นอันขาด ข้าเชื่อว่า ทั้งเฟยอี้ และลูกลู่อินของข้ายังมีชีวิตอยู่
เจ้าอย่าตื่นตระหนกไปเลย”
ภูตแพรขาวได้ยินอ๋องลีลู่ปังพูดเช่นนั้น ก็พลันบังเกิดความหวังขึ้นในใจและเห็นคล้อยตาม
จึงพูดขึ้นว่า
“เช่นนั้น…ท่านอ๋องโปรดอนุญาตให้ข้าออกติดตามองค์หญิงและเฟยอี้ด้วยเถิด
เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ให้ได้ความจริงอย่างแน่ชัด”
ภูติแพรอีกสามคนได้ยินภูตแพรขาวพูดเช่นนั้น ก็พากันร้องขอติดตามไปด้วย
ต่างส่งเสียงร้องขอต่ออ๋องลีลู่ปังพร้อมกันอย่างเซ็งแซ่ จนอ๋องลีลู่ปังต้องร้องห้ามขึ้น
“ท่านอ๋อง ข้าจะขอติดตามพี่แพรขาวไปด้วย…ใช่พวกเราจะขอติดตาม
พี่แพรขาวไปด้วย ”
“เอาล่ะ..เอาล่ะ…ข้าจะให้พวกเจ้าทั้งสี่ไปสืบหาความจริงเรื่องนี้ และหากว่าพบเฟยอี้กับลู่อิน
ก็จงเป็นกำลังช่วยนำตัวทั้งสองคนกลับมาอย่างปลอดภัยให้จงได้
ส่วนข้าจะอยู่ที่นี่ป้องกันวังหุบผาภูตไว้เอง”
ภูตแพรทั้งสี่ เมื่อได้รับคำอนุญาตจากอ๋องลีลู่ปังก็ยินดี เร่งรีบจัดเตรียมสัมภาระ
แล้วออกเดินทางไปยังวังเบญจธาตุในวันนั้นทันที
————–
หมอวิปลาส หยางเพ่ยจือ และ กิมเฮียกจื้อ เห็นกองกำลังในวังเบญจธาตุมีความเคลื่อนไหว
อย่างรีบเร่ง ประกอบมีเสียงหวูดถูกเป่าดังขึ้นอย่างเซ็งแซ่ ก็ทราบโดยแน่ชัดว่า
เฟยอี้ คงพลาดท่า ทำให้พวกมันรู้สึกตัวเสียแล้ว กิมเฮียกจื้อร้อนใจจนทนต่อไปไม่ได้
หุนหันจะเร่งออกไปดูเหตุการณ์ แต่ก็ถูกหยางเพ่ยจือยับยั้งไว้ให้รอฟังเหตุการณ์ให้แน่ชัด
ลงไปเสียก่อน
เวลาผ่านไปหลายชั่วยาม จนมีกองกำลังทหารเดินทางกลับมาประจำยังที่ของตน
หยางเพ่ยจือจึงเอ่ยปากถามต่อทหารผู้หนึ่งขึ้นว่า
“ทหาร เกิดเหตุอันใดขึ้นรึ พวกเจ้าจึงออกเดินพลุกพล่านกันเช่นนี้”
ทหารผู้นั้น หันกลับมา เห็นเป็นหยางเพ่ยจือก็กระทำคารวะ แล้วตอบว่า
“อ้อ…ท่านเทพธิดาฯ…มีผู้บังอาจบุกรุกเข้ามาในวังของเรา แต่ท่านไม่ต้องเป็นกังวล
ท่านเจ้าลัทธิ ได้ปะฝีมือกับมัน จนมันผู้นั้นตกลงไปจากผาสูงพร้อมกับเชลยหญิง
คาดว่าร่างคงแหลกเละตายอย่างน่าอนาจไปแล้ว”
แล้วทหารผู้นั้นก็ลาจากไป
กิมเฮียกจื้อ ได้ยินทุกคำพูดของทหารผู้นั้น นางนิ่งเงียบตะลึงงัน น้ำตาของนางเอ่อท้นในดวงตา
หมอวิปลาสเห็นเช่นนั้นก็เกิดความสงสาร พูดปลอบใจกิมเฮียกจื้อขึ้นว่า
“เฮียกจื้อ ..เจ้าอย่าวิตกไปเลย เฟยอี้มีกำลังภายในที่สูงเยี่ยม ทั้งยังมีวิชาตัวเบาเมฆาลอยล่อง
ที่ข้าถ่ายทอดให้ ข้าคิดว่ามันต้องไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน”
กิมเฮียกจื้อหันหน้ากลับมาโดยเร็ว ใบหน้าของนางมีน้ำตาล้นเอ่อออกมา แล้วพูดขึ้นว่า
“แต่…ข้าไม่มั่นใจ ข้าต้องการไปดูให้เห็นกับตาว่ามันไม่เป็นอันตราย”
กิมเฮียกจื้อ หันไปทางหยางเพ่ยจือแล้วร้องขอขึ้น
“อาจารย์ขอให้ข้าไปเถอะนะ”
หยางเพ่ยจือ มองหน้าศิษย์เอกของนางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวออกมาว่า
“เอาเถอะ ข้าจะให้เจ้าไป แต่เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ทางที่ดีอย่าให้ทหารเห็นตัวเจ้าเป็นอันขาด
มิเช่นนั้นเจ้าลัทธิจะเกิดความสงสัย ส่วนตัวข้าคงไปกับเจ้าด้วยไม่ได้ ข้าต้องอยู่ที่นี่เผื่อ
ว่าท่านเจ้าลัทธิจะเรียกหา”
หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวแทรกขึ้นมาว่า
“เช่นนั้น ข้าจะไปกับนางเอง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
ในค่ำวันนั้น ทั้งหมอวิปลาสและกิมเฮียกจื้อ ก็ลักลอบออกจากวังเบญจธาตุทางด้านทิศตะวันตก
เพื่อหลบหลีกสายตาของเหล่าทหาร ที่ยังสืบค้นหาตัวเฟยอี้และองค์หญิงอยู่ทางด้านทิศตะวันออก
แล้วเดินตัดเนินเขาอ้อมกลับมา ยังตีนผาที่เฟยอี้และองค์หญิงตกลงไป
————
ทางด้านลิ่มบ้อฮวย เยี่ยกุ้ยอิงและศิษย์ทั้งสาม เตรียมตัวจะเดินทางออกจากสำนักเงาจันทรา
แต่แล้ว ลิ่มบ้อฮวยก็กล่าวขึ้นต่อเยี่ยกุ้ยอิงด้วยท่าทีที่ครุ่นคิดว่า
“กุ้ยอิง ลำพังเพียงพวกเรา หากเดินทางไปถึงแล้วพบกับเหล่าลัทธิเบญจธาตุ
คงยากที่จะรับมือได้ ข้ามีความคิดว่า จะเดินทางไปหยั่งท่าทีของเว่ยฉิงคัง
เผื่อว่ามันอาจจะช่วยระดมชาวยุทธเดินทางไปกับพวกเรา เจ้ามีความเห็นเช่นไร”
เหม่ยเยี่ย ได้ยินเจ้าสำนักลิ่มพูดเช่นนั้น ก็กล่าวแทรกขึ้นมาทันทีว่า
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าคิดว่าเว่ยฉิงคังผู้นี้ไม่น่าไว้ใจ ท่านอย่าได้ไว้วางใจมัน”
เยี่ยกุ้งอิงมองหน้าเหม่ยเยี่ย แล้วก็กล่าวขึ้นมาว่า
“แต่ข้าว่า ที่ท่านเจ้าสำนักพูดมาก็มีเหตุผล หากได้มันระดมชาวยุทธไปเป็นกำลัง
ช่วยพวกเราอีกทางหนึ่ง การค้นหาเฟยอี้และท่านหมอเมี่ยวก็จะง่ายขึ้น”
ลิ่มบ้อฮวย หันไปหาเหม่ยเยี่ยแล้วพูดขึ้นว่า
“เหม่ยเยี่ย เรื่องเว่ยฉิงคัง ข้าก็มีความเห็นไม่แตกต่างไปจากกับเจ้า ว่ามันเป็นบุคคล
ที่ไม่น่าไว้ใจ แต่ในสถานะการณ์เช่นนี้ เจ้าจำเป็นต้องแยกแยะ
เอาล่ะข้าตัดสินใจแล้ว เราจะเดินทางไปสำนักทวนผดุงคุณธรรม
ดูท่าทีของมัน หากว่ามันลงมือช่วยเหลือก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่หากว่ามันไม่ช่วย
พวกเราก็จะไปวังเบญจธาตุกันตามลำพัง”
ในบ่ายวันนั้น ลิ่มบ้อฮวยและศิษย์ก็เดินทางมาถึงสำนักทวนผดุงคุณธรรม
เว่ยฉิงคังให้คนไปเชิญลิ่มบ้อฮวยและศิษย์เข้ามายังห้องโถงใหญ่ แล้วให้การต้อนรับเป็นอันดี
ทั้งหมดนั่งรอมันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ได้เพียงครู่ เว่ยฉิงคังก็ปรากฎตัวเดินเข้ามา
กล่าวคำทักทาย ลิ่มบ้อฮวยและศิษย์ยังห้องโถงนั้น
“ขอคารวะท่านเจ้าสำนักลิ่ม ข้ายินดียิ่งนักที่ท่านและศิษย์เดินทางมาเยือนในวันนี้”
ลิ่มบ้อฮวยและศิษย์กระทำคารวะตอบตามธรรมเนียมแล้วนั่งลงตามคำเชื้อเชิญของเว่ยฉิงคัง
แล้วเว่ยฉิงคังก็กล่าวขึ้นว่า
“ในครั้งก่อน ข้าต้องขอขอบคุณท่านอีกครั้งที่นำ เม่ยเม่ยมาส่งให้
เอ่อ..มิทราบว่า ที่ท่านเจ้าสำนักลิ่มให้เกียรติมาเยือนข้าถึงสำนัก มีกิจอันใดให้ข้ารับใช้หรือไม่”
ลิ่มบ้อฮวยยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวขึ้นว่า
“ท่านสำนักเว่ย ข้าจะไม่อ้อมค้อมล่ะนะ ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะมีจุดประสงค์คิดที่จะไปช่วยคน
มิทราบว่าท่านได้ทราบข่าวของเฟยอี้ แล้วหรือไม่”
เว่ยฉิงคังนิ่งงันไปครู่หนึ่งก็ตอบออกมาว่า
“ไม่…ข้าไม่ทราบ มีเรื่องอันใดรึ”
“ข้าทราบมาว่า เฟยอี้บุกไปช่วยคนที่วังเบญจธาตุ แล้วเกิดการปะทะฝีมือกับเจ้าลัทธิ
และเหล่าบริวารของมัน เฟยอี้พลาดท่าตกจากผาสูง ถึงตอนนี้เป็นหรือตายไม่ทราบชะตากรรม
พวกข้าจึงคิดที่จะไปวังเบญจธาตุเพื่อช่วยเหลือมัน ตัวท่านในฐานะผู้นำชาวยุทธมิทราบว่าจะช่วย
นำพาเหล่าชาวยุทธไปช่วยเหลือมันได้หรือไม่”
เว่ยฉิงคังได้ยินเช่นนั้น ก็หัวเราะขึ้น แล้วพูดว่า
“ในครั้งก่อนข้าได้เคยบอกต่อท่านไปแล้วว่า ท่านเฟยอี้ไม่น่าหุนหันด่วนใจร้อนเช่นนี้
แล้วก็เป็นดังคำของข้า ท่านเฟยอี้ประสบชะตากรรมเช่นนี้ ก็เพราะคิดกระทำการใหญ่
โดยไม่ประเมินความสามารถของตน
ข้าต้องขออภัยที่ไม่สามารถช่วยเหลือท่านในเรื่องนี้ได้ ข้าในฐานะผู้นำชาวยุทธ
จะไม่นำพาเหล่าชาวยุทธไปเสี่ยงอันตรายเพื่อบุคคลเช่นมันเพียงคนเดียว”
ลิ่มบ้อฮวยและศิษย์ลุกจากที่นั่งขึ้นพร้อมกัน แล้วลิ่มบ้อฮวยก็กล่าวขึ้นว่า
“เจ้าสำนักเว่ย ท่านไม่ช่วยก็ไม่เป็นไร แต่เหตุใดต้องพูดจา ดูถูกมันเช่นนี้
แม้เฟยอี้ จะไม่สามารถเอาชนะเจ้าลัทธิเบญจธาตุได้ แต่อย่างน้อยมันก็มีความกล้า
คิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เป็นเช่นดังท่าน คิดแต่จะเอาเหล่าชาวยุทธเป็นเกราะกำบัง
ความจริงท่านก็ขลาดกลัว มิกล้ากระทำเช่นมัน”
เว่ยฉิงคัง หันไปมองลิ่มบ้อฮวยด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว
“ท่าน….ท่าน……..”
“พวกข้า แม้เป็นเพียงอิสตรีแต่หาเกรงกลัวต่อพวกมันไม่ พวกข้าจะไปช่วยเหลือ
เฟยอี้กลับมาให้จงได้”
แล้วลิ่มบ้อฮวยและศิษย์ ก็เดินออกจากสำนักทวนผดุงคุณธรรมไปโดยไม่กล่าวคำร่ำลา
หลังจากที่ลิ่มบ้อฮวยเดินทางออกจากสำนักทวนผดุงคุณธรรมได้เพียงครู่ ก็รู้สึกตัวว่า
ถูกติดตาม จึงหันหลังกลับ แล้วตวาดออกมาด้วยเสียงอันดังว่า
“นั่นใคร ใยจึงลอบติดตามข้า หากยังไม่ออกมาข้าจะซัดอาวุธออกไปแล้ว”
สิ้นคำของลิ่มบ้อฮวย ก็ปรากฏร่างของดรุณีนางหนึ่งเดินออกมาจากที่ซ่อน
ศิษย์ของสำนักเงาจันทราเห็นดรุณีนางนั้นก็ร้องขึ้นพร้อมกัน
“เม่ยเม่ย”
เยี้ยกุ้ยอิงกล่าวกับเม่ยเม่ย เป็นคนแรกว่า
“เม่ยเม่ย เจ้าติดตามพวกเรามาด้วยเรื่องอันใด”
เม่ยเม่ย มีใบหน้าที่เป็นกังวล กล่าวตอบออกไปว่า
“ข้าได้ยินคำสนทนาของพวกท่านกับพี่ใหญ่ ข้าเป็นห่วงพี่เฟยอี้
ขอให้ข้าไปกับพวกท่านด้วยเถอะนะ”
ลิ่มบ้อฮวยส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้นว่า
“ไม่ได้ วังเบญจธาตุมีอันตรายมาก ข้าให้เจ้าไปด้วยไม่ได้ แล้วนี่พี่ชายเจ้า
ล่วงรู้หรือไม่ หรือว่าเจ้าลอบหนีมันออกมา”
เม่ยเม่ย เริ่มมีน้ำตาไหลออกมา แล้วกล่าวอ้อนวอนต่อลิ่มบ้อฮวย
“ข้าไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้ เมื่อทราบว่าพี่เฟยอี้มีอันตราย เช่นเดียวกับพวกท่าน
พี่ใหญ่ข้าไร้น้ำใจเช่นนี้ หากข้าไม่ลักลอบออกมาพวกท่านคิดว่าพี่ใหญ่ะยินยอมให้ข้า
ไปกับพวกท่านรึ”
เหม่ยลี่น้องเล็กสุด เห็นเม่ยเม่ยหลั่งน้ำตาออกมาเช่นนั้นก็เข้าใจความรู้สึกของนาง
กล่าวออกมาต่อเจ้าสำนักของตนว่า
“ท่านเจ้าสำนัก ข้าเกรงว่าแม้พวกเราไม่ให้นางติดตามไป นางก็คงต้องลอบเดินทาง
ไปเพียงผู้เดียวอยู่ดี และอาจมีอันตรายเกิดขึ้นต่อนางได้ มิสู้ให้นางเดินทางไป
พร้อมพวกเราจะมิดีกว่ารึ”
ลิ่มบ้อฮวยได้ยินเหม่ยลี่พูดเช่นนั้น ก็เห็นตาม จึงยินยอมให้เม่ยเม่ยร่วมเดินทาง
ไปพร้อมกัน
แล้วสตรีทั้งหกนางก็มุ่งหน้าเดินทางไปยังวังเบญจธาตุต่อไปทันที
——–
ที่ถ้าใต้ปล่องเขาสูงนั้น
เฟยอี้ตื่นตะลึงกับแนวทางลมปราณ ที่ระบุไว้ในคัมภีร์ลมปราณฟ้าดิน-หยินหยางเป็นอย่างมาก
มันไม่คาดคิดมาก่อนว่า จะมีวิชาลมปราณที่แปลกประหลาดและพิสดาร สามารถซึมซับพลัง
หยินและหยางจากทุกสรรพสิ่งได้เช่นนี้
เฟยอี้อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อทบทวนทำความเข้าใจในเคล็ดวิชา
“ขั้นที่หนึ่ง
รวมจิตเป็นหนึ่ง ปลดปล่อยลมปราณภายในออกสู่ภายนอก จนเข้าสู่สภาวะแห่งความว่าง
เมื่อเข้าสู่สภาวะว่าง โคจรลมปราณดึงเอาพลังบริสุทธิ์จากฟ้าและดินเข้ามาภายใน ร่าง
จนเข้าสู่สภาวะเต็ม
ขั้นที่สอง
เมื่อฝึกถึงขั้นเข้าสู่สภาวะเต็ม จนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าและดินแล้ว
ทะลายเกราะในร่างที่ปิดกั้นออกทั้งหมด ด้วยการเดินลมปราณจากพลังบริสุทธิ์ของฟ้าและดิน
เปิดทะลวงชีพจรรับเอาพลังหยินและหยางจากทุกสรรพสิ่ง
ขั้นสุดท้าย
เมื่อหยินและหยาง สมดุลสอดคล้องกันดีแล้ว ลมปราณจะมีความต่อเนื่องไม่ขาดตอน
แกร่งและหยุ่น เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ผ่อนคลาย แต่เปี่ยมล้นไปด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่
แข็งแกร่งแฝงความหยุ่น ในความหยุ่นแฝงความแกร่ง ทั้งแกร่งและหยุ่นต่างสอดคล้องเกื้อหนุนกัน”
เฟยอี้เงยหน้าขึ้น ดวงตาของมันเจิดจ้าพองโต แล้วหยิบเอาคัมภีร์ท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยน
ขึ้นมาเปิดดูพบข้อความของเคล็ดวิชา และภาพวาดของท่าร่างอันพิสดารล้ำลึก
ข้อความที่ระบุอยู่ในคัมภีร์เช่นนี้ เฟยอี้ไม่คาดคิดว่าจะมีผู้ใดจะสามารถกระทำตามได้
และไม่เข้าใจว่า เหตุใดท่านผู้เฒ่าจางจึงได้เขียนไว้เช่นนี้ มันเฝ้าใคร่ครวญอยู่ไปมา
จนเวลาล่วงเข้าสู่ยามเย็น
องค์หญิงฯซึ่งนั่งคอยเฟยอี้อยู่ เห็นว่าแสงสว่างจากภายนอกถ้ำ เริ่มอ่อนแสงลง
ก็ร้องเรียกเฟยอี้ขึ้น
“เฟยอี้..เฟยอี้…เจ้าอยู่ที่ใด…เฟยอี้…”
เฟยอี้ได้ยินเสียงองค์หญิงฯ เรียกชื่อของตนก็พลันได้สติเงยหน้าขึ้นจากคัมภีร์
ร้องตอบนางกลับไป
“องค์หญิงฯ ข้าอยู่ในนี้ ข้าจะออกไปแล้ว”
ย่างเข้าสู่ยามเย็น แสงตะวันเริ่มอ่อนแสงลง จนสิ้นแสงลงไปในที่สุด
ความมืดมิดของท้องฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆ คืบคลานมาจนดำสนิทไปทั้งผืนฟ้า
เฟยอี้ก่อกองให้แสงสว่างและความอบอุ่นอยู่ภายในถ้ำใต้ปล่องเขานั้น
หลังจากกินอาหารเย็นกันแล้ว เฟยอี้และองค์หญิงฯ ต่างก็นั่งลงใกล้กองไฟ แหงนดู
แสงจันทร์และดวงดารา ผ่านช่องปล่องเขาขึ้นไป
บรรยากาศในยามนี้เงียบสงบและงดงามจนทั้งสองต่างก็ตกอยู่ในภวังค์
เวลาของค่ำคืนล่วงเลยผ่านไปในขณะที่ทั้งสองจ่อมจมอยู่ในภวังค์
และแล้ว องค์หญิงฯ เป็นผู้ทำลายความเงียบขึ้น
นางยังคงมองดูท้องฟ้า แล้วพูดขึ้นมาว่า
“เฟยอี้ หลายวันมานี้ เจ้าต้องลำบากเพราะข้า ข้าขอบใจเจ้ามากนะ
ที่คอยช่วยเหลือและดูแลข้า”
เฟยอี้หันไปมององค์หญิงฯ แสงจากกองไฟ ส่องแสงละมุนจับที่ใบหน้า
อันสวยสะคราญของนาง จนมันลุ่มหลงตะลึงค้าง
องค์หญิงฯเห็นมันนิ่งไป จึงหันหน้ามาสบสายตากับมัน
แล้วนางก็นิ่งค้างประดุจเดียวกับมัน องค์หญิงรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าว
ทำสิ่งใดไม่ถูกเมื่อได้สบตากับมัน
แล้วนางก็หันหลบสายตามัน เงยหน้าขึ้นมองดูแสงจันทร์
ที่ทอประกายอยู่เบื้องบน
เฟยอี้มองดูนางอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดขึ้นว่า
“องค์หญิงฯ หลายวันมานี้ข้ามีความสุขยิ่งนัก”
องค์หญิงฯ หันหน้าไปมองมันอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า
“อยู่ในสถานะการณ์เช่นนี้ เจ้ามีความสุขอันใด”
เฟยอี้แย้มยิ้ม แล้วจ้องมองดวงตาองค์หญิงแน่นิ่ง
“ข้ามีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่าน”
องค์หญิงฯได้ยินมันกล่าวคำนี้ออกมา นางก็รู้สึกวาบหวิว
เลือดในกายวิ่งพล่าน จนบังเกิดความประหม่าทำสิ่งใดไม่ถูก
หันใบหน้ากลับไป ไม่มองมายังมันอีก
เฟยอี้เห็นนางไม่มองและไม่ตอบคำมัน ก็ทำสิ่งใดไม่ถูก จึงเปลี่ยน
เรื่องพูดคุย
“แล้วบาดแผลของท่านเป็นเช่นไรบ้าง ยังเจ็บปวดอยู่หรือไม่”
“วันนี้ ข้าไม่รู้สึกว่ามีความเจ็บปวดเกิดขึ้นเลย”
แล้วนางก็ถกชายกระโปรงขึ้นเพียงเข่า จนมองเห็นบาดแผลที่มีรอยสีดำคล้ำ
และยังมีขนาดเท่ากับในตอนเช้า
เฟยอี้เงยหน้าขึ้นแล้วพูดกับองค์หญิงว่า
“บาดแผลของท่านไม่ลุกลามแล้ว เช่นนั้น ข้าจะใช้ลมปราณระงับพิษให้ท่านอีก”
เฟยอี้ขยับร่างเตรียมพร้อมในท่านั่งเดินลมปราณ แต่องค์หญิงฯกลับมีท่าที
อิดออด คล้ายไม่ต้องการให้มันเดินลมปราณระงับพิษให้ จนเฟยอี้ต้องร้องเตือน
“องค์หญิงฯ ใยท่านจึงยังไม่ถอดเสื้อผ้าอีก”
“ข้าไม่ชมชอบวิธีระงับพิษเช่นนี้เลย”
เฟยอี้กลั้นยิ้มไว้แล้วพูดว่า
“ท่านจะให้ข้าช่วยถอดให้ท่านหรือไม่”
องค์หญิงฯ ถลึงตาใส่มันแล้วพูดว่า
“เฟยอี้เจ้าหลับตาลงก่อน”
มันส่ายหน้าไปมาแล้วตอบโต้นางกลับไป
“ถึงอย่างไร ข้าก็ต้องเปิดตาขึ้นมองดูท่านอยู่ดี มิเช่นนั้นข้าจะจี้สกัดจุดให้ท่านได้อย่างไร”
แล้วมันก็หลับตาลงตามคำขอของนาง
องค์หญิงเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกจนหมด แล้วนั่งหันใบหน้ามาหามัน
พร้อมกับปิดตาของนางลง
“เฟยอี้ ข้าพร้อมแล้ว”
เฟยอี้ได้ยินเสียงขององค์หญิงฯพูดออกมาเช่นนั้น ก็ลืมตาขึ้นมองดู
ครั้นเห็นใบหน้าของนางอยู่ห่างจากตนเพียงเอื้อมถึง ก็ถึงกับตะลึงลานจ้องมองดู
ความงามบนใบหน้าของนางอย่างเคลิบเคลิ้ม
มันไล่สายตาลงไปมองดูปทุมถันที่เต่งตึงทั้งสองของนาง แล้วบังเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้น
แต่ก็พยายามสงบระงับไว้ แล้วเดินลมปราณจากช่องท้องไปที่นิ้วมือจี้เข้าที่จุดถางจง
กึ่งกลางทรวงอกของนาง
จากนั้นก็โคจรลมปราณไปที่นิ้วมืออีกข้างหนึ่งเตรียมที่จะจี้เข้าที่จุดกวนหยวน
เหนือเนินสวาทของนาง
พลันสายตาของมันก็หยุดนิ่งที่เนินเนื้อกลางหว่างขาขององค์หญิงฯ
เนินเนื้อนั้นเบ่งบานและแย้มเปิดออกจากการนั่ง จนมองเห็นกลีบสวาท
อันอวบอิ่มและขาวผุดผ่องตัดกับเส้นไหมสีดำอ่อนละเอียดที่ปกคลุมอยู่อย่างเป็นระเบียบ
ทั้งสอง
จิตใจของมันในยามนี้ ก่อเกิดกำหนัดขึ้นมาอย่างท่วมท้น มันจ้องมองดูเนินสวาทของ
นางอย่างไม่ละสายตา นิ้วมือของมันที่เกร็งลมปราณค้างนิ่งอยู่ กลับแปรเปลี่ยนเป็น
ผ่อนคลายลง
มันค่อยๆลดฝ่ามือลงไป แล้วคืบคลานฝ่ามือของมันลงจนเข้าเกาะกุมเนินสวาทที่เบ่งบาน
ของนางอย่างแผ่วเบา
องค์หญิงยังคงนั่งหลับตานิ่ง นางได้แต่นึกแปลกใจอยู่เช่นกันว่า ในคราวนี้เหตุใด
วิธีการสกัดจุดเดินลมปราณของเฟยอี้จึงเปลี่ยนไป แต่ก็นิ่งเฉยอยู่ไม่กล่าวคำใดออกมา
มือของเฟยอี้เกาะกุมเนินสวาทของนางไว้ในอุ้งมือมันจนหมดสิ้น สัมผัสที่นุ่มนิ่ม
กระทบกับฝ่ามือของมัน ยิ่งทำให้เฟยอี้ยากที่จะระงับยับยั้งอารมณ์กำหนัดของตนเอง
มิให้ก่อกำเริบ
มันค่อยๆกดนิ้วมือของมันที่ทาบทับอยู่ที่ร่องสวาทของนาง จนจมหายลงไปในร่องสวาท
อันหยุ่นนิ่มนั้นอย่างแผ่วเบา
องค์หญิงสะดุ้งกายขึ้น แล้วร้องถามออกไปทั้งยังหลับตา
“เฟยอี้ …เจ้า…เจ้า..ทำสิ่งใด……..”
เฟยอี้ตอบนางด้วยน้ำเสียงที่สั่นพร่า
“ข้าคิดจะเปลี่ยนจุดเดินลมปราณ ให้ลึกไปกว่าเดิม ”
นิ้วมือของเฟยอี้หมุนวนลงไปในร่องสวาทของนางแล้วสัมผัสเข้ากับติ่งเสียวที่นิ่งสงบอยู่ภายใน
มันหมุนวนนิ้วมือของมันก่อกวนติ่งเสียวขององค์หญิงฯ จนชี้ชันขึ้น
“ซี๊ดดดดดด…….อืมมม….เฟยอี้…มัน..ไม่..สมควร….เจ้า..อย่าาาาา…..ซี๊ดดดดดด….”
องค์หญิงฯถูกนิ้วมือของมันก่อกวน จนบังเกิดความชื้นแฉะขึ้น นางพยายามเรียกสติตนเอง
กลับมาเพื่อยับยั้งมัน
“อย่าาาา…..เฟยอี้….อย่า…เจ้าไม่สมควรทำ…เช่นนั้น……….อูยยยยยย..”
แล้วนางก็ลืมตาขึ้นมองดูหน้ามัน ดวงตาของนางเหมือนจะอ้อนวอนให้มันเลิกกระทำ
เช่นนั้นกับนาง แต่ใบหน้าของนางกลับบิดเบี้ยวด้วยความเสียวสยิว
เฟยอี้เร่งความเร็วนิ้วของมันอย่างระรัวถี่ จนเนินสวาทขององค์หญิงเปียกชื้นไปหมด
ถึงตอนนี้องค์หญิงก็ถึงกับอ่อนระทวยไปทั้งร่างด้วยความเสียวซ่าน นางไม่เข้าใจ
ตนเองว่าเกิดสิ่งใดขึ้น นางจึงไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืนมัน
เฟยอี้จุมพิตเข้ากับริมฝีปากงามนั้น แล้วฉกปลายลิ้นของมันคลอเคลียกับลิ้นของนาง
อย่างดูดดื่ม
ร่างของมันค่อยๆเอนทิ้งน้ำหนักลงไปที่ร่างขององค์หญิงให้เอนราบลงไปกับพื้น
ถึงตอนนี้เสื้อผ้าของเฟยอี้กลับหายไปจากร่างของมันอย่างรวดเร็ว
ร่างอันเปลือยเปล่าของมันทาบทับคลอเคลียอยู่กับเรือนร่างของนางอย่างแนบชิด
ปทุมถันทั้งสองของนาง ถูกมือทั้งสองของเฟยอี้ลูบไล้บดคลึงอย่างหลงไหล
นางรวบรวมสติและเกร็งนิ้วมือคิดจะหยิกเฟยอี้ให้ได้สติเหมือนในครั้งก่อน
แต่ครั้งนี้นางกลับช้าไป
เฟยอี้ลดใบหน้าลงมาแล้วประกบปากเข้ากับยอดถันของนาง สลับกับใช้ลิ้นโลมเลีย
อย่างหื่นกระหาย
นิ้วมือขององค์หญิงฯที่คิดจะหยิกแขนเฟยอี้ กลับกลายเป็นเกร็งค้างด้วยความเสียวซ่าน
ที่ผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเป็นระลอก
เฟยอี้อัดอั้นคั่งค้างกับเรือนร่างขององค์หญิงฯมาหลายวัน ครั้นมันตัดสินใจที่จะปลดปล่อย
อารมณ์คั่งค้าง ความพลุ่งพล่านของมันก็บ่าทะลักออกมาดุจทำนบแตก
มันซุกไซ้และเค้นคลึงทรวงอกของนางอย่างหื่นกระหาย ใบหน้าของมันคลอเคลียอยู่กับ
ทรวงอกงามคู่นั้นอยู่ตลอดเวลา มันทั้งสูดดมและดูดกินจนองค์หญิงฯ มิสามารถทานทนอยู่ได้
ถึงกับบิดกายแล้วร้องครางออกมาด้วยความรัญจวน
“..อืมมมมม……..ซี๊ดดดดดดด…………ฮ้าาาาาา……………ซี๊ดดดดดด…”
อารมณ์กำหนัดของนางก่อเกิด จนลืมการขัดขืนไปชั่วขณะ
เฟยอี้ซุกไซ้ใบหน้าต่ำลงมาเรื่อยๆ
จนในที่สุดมันก็หยุดมองนิ่งอยู่ที่เนินสวาทงามขององค์หญิงฯ
แล้วใช้มือยกเรียวขาของนางขึ้นข้างหนึ่ง พลางซุกใบหน้าลงไปคลอเคลียอยู่กับเนินสวาท
ที่แย้มเปิดออกจากการยกเรียวขาของมัน
มันลากลิ้นโลมเลียลงบนกลีบสวาททั้งสองของนางด้วยความหื่นกระหาย
แล้วตวัดปลายลิ้นของมันฉวัดเฉวียนไปมาที่ติ่งสวาทที่ชี้ชันอยู่นั้น
องค์หญิงฯสะดุ้งร่างแอ่นกายขึ้นด้วยความซ่านเสียวอย่างที่สุด นางร่ำร้องครวญคราง
ประหนึ่งว่าจะขาดใจ
“ฮ๊ายยยยยยยยย….ฮ๊ายยยยยยยย…………ฮ๊ายยยยย…..ฮ๊ายยยยย…”
เฟยอี้ในยามนี้กลับมีแววตาดุดัน คล้ายดังว่าจะกลืนกินองค์หญิงฯลงไปทั้งร่าง
มันยิ่งเห็นองค์หญิงฯร้องครวญคราง มันก็ยิ่งเพิ่มความดุดันขึ้น ด้วยการระรัวลิ้น
อย่างเร็วถี่ แล้วงับติ่งสวาทของนางเข้าไว้ในปากพร้อมกับดูดกินอย่างรุนแรง
องค์หญิงฯถึงกับแอ่นกายสูงขึ้นอีก แล้วค้างนิ่ง ใบหน้าของนางคล้ายดั่งทุกข์ทรมาน
อย่างที่สุด นางส่งเสียงคร่ำครวญกระชั้นถี่จนดังก้องไปทั้งถ้ำ
“ฮ๊ายยย….ฮ๊ายยย…ฮ๊ายยย…ฮ๊ายยย…ฮ๊ายยย…ฮ๊ายยย….”
ยิ่งนางร้องมันก็ยิ่งดูดหนักขึ้น โดยไม่ปล่อยให้นางได้พัก จนในที่สุดองค์หญิงก็มิอาจทานทน
ต่อความเสียวซ่านที่นางพึ่งเคยพบพานในชีวิต ร่างของนางถึงกับสั่นกระตุกติดๆกันหลายครั้ง
ใบหน้าของนางที่เคยบิดเบี้ยวกลับแปรเปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย จนดวงตาเลื่อนลอย
ส่งเสียงครางออกมา แล้วลดร่างที่แอ่นค้างลง
“ฮ๊ายยย…ฮ๊ายยย…ฮ๊ายยย……..โอ้วววววววววว……………..”
เฟยอี้เห็นว่านางจึงจุดสุขสมไปแล้ว มันก็เคลื่อนร่างขึ้นทาบทับร่างอันเปลือยเปล่าของ
องค์หญิง ใบหน้าของมันอยู่ห่างจากใบหน้าอันสะคราญของนางเพียงคืบ แล้วเอ่ยกับนางขึ้นว่า
“องค์หญิงฯ ข้ารักท่านยิ่งนัก เป็นของข้าเถอะนะ”
เฟยอี้ก้มลงจุมพิตที่ปากขององค์หญิงฯอย่างนุ่มนวล มันขยับท่อนล่างของมันให้คลอเคลียเสียดสี
กับท่อนล่างขององค์หญิงอยู่ไปมา
องค์หญิงฯ พึ่งจะถึงจุดสุขสมไป แต่ก็กลับก่อเกิดความเสียวซ่านขึ้นมาใหม่ เมื่อถูกแก่นกาย
ของมันบดคลึงอยู่กับเนินสวาทของนาง ลำแก่นกายที่แข็งเกร็งของมันทาบทับอยู่ที่
รอยผ่าบนเนินสวาทของนางพอดี ยามมันบดคลึงแก่นกายของมันไปมา
กลีบสวาทของนางก็ถูกบดบี้แย้มเปิดออกจนแก่นกายของสัมผ้สกับมันติ่งสวาทของนาง
องค์หญิงลีลู่อิน บังเกิดความวาบหวามในอารมณ์ นางหลับตาเผยอปากออกเล็กน้อย
เสียงครวญครางของนางดังออกมาไม่ขาด พร้อมบิดร่างอยู่ไปมาด้วยอารมณ์ที่ซ่านเสียว
เฟยอี้จับแก่นกายของมันจ่อเข้าที่ร่องสวาทขององค์หญิง มันจับส่วนหัวของแก่นกายมัน
ถูไถไปมาคล้ายกับจะเบิกทาง แล้วจึงดันเข้าไปจนส่วนหัวอันพองโตของมันจมหายลงไป
องค์หญิงฯถึงกับผงะยกสองมือของนางยับยั้งหน้าอกมันไว้ คล้ายกับจะไม่ให้
มันดันแก่นกายเข้ามาอีก
“โอ๊ะ……อย่าาาา….เฟยอี้..”
เฟยอี้ยับยั้งแก่นกายของมันคาไว้เช่นนั้น แล้วก้มหน้าลงจุมพิตที่หน้าผากของนาง
แล้วค่อยๆเลื่อนใบหน้าลงซุกไซ้ไปที่ใบหูและต้นคอ จนนางมีท่าทีผ่อนคลายลง
จากนั้นมันก็ค่อยๆขยับแก่นกายของมัน หมุนควงลงไปในโพรงสวาทของนางทีละน้อย
องค์หญิงมีใบหน้าที่บิดเบี้ยว นางทั้งเจ็บและแน่นคับไปทั้งร่องสวาท แต่ในความเจ็บนั้น
ก็ระคนไปด้วยความเสียวสยิวอย่างเป็นสุข
แต่แล้วนางก็ต้องสะดุ้งไปทั้งร่าง เมื่อเฟยอี้ดันแก่นกายของมันจนฝ่าทะลุพรหมจรรย์ของนาง
เข้ามาจนมิดแก่นกายของมัน ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว มือทั้งสองของนางจับแขนทั้งสอง
ของเฟยอี้ไว้อย่างแนบแน่น
เฟยอี้ค้างนิ่งแก่นกายของมันไว้ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเริ่มขยับเข้าและออกอย่างเชื่องช้า
โพรงสวาทขององค์หญิง รัดแก่นกายของมันจนแนบแน่น สร้างความเสียวซ่านให้กับมันอย่างที่สุด
จนมันเองก็ถึงกับครวญครางออกมาเช่นกัน
“ซี๊ดดดดดด……..ฮ่าาาาาา………………..ซี๊ดดดดดด…………..ฮ่าาาาาา………”
ร่างขององค์หญิงฯ เริ่มสั่นกระเพื่อมไปทั้งร่าง เมื่อเฟยอี้ขยับแก่นของกายมันเข้าออกเร็วขึ้น
นางบังเกิดความเสียวสยิวแล่นไปทั้งร่าง จนมือทั้งสองของนางจิกเกร็งลงไปบนลำแขนทั้งสองเฟยอี้
“โอ้วว………โอ้ววว……:ซี๊ดดด…โอ้วว………โอ้ววว………โอ้วว….ซี๊ดด…..โอ้ววว………”
แล้วเสียงร้องครวญครางขององค์หญิง ก็กระชั้นถี่เพิ่มขึ้น ร่างของนางแปรเปลี่ยนเป็นสั่นกระเพื่อม
อย่างหนักหน่วง
“ฮ๊ายย…ฮ๊ายย…ฮ๊ายย…ฮ๊ายย…ฮ๊ายย…ฮ๊ายย…ฮ๊ายย…ฮ๊ายย…”
เฟยอี้โยกแก่นกายของมันกระแทกกระทั้นร่างขององค์หญิงอย่างรุนแรง อารมณ์กำหนัดของมัน
พลุ่งพล่านจนเกินจะระงับ เนื่องจากร่องสวาทขององค์หญิงตอดรัดบีบคั้นแก่นกายของมัน
อย่างกระชั้นถี่จนมันเสียวซ่านจนสุดจะทานทน
มันปลดปล่อยอารมณ์กระแทกกระทั้นร่างขององค์หญิงฯอย่างลืมตัว ทั้งรวดเร็ว
และรุนแรง จนในที่สุดองค์หญิงฯก็มีใบหน้าที่เคลิบเคลิ้มล่องลอย เฟยอี้ส่งนางไปถึงจุดสุขสม
อีกครั้ง จนนางส่งเสียงร้องยาวออกมา
“โอ๊ะ..โอ๊ะ..โอ๊ะ..โอ๊ะ..เฟยอี้…..เฟยอี้…ข้า…ข้า….โอ้ววววววววววววววว…..”
ในเวลาเดียวกัน เฟยอี้รู้ตัวว่าจุดสุขสมมันกำลังจะมาถึงแล้ว มันจึงกดท่อนล่างของมัน
จนแนบสนิทกับเนินสวาทของนางแล้วบดคลึง จนแก่นกายของมันพ่นน้ำรักแตกทะลัก
พรั่งพรูออกมาเอ่อล้นไปทั่วโพรงสวาทขององค์หญิง แล้วไหลย้อยออกมาที่เบื้องนอก
“โอ้ววว…..โอ้ววว….โอ้ววว…โอ้ววว…องค์หญิงฯ……องค์หญิงฯ…….อ้าาาาาาาาาาา……..”
เฟยอี้ปล่อยแก่นกายของมันให้ค้างไว้ในโพรงสวาทของนาง แล้วทอดกายตระกองกอดร่าง
ขององค์หญิงฯไว้แนบกับทรวงอกของมันมัน ทั้งคู่นอนกอดก่ายกันอย่างแนบชิด
ท่ามกลางแสงจากกองไฟที่วับแวม ตลอดคืนนั้น
————–
ทูตดิน นำพาร่างที่บาดเจ็บของ ทูตไฟ ทูตน้ำ และทูตลม กลับมาถึงวังเบญจธาตุ
เหล่าทหารที่พบเห็นก็ช่วยกันประคองร่างของทูตทั้งสามเข้ามาในวังและรายงานต่อ
เจ้าลัทธิให้ทราบในทันที
เจ้าลัทธิเฝ้ารอข่าวจากทูตทั้งสี่อยู่ ครั้นได้ยินว่าพวกมันกลับมาแล้ว ก็มีความยินดี
เร่งรีบออกมาพบมันโดยทันที แต่ครั้นพอเห็นสภาพของทูตทั้งสามที่บาดเจ็บอย่างสาหัส
ก็ตกใจ ร้องถามขึ้นอย่างร้องรน
“ใยพวกเจ้าจึงมีสภาพเช่นนี้ ผู้ใด..ผู้ใด กระทำกับพวกเจ้า”
ทูตดินอยู่ในสภาพที่เป็นปกติที่สุด ได้ยินเจ้าลัทธิร้องถามเช่นนั้นก็ตอบออกไป
ตามความเป็นจริง
“ท่านเจ้าลัทธิ ผู้ที่กระทำให้พี่น้องของข้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ มันคือหลงจินหู่”
แล้วทูตดินก็บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดต่อเจ้าลัทธิ
เจ้าลัทธิเมื่อทราบว่า เทวทูตหน้าทองที่แท้ก็คือ หลงจินหู่ ลอบปลอมแปลงตนเข้ามา
ทั้งยังเป็นผู้ขโมยกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิไปอีก ก็รู้สึกสำนึกเสียใจ
ที่ผ่านมา มันฟังแต่คำยุยงของเทวทูตหน้าทอง จนสร้างความโกรธแค้นต่อชาวยุทธ
จงหยวน ทั้งยังในตอนนี้ หลงจินหู่ได้กระบี่อันทรงอานุภาพไว้ในครอบครองอีก
ก็นึกเป็นกังวลว่า ในวันหนึ่งมันก็คงจะต้องเข้ามาล้างแค้นตนถึงวังเบญจธาตุเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็สั่งคนของตนให้นำทูตทั้งสี่ไปพักผ่อน แล้วเรียกเทพธิดาหมื่นพิษ
หยางเพ่ยจือเข้ามาพบโดยด่วน
ครั้นเมื่อหยางเพ่ยจือเข้ามาพบ ยังห้องโถงแล้ว เจ้าลัทธิก็เอ่ยขึ้นในทันที
“เพ่ยจือ ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบในวันนี้มีเรื่องจะไถ่ถามเจ้าอยู่เรื่องหนึ่ง”
หยางเพ่ยจือกระทำคารวะ แล้วกล่าวว่า
“ท่านเจ้าลัทธิ มีเรื่องอันใดให้ข้ากระทำ โปรดบอกมาเถิด”
“ยาเทพโอสถทะลวงชีพจรของเจ้า มีสรรพคุณที่ล้ำเลิศนัก มันเพิ่มพลังยุทธให้กับข้า
จนสามารถข้ามผ่าน ขีดจำกัดที่ข้าเฝ้าเพียรพยายามมาหลายสิบปี จนวันนี้ข้าสามารถ
บรรลุฝ่ามือเบญจธาตุขั้นสูงสุด ได้สำเร็จ”
“หยางเพ่ยจือ ขอแสดงความยินดีกับ ท่านเจ้าลัทธิ”
เจ้าลัทธิเพ่งตามองไปข้างหน้า ด้วยท่าทีที่เป็นกังวล แล้วพูดขึ้นว่า
“วันนี้ ข้าได้ทราบอย่างแน่ชัดแล้วว่า ที่แท้เทวทูติหน้าทอง ก็คือหลงจินหู่ ที่ลอบปลอมแปลง
เข้ามาอยู่กับข้ามาหลายปี ทั้งในตอนนี้มันได้กระบี่ศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิของเราไป
ด้วยอานุภาพแห่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นั้น ข้ายังรู้สึกเป็นกังวลว่า วรยุทธของข้าในตอนนี้
ยังไม่พอเพียงที่จะรับมือกับมัน ข้าจึงคิดที่จะใช้ ยาเทพโอสถทะลวงชีพจรของเจ้า อีกครั้ง”
หยางเพ่ยจือเงยหน้า ด้วยท่าทีที่ตื่นตกใจ แล้วรีบกล่าวออกมาโดยเร็วว่า
“มิได้….มิได้นะ..ท่านเจ้าลัทธิ ยาเทพโอสถทะลวงชีพจรแม้มีสรรพคุณอันล้ำเลิศ
แต่ก็เจือด้วยตัวยาที่เป็นพิษ หากว่าท่านกินมันเข้าไปอีกครั้ง ท่านจะถูกฤทธิ์ของยา
ครอบงำจนมีสติวิปลาส ถึงตอนนั้นแม้ท่านจะมีวรยุทธที่ล้ำเลิศเพียงใด ท่านก็จะ
มิใช่บุคคลเดิมอีกต่อไป”
เจ้าลัทธิได้ฟังเช่นนั้น ก็ทอดหายใจยาวออกมา
“เอาล่ะ..เอาล่ะ…ข้าเข้าใจแล้ว ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อจะไถ่ถามเรื่องนี้
หากเป็นดังที่เจ้าพูดมา ข้าก็จะไม่กินมันอีกแล้ว”
แล้วเจ้าลัทธิก็หยิบขวดยาออกจากอกเสื้อ ส่งให้กับหยางเพ่ยจือ
“เอ้า…นี่ยาของเจ้า เอามันกลับไปเถิด หากมันยังอยู่กับข้า สักวันหนึ่ง
มิแน่ว่าข้าจะตัดสินใจกินมันเข้าไปอีก”
หยางเพ่ยจือเห็นเช่นนั้น ก็มีความยินดี
“ท่านเจ้าลัทธิ ท่านไม่ต้องเป้นกังวล วันใดที่ข้าสามารถสกัดพิษออกจาก
ยาเทพโอสถทะลวงชีพจรได้ ข้าจะนำมันมาให้ท่าน”
แล้วหยางเพ่ยจือก็ ลาเจ้าลัทธิกลับไปยังที่พักของตน
คำสนทนาของเจ้าลัทธิและหยางเพ่ยจือ มีบุคคลหนึ่งลอบฟังอยู่อย่างตั้งใจ
มันคือคนของเว่ยฉิงคัง ที่ถูกมอบหมายมาให้สืบหาความจริงถึงเหตุที่เจ้าลัทธิ
มีพลังยุทธที่สูงขึ้น จนสามารถมีชัยต่อเฟยอี้ได้ มันปลอมแปลงตนเป็นทหารยาม
เฝ้าประตูอยู่เบื้องนอกลอบฟังคำสนทนาทั้งหมด
เมื่อหยางเพ่ยจืออำลาเจ้าลัทธิกลับไปยังที่พักของตน มันก็ลอบติดตามไปห่างๆ
หยางเพ่ยจือไม่ทันรู้ตัว พอถึงที่พักของตนก็วางขวดยานั้นไว้แล้วเดินออกไป
ทำกิจของตนที่คั่งค้างอยู่
คนของเว่ยฉิงคังเห็นเป็นโอกาสอันดี ก็ลักลอบเข้าไปยังห้องยาของหยางเพ่ยจือ
หยิบขวดยา เทพโอสถทะลวงชีพจร แล้วนำกลับไปรายงานต่อเว่ยฉิงคังในทันที