ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 25 สมดุลย์แห่ง หยิน และ หยาง
ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 25 สมดุลย์แห่ง หยิน และ หยาง
โดย zeech
ตั้งแต่ฮุ่ยหนิงและลี่จิน เดินทางกลับมาถึง อารามชีบุปผาหยก จิตใจของพวกนาง
ก็ไม่เป็นปกติสุขเหมือนดังเดิม โดยเฉพาะฮุ่ยหนิง นางมีความรู้สึกสับสนและว้าวุ่น
กับความรู้สึกตัวเองยิ่งนัก ใบหน้าของบรุษผู้นั้น ยามที่มันเอ่ยวาจาก่อนจากนางไป
มันเฝ้าวนเวียนปรากฎอยู่ในห้วงความคิดของนาง จนนางไม่สามารถทำกิจในเพศบรรพชิต
ได้อย่างเป็นปกติ นางมักปลีกตัวอยู่แต่เพียงผู้เดียวยามว่างจากกิจในอาราม จนศิษย์น้อง
และศิษย์พี่ในสำนักต่างแปลกใจ
จนวันหนึ่ง ซื่อเหนียง ศิษย์พี่คนโตซึ่งขึ้นเป็นเจ้าสำนักแทน ซือไท่แส้เหล็ก
ที่เสียชีวิตไป ได้เรียกนางเข้ามาพบเป็นการส่วนตัวเพื่อสอบถามด้วยความเป็นห่วง
“ฮุ่ยหนิง เจ้ามีเรื่องอันใดไม่สบายใจ บอกข้าได้หรือไม่”
ฮุ่ยหนิงเงยหน้าขึ้น
สบตากับศิษย์พี่ของนาง แล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ไม่..ข้าไม่มี…เหตุใดพี่ซื่อเหนียงจึงถามข้าเช่นนี้”
“นี่เจ้าไม่รู้ตัวเลยรึว่า…ตั้งแต่เจ้า ถูกลัทธิเบญจธาตุจับตัวไป เจ้าก็เปลี่ยนไป
เจ้าไม่ร่าเริง ไม่พูดคุยกับพี่น้องของเจ้าเหมือนเช่นเคย ลี่จินเองก็เหมือนกัน
เมื่อสองวันก่อนก็เข้ามาถามข้าว่า หากนางจะคิดเปลี่ยนสถานะตนเองเป็นศิษย์ฆราวาส
จะได้หรือไม่ ข้าถามว่า เพราะเหตุใดนางก็ไม่ตอบ นี่เจ้าสองคนเป็นอะไรไป”
ฮุ่ยหนิง เห็นว่าศิษย์พี่ของนางจับพิรุธได้เช่นนั้นก็นิ่งเฉยอยู่
ซื่อเหนียง เดินไปเข้าไปหาฮุ่ยหนิงใช้สองมือจับไหล่ของนาง แล้วพูดว่า
“ฮุ่ยหนิง เจ้ากับข้าเติบโตมาด้วยกัน เราทั้งสองเปรียบเสมือนเป็นพี่น้องที่อยู่ในบ้านเดียวกัน
หากเจ้ามีเรื่องราวอันใดที่ทำให้เจ้าเป็นทุกข์ ข้าผู้เป็นพี่จะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร”
ฮุ่ยหนิง สบตากับซื่อเหนียง แล้วพูดว่า
“พี่ซื่อเหนียง ข้าขอบคุณท่านที่เป็นห่วงข้า แต่ข้าเป็นปกติดี ขอพี่ซื่อเหนียงอย่าได้เป็นกังวล”
ซื่อเหนียง ยิ้มแล้วกล่าวว่า
“ในเมื่อเจ้ายืนยันเช่นนั้น ข้าก็จะเชื่อเจ้า สำนักของเราในตอนนี้นอกจากเจ้ากับข้าที่เป็นกำลัง
สำคัญของสำนักแล้ว ผู้อื่นก็เห็นจะเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้ นี่ก็ใกล้กำหนดวันนัดหมายชุมนุมชาวยุทธ
เพื่อบุกไปขับไล่พวกลัทธิเบญจธาตุแล้ว ข้าต้องการให้เจ้าเตรียมความพร้อมทั้งกายและใจ
พวกเราจะเดินทางไปร่วมกับเหล่าชาวยุทธ ขับไล่ลัทธิเบญจธาตุให้ออกไปจากแผ่นดินจงหยวนให้จงได้”
ฮุ่ยหนิง ได้ยินศิษย์พี่ของนางกล่าวถึงลัทธิเบญจธาตุ ก็ไถ่ถามขึ้นว่า
“พี่ซื่อเหนียง ท่านคิดจะเดินทางไปร่วมกับเหล่าชาวยุทธรึ”
“ใช่แล้ว ฮุ่ยหนิง หากเหล่าชาวยุทธรวมกำลังกันได้เช่นนี้ ก็ไม่ต้องเกรงกลัวลัทธิเบญจธาตุอีกต่อไป
แต่ข้าเสียดายอยู่เรื่องหนึ่ง หากจอมยุทธเฟยอี้ไม่ด่วนใจร้อนบุกไปยังวังเบญจธาตุแต่เพียงผู้เดียว
จนพลาดท่าเสียที่ต่อเจ้าลัทธิเบญจธาตุแล้ว กำลังทางฝ่ายเราก็คงจะเข้มแข็งขึ้นกว่านี้อีกมาก”
ฮุ่ยหนิง ได้ยินศิษย์พี่ของนางกล่าวถึง ชื่อของเฟยอี้ ก็หันไปไถ่ถามขึ้นอย่างร้อนรน
“พี่ซื่อเหนียง เมื่อครู่ท่านกล่าวถึงผู้ใด ผู้ใดที่เสียทีต่อเจ้าลัทธิเบญจธาตุ”
ซื่อเหนียง มองดูหน้าศิษย์น้องของตนด้วยความประหลาดใจ
“ฮุ่ยหนิง .. ใยจึงร้อนรนเช่นนี้ นี่เจ้ารู้จักจอมยุทธเฟยอี้รึ”
ฮุ่ยหนิง ได้ยินว่าเฟยอี้เสียทีต่อเจ้าลัทธิเบญจธาตุก็รู้สึกร้อนรนในจิตใจ จนลืมตน
รบเร้าให้ศิษย์พี่ของตน กล่าวออกมาอีกครั้ง
“พี่ซื่อเหนียง ใคร..ใครเสียทีต่อเจ้าลัทธิเบญจธาตุ แล้วมันเป็นเช่นไรแล้วในตอนนี้”
ซื่อเหนียงเห็นนางร้อนรนเช่นนั้น ก็พูดขึ้นว่า
“จอมยุทธเฟยอี้ ต่อสู้กับเจ้าลัทธิเบญจธาตุ เสียทีตกจากผาสูงตายอย่างน่าอนาถ ทำไมรึ ฮุ่ยหนิง
เจ้ารู้จักกับจอมยุทธเฟยอี้รึ”
ฮุ่ยหนิงมีใบหน้าที่ซีดเผือดลง ใจของนางเบาหวิวคล้ายดังจะหยุดเต้น นางนิ่งอึ้งไม่กล่าวสิ่งใด
จนศิษย์พี่ของนางร้องเรียกขึ้น
“ฮุ่ยหนิง…ฮุ่ยหนิง เจ้าเป็นเป็นอะไร …ฮุ่ยหนิง…”
แล้วร่างของฮุ่ยหนิงก็ทรุดลงไปนอนลงกับพื้นสิ้นสติไป
————–
ในห้องของฮุ่ยหนิง ร่างของนางนอนนิ่งอยู่บนเตียง นางสิ้นสติไปต่อหน้าเจ้าสำนักฯ แล้วถูกเหล่าบรรดาศิษย์
ของสำนักช่วยกันอุ้มร่างของนางมาไว้ที่ห้อง โดยมีลี่จินนั่งเฝ้าดูอาการอยู่เคียงข้าง
ฮุ่ยหนิงลืมตาฟื้นคืนสติขึ้น นางเหลียวมองไปโดยรอบแล้วรำลึกเหตุการณ์จนจดจำได้ว่า นางอยู่กับเจ้าสำนัก
แล้วสิ้นสติไป พลันก็จดจำเรื่องราวของเฟยอี้ขึ้นมาได้ เหลียวมองไปโดยรอบ เห็นลี่จินนั่งหลับอยู่ จึงปลุกลี่จินให้ตื่นขึ้น
“ลี่จิน….ลี่จิน…..ลี่จิน…..”
ลี่จิน ลืมตาขึ้น มองเห็นฮุ่ยหนิง ก็เอ่ยปากถามขึ้น
“พี่ฮุ่ยหนิง ท่านฟื้นแล้วรึ เป็นอย่างไรบ้าง”
ฮุ่ยหนิง ไม่ใส่ใจตอบคำถามของนาง แต่กลับพูดขึ้นว่า
“ลี่จิน ข้าไม่สามารถนิ่งเฉยต่อไปได้อีกแล้ว ข้าต้องไปจากที่นี่ ”
ลี่จินได้ยินฮุ่ยหนิงพูดเช่นนั้น แล้วมีน้ำตาเอ่อคลอที่ดวงตาทั้งสอง ก็ถามขึ้นด้วยความตกใจ
“พี่ฮุ่ยหนิง …เหตุอันใดท่านจึงเป็นเช่นนี้ เกิดสิ่งใดขึ้น จงบอกต่อข้า”
ฮุ่ยหนิง สบตากับลี่จิน แล้วพูดว่า
“พี่ซื่อเหนียง บอกต่อข้าว่า เฟยอี้…บุรุษคนที่เจ้ากับข้า อยู่กับมันในคืนนั้น ได้ต่อสู้กับเจ้าลัทธิเบญจธาตุ
จนเสียทีตกจากหน้าผาเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ ข้าจะต้องไปสืบความจริงเรื่องนี้ให้ประจักษ์ต่อสายตาข้าเอง”
ลี่จิน ได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงนิ่งค้าง ทำสิ่งใดไม่ถูก
แล้วฮุ่ยหนิงก็พูดขึ้นอีกว่า
“ลี่จิน ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจตนเองเลย ว่าเหตุใดจึงเฝ้าแต่คิดคำนึงถึงชายผู้นั้น ชายผู้ที่เคยพบกันเพียง
แค่ครั้งเดียว ข้าพยายามปฏิเสธใจของตนเองตลอดมา แต่ใบหน้าของชายผู้นั้นก็เฝ้าวนเวียนอยู่แต่ในความคิด
ของข้า ครั้นพอได้ยินว่ามันได้รับอันตราย ใจข้าก็ร้อนรนจนทนอยู่เฉยต่อไปไม่ได้ ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าข้าควรจะทำเช่นไร
ข้าจะไปหาชายผู้นั้น ชายผู้เป็นสามีของข้า แม้ว่ามันจะตายไปแล้ว ข้าก็จะไปดูใบหน้าของสามีข้าเป็นครั้งสุดท้าย”
ฮุ่ยหนิง พูดจบก็เดินตรงไปจัดเก็บสัมภาระเตรียมจะออกเดินทาง
ลี่จิน มองตามไปทางเบื้องหลังของฮุ่ยหนิง แล้วนางก็ร้องไห้ออกมา
“พี่ฮุ่ยหนิง ข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่าน ข้าจะไปกับท่าน ไปดูใบหน้าสามีของข้าเช่นกัน”
ฮุ่ยหนิงได้ยินเสียงพูดเจือกับเสียงร้องไห้ของลี่จิน ก็หันหน้ากลับมา
ทั้งคู่มองดูหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็โผกอดกันร้องไห้
คืนนั้น ทั้งสองนักบวชหญิง ฮุ่ยหนิง และลี่จิน ก็ลอบออกจากสำนักอารามชีบุปผาหยก มุ่งหน้าไปยัง
วังเบญจธาตุในทันที
————-
กิมเฮียกจื้อ กับ หมอวิปลาส เดินทางอ้อมจากด้านหน้าวังเบญจธาตุ มายังตีนผาสูงที่เฟยอี้ และองค์หญิงฯ กระโดดลงมา
ทั้งสองตรวจดูบริเวณนั้นอย่างละเอียด ก็ไม่พบร่องรอยหรือเบาะแสใดๆ จึงตัดสินใจเดินลัดเลาะเข้าไปยังป่าลึก
ตามแนวริมฝั่งลำน้ำที่ไหลเชี่ยว
กิมเฮียกจื้อ คาดว่า เฟยอี้และองค์หญิงฯ คงล่วงหล่นลงสู่ลำน้ำนี้ จึงเดินทางติดตามดูร่องรอยของคนทั้งสองไปตลอดลำน้ำ
ทั้งสองใช้เวลาเดินติดตามดูร่องรอยอยู่หลายชั่วยาม ก็ยังไม่พบร่องรอย จึงชวนกันนั่งพัก ณ.โขดหินริมน้ำแห่งนั้น
แต่ยังมิทันที่ทั้งคู่จะได้นั่งพัก พลันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนกลุ่มหนึ่ง เดินมายังตำแหน่งที่พวกตนพักอยู่
ทั้งคู่จึงกระโดดขึ้นสู่ยอดไม้สูงด้วยวิชาตัวเบา หลบซ่อนตัวแล้วลอบมองลงมา กิมเฮียกจื้อเห็นห่อผ้าของตนวางอยู่ที่โขดหินนั้น
ก็นึกขึ้นได้ ความเร่งรีบทำให้นางลืมหยิบห่อผ้าขึ้นมาด้วย แต่ก็แก้ไขสิ่งใดไม่ทันแล้ว
คนกลุ่มนั้นเดินเข้ามาใกล้จนทั้งสองเห็นได้ชัดว่า เป็นทหารของลัทธิเบญจธาตุประมาณสิบคน เดินมาพร้อมกับ
สตรีนางหนึ่งแล้วหยุดยืนอยู่ที่โขดหินนั้น
หมอวิปลาสเพ่งสายตาดูเหตุการณ์อยู่โดยตลอด ครั้นเห็นทหารผู้หนึ่งมองดูห่อผ้าของกิมเฮียกจื้อ แล้วเหลือบมอง
ไปทั่วบริเวณโดยรอบ ขณะที่ทหารผู้นั้นกำลังจะเงยใบหน้าขึ้นมามองเห็นตน หมอวิปลาสก็ทิ้งตัวล่องลอยลงมา
อย่างรวดเร็ว แล้วใช้ปลายเท้าสะกิดกิ่งไม้ทะยานร่างด้วยวิชาตัวเบาเมฆาลอยล่อง เข้าจี้สกัดจุดทหารทั้งสิบคน
รวมทั้งสตรีผู้นั้นจนยืนนิ่งอยู่กับที่
กิมเฮียกจื้อเห็นเหตุการณ์แปรเปลี่ยนเป็นเช่นนั้น ก็ลอยร่างลงมาสู่พื้นดิน แล้วเดินไปยังทหารกลุ่มนั้น
นางคิดที่จะใช้พิษฆ่าคนเหล่านั้นให้ตายเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอย แต่เมื่อหันไปมองดูใบหน้าของสตรีนางนั้น
กิมเฮียกจื้อก็ถึงกับตกใจรีบคุกเข่าลง
“คารวะธิดาเทพ กิมเฮียกจื้อขออภัยที่ล่วงเกิน”
แล้วกิมเฮียกจื้อก็หันไปพูดต่อหมอวิปลาสว่า
“ท่านหมอเมี่ยว ได้โปรดคลายจุดให้กับธิดาเทพ ด้วย”
หมอวิปลาส มองหน้ากิมเฮียกจื้ออย่างสงสัย
“เจ้าแน่ใจรึ ข้าว่าเราเร่งไปค้นหาเฟยอี้กันต่อดีกว่า อย่าไปสนใจนางเลย หากนางเป็นอิสระแล้ว
เข้าขัดขวางเรา จะมิเป็นการเสียเวลาไปรึ”
กิมเฮียกจื้อได้ยินคำของหมอวิปลาสก็เห็นด้วย จึงพูดขึ้นว่า
“โปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด ธิดาเทพ ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องเร่งรีบกระทำ อีกไม่กี่ชั่วยาม จุดที่ถูกจี้สกัดอยู่
ก็จะคลายไปเอง ข้าขออำลา”
ธิดาเทพ ได้ยินหมอวิปลาสพูดถึงเฟยอี้ก็คิดสงสัย จึงร้องเรียกกิมเฮียกจื้อไว้
“กิมเฮียกจื้อ เจ้าหยุดก่อน ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า แต่เจ้าต้องตอบคำถามข้าก่อน”
กิมเฮียกจื้อ กำลังจะก้าวขาเดินต่อไปกับหมอวิปลาส ได้ยินเช่นนั้นก็หยุดเท้าลง แล้วหันกลับมา
“ธิดาเทพ โปรดถามมาเถิด”
แล้วธิดาเทพ ก็พูดขึ้นว่า
“เจ้าตามหาชายที่ชื่อ เฟยอี้ ด้วยเหตุอันใด”
กิมเฮียกจื้อ หันไปมองหน้าหมอวิปลาส แล้วก็ตัดสินใจตอบออกมาว่า
“เฟยอี้เป็นคนรักของข้า และท่านผู้นี้ก็คืออาจารย์ของเฟยอี้
เราทั้งสองกำลังออกตามหามัน เพราะมันได้ต่อสู้กับท่านเจ้าลัทธิฯจนตกจากผาลงมา
ยังเบื้องล่างนี้ ไม่ว่ามันจะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ข้าก็จะหาจนกว่าจะพบ ขอธิดาเทพโปรด
อภัยต่อข้าด้วย”
ธิดาเทพได้ยินเช่นนั้น ก็คิดสลดใจว่า นางก็เป็นเช่นเดียวกับกิมเฮียกจื้อ ติดตามเฟยอี้ลงมา
ด้วยความเป็นห่วงเช่นกัน นางเหม่อมองไปทางกิมเฮียกจื้อที่กำลังจะเดินจากไป แล้วก็ตัดสินใจ
พูดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า
“กิมเฮียกจื้อ….เฟยอี้ยังไม่ตาย”
หมอวิปลาส และ กิมเฮียกจื้อ หยุดเท้าลงทันที หันกลับไปมองธิดาเทพ
หมอวิปลาส เดินเข้าไปหาธิดาเทพแล้วพูดขึ้นว่า
“เมื่อสักครู่ เจ้าบอกว่า เฟยอี้ศิษย์ของข้ายังไม่ตายใช่หรือไม่ เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“คลายจุดให้ข้าก่อน แล้วข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านฟัง”
หมอวิปลาส แสยะยิ้มแล้วส่ายหน้า คล้ายดังไม่เชื่อ กิมเฮียกจื้อจึงเดินเข้ามาแล้วพูดว่า
“ท่านหมอ ข้าว่า ฟังนางสักหน่อยก็ไม่เสียหาย ธิดาเทพไม่เคยกล่าววาจาเหลวไหล”
เมื่อกิมเฮียกจื้อพูดเช่นนี้ หมอวิปลาสก็ตรงเข้าคลายจุดให้แก่ธิดาเทพ
เมื่อธิดาเทพเป็นอิสระ ก็พูดขึ้นกับกิมเฮียกจื้อว่า
“กิมเฮียกจื้อ ก่อนที่ข้าจะบอกเรื่องของเฟยอี้ต่อเจ้า เจ้าตอบคำถามข้าก่อนได้หรือไม่”
กิมเฮียกจื้อ กำลังร้อนใจใคร่จะฟังเรื่องของเฟยอี้ ก็รีบรับคำ
“โปรดถามมาเถิดธิดาเทพ”
ธิดาเทพมองหน้ากิมเฮียกจื้อ อย่างแข็งกร้าว แล้วพูดว่า
“หากข้าบอกว่า ข้ากับเฟยอี้ก็มีความสัมพันธ์ต่อกันเช่นเดียวกับเจ้า เจ้าจะหลีกทางให้ข้าหรือไม่”
กิมเฮียกจื้อ ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับตกตะลึง นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาว่า
“ธิดาเทพ…ท่านไม่ควรมาล้อเล่นในเวลาเช่นนี้”
ธิดาเทพส่ายหน้า ด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม
“ข้าพูดเรื่องจริง ข้ากับเฟยอี้มีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน เจ้าจะหลีกทางให้ข้าหรือไม่”
กิมเฮียกจื้อ ใบหน้าสลดลงวูบหนึ่ง ครั้นพอถูกธิดาเทพเอ่ยวาจาลุกไล่ขึ้นเช่นนั้น ก็พลันมีประกายตาที่กล้าแข็งขึ้น
กล่าวออกมาว่า
“ไม่…ข้าไม่หลีกทางให้ผู้ใด ข้ากับเฟยอี้มีสัมพันธ์รักต่อกัน ไม่ว่าผู้ใดข้าก็ไม่ยินยอม”
ธิดาเทะได้ยินเช่นนั้น ก็ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า
“แม้เป็นข้า เจ้าก็ไม่ยินยอมกระนั้นหรือ”
กิมเฮียกจื้อ สบตากับธิดาเทพ แล้วพูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า
“ไม่ เรื่องนี้ข้าไม่ยินยอม”
หมอวิปลาสเห็นเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด กล่าวต่อธิดาเทพว่า
“ธิดาเทพ เรื่องนั้นเอาไว้ให้พบกับเฟยอี้แล้ว พวกเจ้าค่อยพูดคุยกันเอาเองเถิด
แต่ในเวลานี้ เจ้าเล่าเรื่องของเฟยอี้มาให้พวกเราฟังก่อนเถิดนะ”
ธิดาเทพได้ยินเช่นนั้น ก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฟยอี้ทั้งหมด ให้หมอวิปลาส และ กิมเฮียกจื้อ
ฟังจนหมดสิ้น
หมอวิปลาส และ กิมเฮียกจื้อ ได้ทราบว่าเฟยอี้ยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่ชัด ก็มีความยินดีเป็นอย่างมาก
แล้วหมอวิปลาสก็พูดขึ้นกับธิดาเทพว่า
“ธิดาเทพ เจ้าบอกพวกเราได้หรือไม่ว่า เฟยอี้อยู่ที่ใด ก่อนที่เจ้าจะจากมันมา”
ธิดาเทพส่ายหน้า แล้วพูดว่า
“ข้าไม่บอก พวกเจ้าต้องให้ข้าร่วมเดินทางไปด้วย ข้าจะนำทางพวกเจ้าไปเอง”
กิมเฮียกจื้อได้ยินเช่นนั้น ก็พูดขึ้นว่า
“ธิดาเทพ หากว่าท่านเจ้าลัทธิมิเห็นท่านกลับไป จะมิยิ่งส่งทหารมารบกวนพวกเรารึ”
ธิดาเทพ มองหน้ากิมเฮียกจื้อ แล้วพูดขึ้นโดยไม่มองหน้าว่า
“กิมเฮียกจื้อ เจ้าอย่าได้คิดกีดกันข้า หากพวกเจ้ามิให้ข้าร่วมเดินทางไปด้วย
ข้าก็จะไม่บอกสิ่งใดต่อพวกเจ้าอีก”
หมอวิปลาสเห็นเช่นนั้น ก็เกิดความรำคาญ พูดแทรกขึ้นมาว่า
“เอาล่ะ…เอาล่ะ…ธิดาเทพ เจ้านำทางพวกเราไปยังจุดที่เจ้าพบกับเฟยอี้เลยก็แล้วกัน”
จากนั้นทั้งสาม ก็เดินทางหายลึกเข้าไปในป่าตามลำน้ำนั้น โดยมีธิดาเทพเป็นผู้นำทางไป
————–
ตั้งแต่เอี๊ยงตี้เก่งถูกเว่ยฉิงคังพลั้งมือฆ่าตาย ข้าทาส บริวาร ในสำนักมังกรเขียว ก็เข้าใจว่า
เป็นเพราะ ชุ่ยเหลียนเป็นชู้กับเว่ยฉิงคัง พอเอี๊ยงตี้เก่งจับได้ก็ให้ชู้รักฆ่าสามีของตนเสีย
เหล่าข้าทาส บริวาร รวมทั้งศิษย์ในสำนักต่างก็เกิดความรังเกียจ และเสื่อมความนับถือ
ไม่สนใจนางอีกต่อไป
ชุ่ยเหลียนใช้ชีวิตอย่างอดสูอยู่ในสำนักท่ามกลางการหยามเหยียดของเหล่าบริวารในสำนัก
ทำให้นางบังเกิดความโกรธแค้น และชิงชังต่อเว่ยฉิงคังอย่างที่สุด ยิ่งนางถูกผู้อื่นกระทำต่อนาง
มากเท่าใด ความโกรธแค้นที่มีต่อเว่ยฉิงคัง ก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุด ชุ่ยเหลียนก็ตัดสินใจ
ออกมาจากสำนักเพียงลำพัง เป้าหมายของนางคือสำนักทวนผดุงคุณธรรมของเว่ยฉิงคังนั่นเอง
ที่สำนักทวนผดุงคุณธรรม บริวารเฝ้าประตูเข้าไปรายงานต่อเว่ยฉิงคังว่า ชุ่ยเหลียน มาขอเข้าพบ
เว่ยฉิงคังได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความยินดียิ่งนัก เร่งรีบออกไปพบนางถึงหน้าประตูสำนักโดยทันที
“ชุ่ยเหลียน เจ้ามาหาข้าแล้ว ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
เว่ยฉิงคัง กล่าวคำออกมาจากใจจริงของมัน แล้วเดินตรงเข้าไปหานาง หมายจะสวมกอด
ร่างของนางไว้แนบทรวงอกของมัน
“หยุดนะ… เว่ยฉิงคัง”
ชุ่ยเหลียน เอ่ยเสียงกร้าวออกมา เมื่อเห็นเว่ยฉิงคังจะตรงเข้ามาสวมกอดนาง
น้ำตาของนางไหลอาบแก้ม เพ่งมองใบหน้าของเว่ยฉิงคังอย่างแข็งกร้าว
เว่ยฉิงคัง หยุดยืนอยู่กับที่ มองดูใบหน้าของชุ่ยเหลียนอย่างเซื่องซึม
แล้วชุ่ยเหลียนก็เอ่ยขึ้นว่า
“เว่ยฉิงคัง เจ้าปลุกปล้ำข้า ซ้ำยังฆ่าสามีของข้าตาย จากนั้นก็ทิ้งข้าให้อยู่กับความอดสูเพียงลำพัง
ข้าต้องถูกข้าทาสบริวารหยามเหยียดจนไร้ที่พักพิง เจ้า..เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ เจ้ายังเป็นคน
อยู่หรือไม่”
เว่ยฉิงคังได้ยินเช่นนั้น ก็มีใบหน้าที่สลดลง แล้วพูดขึ้นว่า
“ชุ่ยเหลียน ข้าผิดไปแล้ว ข้าขออภัยต่อเจ้าด้วย สิ่งที่ข้าทำลงไปล้วนเกิดจาก
ความรักที่ข้ามีต่อเจ้า”
ชุ่ยเหลียนทอดสายตามองผ่านร่างของมันไป คล้ายว่ามันไม่มีตัวตนอยู่แล้วกล่าวออกมาว่า
“เจ้ากล่าวออกมาว่า เจ้ารักข้า….นี่คือการแสดงความรักของเจ้ากระนั้นหรือ”
เว่ยฉิงคัง เดินเข้าไปหานาง แล้วใช้สองมือของมันกุมมือข้างหนึ่งของนางขึ้นมา
“ชุ่ยเหลียน ข้าเสียใจ หากมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการให้ข้ากระทำ แล้วเจ้าคลายความทุกข์
ลงได้ ก็จงบอกมาเถิด ข้าจะกระทำตามที่เจ้าต้องการ”
ชุ่ยเหลียน สบตากับเว่ยฉิงคัง แน่นิ่งแล้วพูดว่า
“เจ้ารักข้า ใช่หรือไม่”
เว่ยฉิงคัง แย้มยิ้มแล้วพยักหน้าพลางตอบคำของนางอย่างรวดเร็ว
“ใช่..ใช่..ข้ารักเจ้า…ข้ารักเจ้า..ชุ่ยเหลียน”
“เช่นนั้น ก็จงตบแต่งข้าเป็นภรรยาของเจ้า”
เว่ยฉิงคังถึงกับตะลึงงัน ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำนี้ออกมาจากปากของนาง
ครั้นพอได้สติ ก็เร่งรีบตอบรับคำของนางทันที
“ได้..ได้…ข้าจะแต่งเจ้าเป็นภรรยาของข้า”
“ข้ายังพูดไม่จบ ข้าต้องการให้เจ้าออกเทียบเชิญชาวยุทธทั้งหมดมาเป็นสักขีพยาน
ในงานแต่งของข้ากับเจ้าด้วย”
เว่ยฉิงคัง พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ออกมาก็ถึงกับนิ่งงัน แล้วครุ่นคิดอยู่ภายในใจว่า
หากว่ามันออกเทียบเชิญออกไป เหล่าชาวยุทธก็จะทราบว่ามันแต่งกับภรรยาของผู้อื่น และคำเล่าลือเรื่องที่มันแย่ง
ภรรยาผู้อื่นก็จะสมจริงขึ้นมา มิเท่ากับเป็นการยอมรับกระนั้นหรือ
ชุ่ยเหลียน เห็นมันนิ่งงันอยู่เนิ่นนาน ก็แสร้งทำเป็นร้องไห้ขึ้น
“ในที่สุด เจ้าก็ไม่ได้รักข้าจริงๆ เจ้าอับอาย เกรงผู้อื่นจะล่วงรู้ว่าเจ้าแย่งชิงภรรยาผู้อื่น
ที่ผ่านมา ข้าอับอายและทนทุกข์กับคำนินทาของผู้อื่นมามากมายนัก เพราะการกระทำของเจ้า”
เว่ยฉิงคัง เห็นนางอันเป็นที่รักของมันร้องไห้เสียใจเช่นนั้น ก็ทนอยู่ไม่ได้ มันตัดสินใจแล้ว
ที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในภายภาคหน้า
“ชุ่ยเหลียน ข้าจะแต่งกับเจ้า ข้าจะออกเทียบเชิญชาวยุทธมาเป็นสักขีพยานในงานแต่ง
ของเจ้ากับข้า เจ้าพอใจแล้วหรือไม่”
ชุ่ยเหลียนหยุดร้องไห้ลงทันที แล้วพูดขึ้นว่า
“ข้าต้องการให้เจ้าจัดพิธีแต่งงาน ระหว่างเจ้ากับข้า ภายในเจ็ดวันนับจากนี้ เจ้าจะยินยอมหรือไม่”
เว่ยฉิงคัง ไม่เกรงกลัวต่อผลใดๆที่จะเกิดขึ้นอีกแล้ว มันตอบรับคำขอของนางในทันที
“ได้..ข้าจะให้มีพิธีแต่งงานระหว่างเจ้ากับข้า ภายในเจ็ดวันตามความต้องการของเจ้า”
แล้วเว่ยฉิงคัง ก็ตรงเข้าสวมกอดร่างอันอ้อนแอ้นของนางไว้แนบกับทรวงอกของมัน
ชุ่ยเหลียน เพ่งมองไปเบื้องหน้าด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว เป้าหมายภายในใจของนางยังอีกยาวไกลนัก
—————
สามวันถัดมา เทียบเชิญงานแต่งงานของเว่ยฉิงคัง กับ ชุ่ยเหลียน ถูกส่งให้กับเหล่าชาวยุทธ
ท่ามกลางเสียงวิพากวิจารณ์ถึงข่าวลือที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนหน้านี้ ว่าเว่ยฉิงคังฆ่าเอี๊ยงตี้เก่ง แล้วช่วงชิงภรรยา
ของเอี๊ยงตี้เก่งมาเป็นของตน เทียบเชิญนี้เท่ากับเป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่า ข่าวลือนั้นเป็นความจริง
เหล่าชาวยุทธผู้มีคุณธรรมต่างประนาม ถึงความชั่วร้ายของเว่ยฉิงคัง จนไม่อาจยอมรับให้เว่ยฉิงคัง
เป็นผู้นำชาวยุทธได้อีกต่อไป และประกาศไม่มาร่วมงานของเว่ยฉิงคังตามเทียบเชิญนั้น
ครั้นถึงกำหนดวันที่จัดพิธีแต่งงาน ที่สำนักทวนผดุงคุณธรรมจึงมีแต่ชาวยุทธเป็นส่วนน้อย
ที่ยังเกรงกลัวต่อฝีมือของเว่ยฉิงคังเข้ามาร่วมงาน บรรยากาศในงานจึงเบาบางผู้คน และดูเงียบเหงายิ่งนัก
เว่ยฉิงคังกำลังงมงายต่อความรัก จึงไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด มันมีสีหน้าที่ชื่นบานไปด้วยความยินดี
จนเสร็จสิ้นพิธีแต่งงาน เข้าสู่ขั้นตอนส่งตัวเข้าห้องหอ
ชุ่ยเหลียนในชุดเจ้าสาวสีแดงสด ถูกนำตัวมาส่งภายในห้องที่จัดไว้อย่างงดงาม โดยเว่ยฉิงคังนั่งรอเจ้าสาว
ของมันด้วยใจที่จดจ่อ เมื่อพิธีส่งตัวเจ้าสาวเข้าหอเสร็จสิ้นแล้ว ภายในห้องจึงมีเพียงเว่ยฉิงคังและชุ่ยเหลียน
อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง เว่ยฉิงคังเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวของมันออก แล้วจ้องมองดูอย่างชื่นชม
ชุ่ยเหลียนในยามนี้ช่างดูงดงามอย่างที่สุดในสายตาของมัน
“ชุ่ยเหลียน ในที่สุดข้าก็มีวันนี้ วันที่ข้ามีเจ้าอยู่เคียงข้างตลอดไป”
เว่ยฉิงคัง ก้มลงจุมพิตลงที่ริมฝีปากของชุ่ยเหลียนอย่างแผ่วเบา แล้วประคองร่างของนาง
ลงนั่งเคียงข้างมันยังเตียงที่ถูกจัดไว้
“วันนี้เจ้าช่างงดงามยิ่งนัก”
เว่ยฉิงคังแย้มยิ้ม แล้วโน้มร่างลงแนบชิด หมายจะเอนทับร่างของ ชุ่ยเหลียนให้นอนราบลง
แต่ร่างของมันกลับถูกนางผลักกระเด็นออกไปโดยมิทันได้ตั้งตัว
ชุ่ยเหลียนยืนขึ้นเดินตรงไปหาเว่ยฉิงคัง แล้วนางก็ผลักร่างของมันอย่างรุนแรงให้กลับลงไปนั่งที่เตียง
แล้วสิ่งที่เว่ยฉิงคังไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ชุ่ยเหลียนค่อยๆเปลื้องผ้าของนางออกทีละชิ้น ทีละชิ้น
จนเหลือเพียงแต่ร่างขาวโพลนเปลือยเปล่าปรากฏอยู่ต่อสายตามัน
เว่ยฉิงคังจ้องมองดูเรือนร่างเปลือยเปล่า ของชุ่ยเหลียนนิ่งค้างอยู่ครู่หนึ่ง พลันก็เห็นนางเดิน
บิดกายด้วยกริยาที่ดูเร่าร้อนดั่งมิใช่ชุ่ยเหลียนคนเดิมที่มันรู้จัก นางตรงเข้าเปลื้องเสื้อผ้าของมันออก
ทีละชิ้น ทีละชิ้น จนร่างของมันก็เปลือยเปล่าดุจเดียวกับนาง
ชุ่ยเหลียนโน้มร่างงามของนางเข้าแนบชิดกับร่างของเว่ยฉิงคังอย่างแนบแน่น แล้วโยกย้ายเรือนร่าง
ของนางโลมไล้ไปกับส่วนต่างๆบนร่างของมันอยู่ไปมา สัมผัสกายอันอ่อนนุ่มของนางสร้างความซ่านเสียว
ให้กับมันอย่างที่สุด จนมันนอนหลับตานิ่งอย่างเคลิบเคลิ้ม
แต่ชุ่ยเหลียนมิได้กระทำเพียงเท่านั้น นางใช้ริมฝีปากอันอ่อนนุ่มและอบอุ่น ประทับไปลงบนทรวงอกของมัน
พร้อมกับตวัดปลายลิ้นของนางลากโลมเลียวนอยู่กับยอดทรวงอกของมัน จนเว่ยฉิงคังถึงกับปล่อยเสียงครางออกมา
“อืมมม………ซี๊ดดดด……..ชุ่ยเหลียน……เจ้าช่างดียิ่งนัก…..อืมมม………”
มืออันนุ่มนิ่มของชุ่ยเหลียนลูบไล้วนเวียนอยู่กับพวงสวรรค์ของมันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วนางก็คว้ากำแก่นกายอันใหญ่โตของมัน
ไว้ในอุ้งมือของนาง จากนั้นก็เคลื่อนย้ายขึ้นลงอย่างเชื่องช้า แก่นกายของเว่ยฉิงคังถูกนางก่อกวนจนขยายขนาดเบ่งพอง
ออกมาอย่างเต็มที่ มันจ้องมองการกระทำของนางอย่างแปลกใจปะปนกับความชุ่มชื่นในหัวใจของมัน ที่นางอันเป็นที่รัก
ถึงกับยินยอมกระทำให้มันด้วยความเต็มใจเช่นนี้
“ท่านพี่ ..ท่านมีความสุขหรือไม่”
เว่ยฉิงคังตะลึงค้างที่ได้ยินช่วยเหลียนเอ่ยคำพูดนี้ออกมา
“เมื่อสักครู่ เจ้าพูดว่าอะไรนะ ชุ่ยเหลียน”
ชุ่ยเหลียน ยิ้มแย้มอย่างอ่อนหวาน แล้วกล่าวซ้ำว่า
“ข้าถามท่านพี่ว่า ท่านพี่มีความสุขหรือไม่”
เว่ยฉิงคังได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจน มันยิ้มออกมาด้วยความปลาบปลื้มเปี่ยมล้นในใจมัน
แล้วพยายามยันกายลุกขึ้นหมายจะสวมกอด ชุ่ยเหลียนด้วยความรัก
แต่แล้วชุ่ยเหลียนก็ผลักมันอย่างแรง จนร่างของมันหงายลงนอนบนเตียงเช่นเดิม แล้วมันก็ถึงกับ
อ้าปากครางออกมาอย่างสุดเสียว เมื่อชุ่ยเหลียน ใช้ปากของนางอมแก่นกายของมัน
ไว้ในปาก แล้วดูดกินอย่างรุนแรง
“โอ้วววว….ชุ่ยเหลียน….เจ้า…….เจ้า……………….อ้าาาา……..”
ลิ้นของนาง ลากตวัดไปมาบริเวณส่วนหัวของแก่นกายอันเบ่งบานของมัน สลับกับใช้ริมฝีปาก
อันอ่อนนุ่มกลืนกินส่วนหัวแก่นกายของมันไว้ในกระพุ้งแก้ม แล้วโยกศีรษะของนางขึ้นลง
เว่ยฉิงคังหลับตาพริ้มลงแล้วครางออกมาอย่างเป็นสุข มือของมันเกาะกุมศรีษะของชุ่ยเหลียนที่เคลื่อนไหว
ขึ้นลงอยู่ไปมา
“ซี๊ดดดด…..ฮ้าาาาาา…………ข้ามีสุขยิ่งนัก…ชุ่ยเหลียน………ซี๊ดดดดด……..”
มันทอดสายมองดูกิริยาของนางที่ปรนเปรอความสุขให้กับมันด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรัก
ในหัวใจของมันตอนนี้ ยิ่งเพิ่มพูนความรักที่มีต่อนางยิ่งขึ้นไปอีก
ในขณะที่เว่ยฉิงคังกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น พลันชุ่ยเหลียนก็เปลี่ยนท่าทางของนางมาเป็นนั่งคร่อม
บนร่างของมัน มือของนางข้างหนึ่งจับแก่นกายของมันจ่อที่ ร่องสวาทของนาง แล้วนางก็ค่อยๆ
ทิ้งน้ำหนักตัวลงมา จนร่องสวาทของนางกลืนกินแก่นกายของมันจนมิด จากนั้นนางก็เริ่มขยับกาย
คล้ายกับควบอาชาอยู่บนร่างของมัน
เว่ยฉิงคังถูกนางจู่โจมด้วยปาก แล้วติดตามด้วยกระบวนท่าควบอาชาโดยที่มันไม่มีโอกาสตอบโต้กลับเลย
มันได้แต่นอนรับความซ่านเสียวที่ ชุ่ยเหลียนปรนเปรอให้อย่างต่อเนื่อง มันทั้งมีความสุข และก่อเกิดความยินดี
ที่ชุ่ยเหลียนไม่มีความรังเกียจมันเช่นในกาลก่อน ในระหว่างที่นางควบอาชาอยู่บนร่างของมัน
ดวงตาของนางเปล่งประกายหวานซึ้งจนมันเหม่อมองอย่างลุ่มหลง
กระบวนท่าควบอาชาของนางยิ่งนานก็ยิ่งเพิ่มความเร็วขึ้น จนเว่ยฉิงคังเพิ่มพูนความกำหนัด
ถึงกับขยับบั้นเอวของมันขึ้นรับตามจังหวะการโยกกายของนาง เกิดเป็นเสียงเนื้อของคนทั้งสองกระทบกันดังไปทั้งห้อง
“ตั้บ……ตั้บ……ตั้บ……ตั้บ……ตั้บ……ตั้บ…….”
“ซี๊ดดด….อืมมม……………..ซี๊ดดดด………….ซี๊ดดด……..”
ความเสียวซ่านจากสัมผัสของชุ่ยเหลียนในครั้งนี้ แตกต่างจากครั้งก่อนที่เว่ยฉิงคังเคยได้รับ ในครั้งนั้น
มันเป็นผู้ตักตวงความสุขจากเรือนร่างของนางแต่เพียงผู้เดียว โดยนางมิได้ยินยอมพร้อมใจด้วย แต่ในครั้งนี้
นางแปรเปลี่ยนเป็นผู้โลมเล้ามัน และนางก็ทำได้ดีอย่างที่สุด จนมันต้องยินยอมให้นางกระทำต่อมันเพียงฝ่ายเดียว
ชุ่ยเหลียนเร่งเร้ากำหนัดของมันจนใกล้จะถึงจุดสุขสม มันจึงพยามยามพลิกร่างกลับมาเป็นฝ่ายควบคุมบ้าง
แต่ชุ่ยเหลียนคล้ายดั่งจะล่วงรู้จิตใจของมัน นางกลับทิ้งน้ำหนักตัวลงแล้วบดคลึงแก่นกายของมันวนอยู่ไปมา
เว่ยฉิงคังบังเกิดความซ่านเสียวแพร่ผ่านไปทั้งร่างจนสิ้นสุดความอดทน มันยินยอมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ปลดปล่อยทำนบรักของมันออกมาจนไหล่เอ่อท่วมท้นร่องสวาทของนาง
“อู้ววววววว………….ชุ่ยเหลียน…. ข้าาาาา ……..โอ๊ะ……..โอ้ววววว……………ฮาาาาาา………………..”
เว่ยฉิงคังปลดปล่อยเสียงครางออกมาอย่างสุขสม แล้วเปลือกตาขึ้น สบตากับชุ่ยเหลียน พลางแย้มยิ้มให้แล้วพูดขึ้นว่า
“ชุ่ยเหลียน ข้ารักเจ้ายิ่งนัก มา…มาให้ข้านอนกอดเจ้าให้สมกับความรักที่ข้ามีต่อเจ้า”
ชุ่ยเหลียน เอนร่างลงนอนเคียงข้างกับมัน แล้วกล่าวขึ้นว่า
“ท่านพี่ ท่านมีความสุขหรือไม่”
เว่ยฉิงคังกอดรัดชุ่ยเหลียนไว้แนบร่างมัน แล้วกล่าวว่า
“ข้าเป็นสุขเสมอ เมื่อมีเจ้าแนบชิดเช่นนี้ ชุ่ยเหลียน”
คืนวันแต่งงานของเว่ยฉิงคัง ผ่านไปอย่างมีความสุขจนถึงรุ่งเช้า
แสงตะวันสาดส่องเข้ามาจนสว่างไปทั้งห้อง ชุ่ยเหลียนลืมตาโพลงนิ่งอยู่คล้ายกับว่า
นางมิได้หลับไหล นางจับมือของเว่ยฉิงคังที่โอบกอดร่างของนางออก แล้วเดินออกมาจากห้อง
เพื่อต้องการที่จะสำรวจสถานที่ต่างๆในสำนัก พลัน คนสนิทของเว่ยฉิงคัง ก็รีบเร่งตรงเข้ามา
แล้วผ่านร่างของนางไปที่ประตูห้องหอ คล้ายดั่งจะร้องเรียกให้เว่ยฉิงคังให้ออกมา
ชุ่ยเหลียนเห็นเช่นนั้นก็ตวาดเสียงดังออกมาในทันที
“หยุดนะ เจ้ากล้าเดินผ่านข้าโดยมิทำความเคารพเชียวรึ”
บริวารสนิทผู้นั้นถึงกับหน้าถอดสี พูดออกมาว่า
“อภัยให้ข้าน้อยด้วย นายหญิง ข้าน้อยมิได้ตั้งใจลบหลู่ท่าน เพียงแต่มีเรื่องเร่งด่วน
ต้องแจ้งแก่ท่านเจ้าสำนัก”
ชุ่ยเหลียนได้ยินเช่นนั้น ก็เกิดความสนใจ ถามขึ้นว่า
“เรื่องด่วนอันใด จงเร่งบอกมา”
บริวารผู้นั้นมีท่าทีอึดอัด มิยอมกล่าวถ้อยคำออกมา
ชุ่ยเหลียนจึงตวาดออกไปด้วยเสียงอันดังว่า
“บังอาจ นี่เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้ารึ”
บริวารสนิทผู้นั้นมีใบหน้าที่ซีดเผีอด กล่าวออกมาว่า
“ข้าน้อยมิสามารถบอกต่อนายหญิงได้ ท่านเจ้าสำนักสั่งข้าน้อยไว้ว่า มิให้ผู้ใดล่วงรู้
โปรดอย่าคาดครั้นข้าน้อยเลยนายหญิง”
ชุ่ยเหลียน ถลึงตากล่าวออกมาว่า
“หากเจ้ายังไม่บอกต่อข้า ข้าจะถือว่าเจ้าลบหลู่ข้า ข้าจะสั่งลงโทษเจ้าซะเดี๋ยวนี้”
บริวารสนิทผู้นั้น ถึงกับคุกเข่าลง แล้วกล่าวออกมาในทันที
“ข้าน้อย..ข้าน้อย…ยอมบอกต่อท่านแล้ว อภัยให้ข้าน้อยด้วย”
“เช่นนั้นก็จงพูดออกมา”
บริวารผู้นั้นจึงพูดขึ้นว่า
“คนที่ท่านเจ้าสำนักส่งไปสืบความลับที่วังเบญจธาตุได้เดินทางกลับมาแล้ว
พร้อมกับข้อความและสิ่งของฝากถึงท่านเจ้าสำนักโดยตรง”
ชุ่ยเหลียนจึงกล่าวขึ้นว่า
“แล้วข้อความกับสิ่งของนั้นอยู่ที่ใด จงเอามาให้ข้า”
“แต่..แต่……….”
ชุ่ยเหลียนยกขาเตะไปที่ร่างของบริวารผู้นั้นจนล้มกลิ้งไป
“เจ้าจะให้ข้าหรือไม่”
บริวารผู้นั้นยันกายลุกขึ้นด้วยท่าทีหวาดกลัว แล้วล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบกระดาษ
และขวดยาส่งให้กับชุ่ยเหลียน แล้วมันก็เร่งรีบหนีออกไป
ชุ่ยเหลียนหยิบขวดยาสีขาวมามองดูอย่างสงสัย จึงคลี่อ่านข้อความในกระดาษ มีใจความว่า
“เรียนท่านเจ้าสำนักฯ เหตุที่เจ้าลัทธิฯมีพลังฝีมือเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะมันกิน ยาเทพโอสถทะลวงชีพจร
ข้าน้อยได้ลอบนำมันมาเพื่อมอบต่อท่านด้วยแล้ว มันเป็นยาที่มีพิษเจือปน ไม่สามารถกินได้เกินหนึ่งเม็ด
มิเช่นนั้นผู้กินจะมีสติวิปลาส ด้วยเหตุนี้เจ้าลัทธิฯจึงมิได้กินมันลงไปอีก”
ชุ่ยเหลียนอ่านข้อความนั้นก็เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด จึงรำพึงอยู่ภายในใจว่า
“เว่ยฉิงคัง เจ้ามันหวาดระแวงเกรงว่าตนเองจะพ่ายแพ้จึงส่งคนไปสืบความลับ
หากเห็นว่ายานี้ช่วยเพิ่มพลังยุทธ เจ้าก็คงต้องกินมันลงไปเป็นแน่แท้ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้สมดังหวังหรอก”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชุ่ยเหลียน ก็นำน้ำมาเทลงบนข้อความช่วงท้ายจนข้อความนั้นเลอะเลือนไป
เหลือเพียงแต่ ใจความว่า ยาเทพโอสถทะลวงชีพจร ช่วยเพิ่มพูนพลังยุทธ แล้วนำมันเข้ามาในห้องหอ
เป็นเวลาเดียวกันกับเว่ยฉิงคังตื่นขึ้นพอดี นางจึงมอบขวดยาและข้อความนั้นต่อเว่ยฉิงคัง แล้วพูดขึ้นว่า
“บริวารของท่านให้นำมันมามอบแก่ท่าน”
เว่ยฉิงคังมีสีหน้าประหลาดใจ รับขวดยาแล้วคลี่ข้อความออกอ่าน ครั้นพอทราบใจความในกระดาษแล้ว
ก็พูดขึ้นด้วยความขุ่นเคืองว่า
“บริวารผู้นั้นอยู่ที่ใด ใยมันจึงมินำมาให้ข้าเอง”
ชุ่ยเหลียน นั่งลงใกล้ๆกับมันแล้วพูดขึ้นว่า
“ข้าเป็นผู้ไล่มันไปเอง ข้าเห็นว่าท่านพี่กำลังหลับ จึงขู่เข็ญมันให้มอบสิ่งเหล่านี้แก่ข้า
ทำไมรึ หรือว่าแม้แต่ข้า ท่านก็มีเรื่องปิดบัง”
เว่ยฉิงคังเห็นนางตัดพ้อเช่นนั้น ก็รีบเปลี่ยนท่าทีทันที
“ไม่….ชุ่ยเหลียน …….ข้าไม่มีเรื่องใดปิดบังต่อเจ้า เจ้าเป็นภรรยาของข้า ข้าย่อมบอกต่อเจ้าได้ทุกเรื่อง
ข้าเพียงแต่อยากถามมันว่า เหตุใดข้อความนี้จึงเปียกน้ำลบเลือนไปเท่านั้น”
แล้วเว่ยฉิงคังก็หยิบขวดยาขึ้นมาดู แล้วกล่าวต่อชุ่ยเหลียนว่า
“นี่คือ ยาเทพโอสถทะลวงชีพจร มันสามารถเพิ่มพลังยุทธให้แก่ข้าได้ นี่ก็ใกล้กำหนดบุกวังเบญจธาตุแล้ว
ชุ่ยเหลียน ข้ามีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน ที่จะต้องกินยานี้แล้วออกไปหาสถานที่นั่งกรรมฐาน
อีกเจ็ดวันจึงจะกลับมา ข้าขอฝากให้เจ้าดูแลสำนักในช่วงที่ข้าไม่อยู่ด้วย หากเจ้าพบปัญหาสิ่งใด
ก็สามารถปรึกษากับพ่อบ้านตู้ได้”
ชุ่ยเหลียน แย้มยิ้ม แล้วกล่าวว่า
“ท่านไปเถอะ อย่าได้เป็นกังวล การขับไล่ลัทธิเบญจธาตุเป็นเรื่องส่วนรวมที่ต้องเร่งกระทำ
ข้าจะดูแลสำนักให้ท่านเอง”
เว่ยฉิงคังได้ยินเช่นนั้นก็ตรงเข้าโอบกอดนางอย่างรักใคร่
เมื่อเว่ยฉิงคังสั่งความต่อชุ่ยเหลียน และบริวารคนสำคัญแล้ว มันก็ออกเดินทางในทันที
เป้าหมายของมันคือ ฮวงซุ้ยในป่าช้าแห่งนั้น ที่ที่มันเคยใช้ฝึกลมปราณพรากวิญญาณในครั้งแรก
มันคิดที่จะกินยาเทพโอสถทะลวงชีพจรแล้วฝึกฝนลมปราณพรากวิญญาณที่สถานที่แห่งนั้นอีกครั้ง
——————
ณ.ถ้ำใต้ปล่องเขา เฟยอี้ใช้เวลาในช่วงกลางคืน เดินลมปราณขับไล่พิษจากบาดแผลที่ขาให้กับองค์หญิงฯ
ความสัมพันธ์ของเฟยอี้และองค์หญิง เป็นไปด้วยความหวานชื่น ทั้งสองต่างก่อเกิดความรักต่อกันอย่างลึกซึ้ง
แต่ถึงแม้ว่าองค์หญิงฯจะมีความรักต่อเฟยอี้มากมายเท่าใดก็ตาม นางก็มิยินยอมให้มันได้ล่วงเกินนางอีก
ทั้งยังให้มันสัญญาต่อนางว่าจะไม่ล่วงเกินนางจนกว่าจะเข้าพิธีแต่งงานกัน
ในกลางวันเฟยอี้ใช้เวลาว่างทดลองฝึกปราณฟ้าดิน-หยินหยางโดยมีองค์หญิงฯคอยเฝ้าดูอยู่เคียงข้าง
จนเวลาล่วงผ่านไปหลายวัน เฟยอี้ก็สามารถเข้าสู่สภาวะแห่งความว่างได้สำเร็จ พร้อมกับรับรู้พลังปราณบริสุทธิ์
แห่งฟ้าและดิน ที่รายล้อมอยู่รอบตัวมัน มันจึงกระทำตามข้อความในคัมภีร์โดยเดินลมปราณปลดปล่อยพลังวัตรในร่าง
ออกสู่ภายนอก แล้วรับเอาพลังปราณบริสุทธิ์เข้าไว้ในร่าง
มันกระทำอยู่เช่นนี้ในอีกหลายวันถัดมา จนรับเอาพลังปราณแห่งฟ้าและดินแล้วย่างเข้าสู่สภาวะเต็ม
เมื่อมันฝึกมาถึงขั้นนี้ประสาทสัมผัสในร่างของมันกลับมีความว่องไวและละเอียดอ่อนลึกซึ้งขึ้นอีกมาก
มันสามารถรับรู้ได้แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวแม้เพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นจากภายนอก หรือแม้เพียงเสียงแมลงกระพือปีก
ที่กำลังบินอยู่รอบตัวมัน
หลายวันมานี้ พิษที่ขาขององค์หญิงถูกเฟยอี้ใช้ลมปราณขับออกจนหมด คงเหลือเพียงบาดแผลจากเกาทัณฑ์
ที่ยังประสานกันไม่สนิท นางสามารถก้าวเดินได้ด้วยตนเองแม้จะยังไม่คล่องแคล่วนัก ตัวเฟยอี้เองก็เริ่มคลายความกังวล
ในตัวขององค์หญิงฯ และไม่ต้องเดินลมปราณขับพิษให้แก่นางอีกต่อไป
วันหนึ่งในขณะที่มันใช้เวลาว่างฝึกฝนเดินลมปราณอยู่นั้น องค์หญิงฯได้เดินเข้ามาหามันแล้วพูดขึ้นว่า
“เฟยอี้ เจ้าคร่ำเคร่งฝึกวิชามากเกินไปแล้ว จงหยุดแล้วมากับข้าสักครู่ได้หรือไม่”
เฟยอี้ลืมตาขึ้น ระงับลมปราณกลับเข้าสู่ฐานที่ท้องน้อย แล้วยืนขึ้นแย้มยิ้มให้กับองค์หญิงฯ
องค์หญิงฯตรงเข้าจับแขนของเฟยอี้อย่างสนิทสนม
“มา..เจ้ามากับข้า ข้าจะพาเจ้าไปดูสิ่งหนึ่ง”
“องค์หญิงฯ ข้าเห็นท่านเดินหายเข้าไปยังป่าผลไม้อยู่เนิ่นนาน ท่านไปทำสิ่งใดมารึ”
“เจ้าตามข้ามา แล้วเจ้าจะรู้เอง”
องค์หญิงจับมือของเฟยอี้ให้เดินตามนางไปยังป่าหน้าถ้ำจนสุดทาง พบว่าเบื้องหน้าเป็นหินผาสูงคล้ายดัง
กำแพงใหญ่ปิดทางอยู่
เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า
“องค์หญิงฯ ท่านพาข้ามาดูหินผานี้ด้วยเหตุใด”
องค์หญิงแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวาน แล้วพูดขึ้นว่า
“เฟยอี้เจ้าก้มลง แล้วตามข้ามา ”
องค์หญิงฯ ก้มลงคลานกับพื้น ลอดพงไม้เรื้อรกที่ขวางทางอยู่ โดยมีเฟยอี้คลานติดตามมา
แล้วนางก็หยุด ชี้มือไปข้างหน้า ให้เฟยอี้มองตามทิศที่นางชี้ไป พบว่าหนทางเบื้องหน้าเป็นช่องทะลุของหินผา
ที่ถูกปิดบังไว้ด้วยพงไม้รก องค์หญิงฯพาเฟยอี้คลานลอดช่องหินผานั้นจนพ้นผ่านไปยังอีกฟากหนึ่ง
เมื่อคนทั้งสองลอดผ่านช่องหินผาออกมาแล้ว ก็ปรากฎเป็นกำแพงหินใหญ่ขวางหน้าไว้อีกชั้นหนึ่ง
แต่กำแพงหินนี้กลับมีก้อนหินหลากหลายขนาดวางซ้อนกัน ไต่ระดับสูงขึ้นจนถึงเบื้องบน มองขึ้นไป
เห็นเป็นเส้นทางที่สามารถไต่ขึ้นไปจนถึงยอดเขาที่เฟยอี้และองค์หญิงฯตกลงมา
องค์หญิงหันหน้ากลับมา พูดกับเฟยอี้อย่างตื่นเต้น
“นี่ไง เจ้าเห็นหรือไม่ มันคือหนทางที่สามารถออกไปจากที่แห่งนี้”
เฟยอี้เห็นเช่นนั้น ก็มีใบหน้าที่สลดลง มองดูหน้าของนางอย่างเซื่องซึม แล้วพูดขึ้นว่า
“องค์หญิงฯ ท่านคงเบื่อที่แห่งนี้แล้วใช่หรือไม่ ”
องค์หญิงฯเห็นใบหน้าของมัน เซื่องซึมลงก็หยั่งทราบความคิดของมัน นางจึงพูดขึ้นว่า
“เฟยอี้ ข้าจะไม่มีวันเบื่อ หรือ ลืมเลือนสถานที่แห่งนี้เป็นอันขาด มันเป็นสถานที่ที่ข้ากับเจ้าได้อยู่ใกล้ชิดกัน
และมีความสุขร่วมกัน แต่เจ้าก็ต้องไม่ลืมว่าที่เบื้องนอกนั้น เรายังมีผู้อื่นที่รอเราอยู่ พวกเขาเหล่านั้นยังคงเป็นห่วง
และเฝ้ารอเรา เจ้าจะละทิ้งพวกเขาโดยแสร้งทำเป็นมีเพียงเจ้ากับข้า แล้วใช้ชีวิตเพียงลำพังต่อไป ณ ที่แห่งนี้
ได้ตลอดไปกระนั้นหรือ”
เฟยอี้ได้ยินนางพูดเช่นนั้น ก็ได้คิด แล้วแย้มยิ้มตอบนางกลับไป
“ข้าเข้าใจแล้วองค์หญิงฯ อีกสามวัน หากบาดแผลที่ขาของท่านหายสนิทดีแล้ว เราจะออกไปจากที่แห่งนี้ด้วยกัน”
ทั้งคู่ก็ต่างประสานสายตามองดูกัน แล้วพากันเดินกลับมายังที่พักภายในถ้ำ
ในช่วงเย็นของวันนั้น เฟยอี้มุ่งมั่นฝึกฝนปราณฟ้าดิน-หยินหยางในขั้นที่สอง มันเพ่งสัมผัสรับรู้เข้าไปในร่างของมัน
จนรู้สึกได้ถึงพลังหยางที่เปี่ยมล้นอยู่ภายในตัวมัน โดยมีพลังหยินหลายสาย คอยสร้างสมดุลย์ไว้มิให้ร่างของมัน
ถูกแผดเผาด้วยความร้อนแรงแห่งพลังหยางที่เปี่ยมล้น
มันจึงทดลองใช้พลังปราณฟ้าดินที่พึ่งได้รับเข้ามา เปิดทะลวงชีพจรในร่าง เพื่อรับ เอาพลังหยินจากสรรพสิ่งภายนอก
มาสร้างสมดุลย์เพิ่มเติม
แต่กลับไม่เป็นดังที่มันคาดคิด ยามเมื่อมันเริ่มโคจรรับเอาพลังหยิน พลังหยางที่เปี่ยมล้นในร่างของมันก็ไหลบ่าออกมา
จนมันบังเกิดความรุ่มร้อนขึ้นในร่าง ถึงขั้นที่มิสามารถจะทานทนได้อีกต่อไป มันล้มลงนอนเกลือกกลิ้ง ส่งเสียงโหยหวน
อย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน จนดังก้องไปทั้งหุบเขา
“ร้อน…ร้อน…..ร้อนเหลือเกิน…..เจ็บปวดเหลือเกิน โอ้ยยยยยย………….อ้าาาาาา….”
องค์หญิงฯ กำลังเพลิดเพลิน กับการชำระร่างกายในแอ่งน้ำภายในถ้ำ ได้ยินเสียงร้องอย่างโหยหวน
ของมันเช่นนนั้น ก็ตกใจรีบรนลานขึ้นมาจากน้ำ
“เฟยอี้…….เฟยอี้………..เจ้าเป็นอะไร…..”
ภาพที่นางเห็นก็คือ ร่างของเฟยอี้กำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่ที่พื้นอย่างทุกข์ทรมาน
มันร่ำร้องอย่างเจ็บปวดไม่ขาดปาก
“ข้าร้อนเหลือเกิน… ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน…….องค์หญิงฯ…..ข้า…..ข้าทนไม่ได้แล้ว…….อ้าาาา..”
องค์หญิงฯ เร่งรีบตรงเข้าไปประคองร่างของมัน โดยที่นางเองก็ลืมไปว่าในตอนนี้
ร่างของนางนั้น ไม่มีอาภรณ์ห่อหุ้มร่างเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
“เฟยอี้……เฟยอี้…….ข้าควรทำเช่นใดดี……ข้าจะช่วยเจ้าอย่างไรดี……..”
ครั้นองค์หญิง สัมผัสเข้ากับร่างของมัน พลังหยินในร่างของค์หญิงฯก็แผ่ซ่านเข้าสู่ร่างของมัน
จนลดทอนความเจ็บปวดของมันลง
องค์หญิงฯ เห็นมันเริ่มผ่อนคลาย เมื่อนางประคองร่างของมัน นางก็ยิ่งโอบกอดร่างของมัน
ไว้แนบชิดขึ้น ร่างของเฟยอี้กำลังโหยหาพลังหยินมาสร้างสมดุลย์ มันจึงโอบกอดร่างของ
นางแล้วซุกไซ้อย่างตระกละตระกราม
องค์หญิงฯถูกระทำเช่นนั้นก็ตกใจ ผลักร่างของมันออกอย่างรุนแรง จนมันกระเด็นกลิ้งห่างออกไป
ครั้นพอร่างของมันห่างออกจากร่างขององค์หญิงฯ ความเจ็บปวดและรุ่มร้อนก็กลับเข้ามาจู่โจมมันอีก
เฟยอี้เกลือกกลิ้งลงกับพื้น ร้องโหยหวนออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง
“โอยย….โอยย….ข้าทนไม่ไหวแล้ว…..ร้อน…ร้อนเหลือเกิน……องค์หญิงฯ…..โปรดช่วยข้าด้วย”
องค์หญิงฯนิ่งมองดูมันอย่างตื่นตระหนก นางอยากจะเข้าไปประคองร่างของมันไว้ให้มันคลายความเจ็บปวด
แต่ก็หวาดกลัวต่ออาการที่มันพึ่งกระทำต่อนางเมื่อสักครู่
“เฟยอี้…เจ้าเป็นอะไรไป…เจ้าอย่าล้อข้าเล่นเช่นนี้….นี่เจ้าเจ็บปวดจริงหรือไม่”
นางเพ่งมองมันเกลือกกลิ้งไปมาอย่างเวทนา ในใจของนางนั้นทั้งรุ่มร้อนและวิตกกังวล จนนางมิอาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้
นางตัดสินใจด้วยความรักที่นางมีต่อมันอย่างท่วมท้น นางพร้อมที่จะถูกกระทำหากว่า จะทำให้มันพ้นจากความทุกข์
ทรมานนี้
องค์หญิงฯ เดินตรงเข้าไปหามัน แล้วทรุดร่างลงนั่ง โอบกอดร่างของเฟยอี้ไว้แนบชิดกับทรวงอกของนาง
พลันเฟยอี้ก็มีอาการนิ่งสงบลงทันที มันหันใบหน้าเข้าแนบชิดกับทรวงอกของนาง แล้วคลอเคลียใบหน้าของมัน
ลงคลุกเคล้าไม่ออกห่าง
ยิ่งมันได้แนบชิดกับเรือนร่างขององค์หญิงฯ พลังหยินแห่งกายนางก็ซึมซาบเข้ามายังตัวมัน ก่อให้เกิดความเอิบอิ่ม
ซาบซ่านต่อมันยิ่งนัก เฟยอี้หันร่างเข้าประจันหน้ากับนาง แล้วซุกไซ้เชยชมเรือนร่างของนางอย่าง
ร้อนรน
มือของมันทั้งสองข้าง เกาะกุมบีบเค้นปทุมถันอันกลมกลึงของนางอย่างคลุ้มคลั่ง พร้อมกับก้มลงดูดกินที่ยอดถัน
อย่างหิวกระหาย อาการของมันในตอนนี้ คล้ายกับปีศาจคลั่งสวาทที่กำลังจัดการกับเหยื่อของมัน
องค์หญิงฯ ถูกบีบเค้นและดูดกินที่ยอดถันของนางอย่างรุนแรง นางทั้งเจ็บและอับอายแต่ก็สู้ทนเพื่อให้เฟยอี้คลายความ
เจ็บปวดลง มันซุกไซ้ใบหน้าของมันไหลเลื่อนลงมาอย่างบ้าคลั่ง จนจะเกือบถึงเนินสวาทของนาง
องค์หญิงฯเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ รีบเกร็งขาทั้งสองข้างไว้จนแนบแน่นมิให้มันล่วงล้ำเข้ามา
เฟยอี้เงยหน้าขึ้นมองดูหน้าของนาง แล้วใช้มือทั้งสองของมันแยกขาทั้งสองของนางออกด้วยกำลังอันรุนแรง
“…….เฟยอี้…….อย่าาาาาาาาา…………..”
นางร้องห้ามเสียงหลง แต่ช้าไปเสียแล้ว มือทั้งสองของมันผลักดันขาทั้งสองของนางให้อ้าออกด้วยกำลังแรง
แล้วกดทับไว้ เป็นผลให้เนินสวาทของนางเบ่งบานออกจนแสดงขนาดส่วนนั้นของนางออกมาจนเต็มที่
มันหยุดจ้องมองดูด้วยดวงตาที่เบิกกว้างก่อนที่จะก้มลงซุกไซ้ดอมดมเนินสวาทของนางอย่างคลั่งไคล้
“อ๊ายยยยยยยย………………………………………………..”
องค์หญิงถึงกับผวาเฮือก ร้องออกมาอย่างสุดเสียง เมื่อริมฝีปากของมันจ่อเข้าที่ร่องสวาทของนาง
แล้วดูดกลืนพลังหยินจากส่วนนั้นอย่างหิวกระหาย มันเคลื่อนริมฝีปากของมันดูดกินไปทุกจุดที่มันสัมผัส
ก่อนที่มันจะใช้มือทั้งสองแบะกลีบสวาททั้งสองของนางออก แล้วฉกลิ้นของมันลงระรัวไปทั่วร่องหลืบนั้น
ความเจ็บปวดในคราแรกที่ถูกระทำ แปรเปลี่ยนเป็น ความสุขและเสียวซ่านจนเกินกว่าจะระงับได้ นางถึงกับ
หลับตาพริ้มลง ปลดปล่อยเสียงครางแห่งความสุขออกมา
“ซี๊ดดดดด…………….ฮ้าาาาาาา………ซี๊ดดดดดด……………เฟยอี้…….”
สองมือของนางจิกกำเส้นผมของเฟยอี้ อย่างแนบแน่น แต่แล้วนางก็แปรเปลี่ยนจากเสียงร้องครางมาเป็น
เสียงแหลมยาวขึ้นอีกครั้ง เมื่อเฟยอี้ใช้ริมฝีปากเม้มติ่งเสียวของนางไว้ในปากของมัน แล้วดูดกินอย่างรุนแรง
“อ๊ายยยย…….อ๊ายยยยย…………..อ๊ายยยยยยย……………”
เฟยอี้ทั้งดูดกิน สลับกับลากลิ้นโลมเลียอย่างหนักหน่วงและต่อเนื่อง
จนในที่สุดความเสียวซ่านที่นางได้รับก็แล่นขึ้นสู่จุดสูงสุด
องค์หญิงถึงกับแอ่นเนินสวาทนิ่งค้างอยู่ชั่วขณะ นางรู้สึกคล้ายกับว่าได้ล่องลอยไปในที่ที่เวิ้งว้าง และกว้างไกล
“อ๊ายยยยยยย…………………เฟยอี้…….เฟยอี้……..ข้า…..ข้า……..โอ้วววววววววววววว…….”
นางมีท่าทีผ่อนคลาย และผ่อนลมหายใจออกมาอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่แล้วองค์หญิงฯก็กลับบังเกิดความเสียวซ่านเวียนกลับมาใหม่อีกครั้ง
คิ้วทั้งสองของนางขมวดเข้าหากันพร้อมกับเกร็งร่างแอ่นขึ้น
เฟยอี้ไม่ยอมหยุดพัก มันยังคงลากลิ้นตวัดไปมาอยู่กับร่องสวาทขององค์หญิง สลับกับการดูดกินติ่งเสียวของนางอย่างไม่ลดละ
จนองค์หญิงฯ ถึงจุดสุขสมเป็นครั้งที่สอง และสาม ติดๆกัน
“อ๊ายยยยยยยยย………………อ๊ายยยยยยยยย………..โอ้วววววววววว…………….. พอ….พอแล้ว……..เฟยอี้…..พอ…..
อ๊ายยยยยยย……….อ๊ายยยยยยยยยย……………………. โอ้วววววววว………………ไม่……..ไม่…..เฟยอี้…..พอแล้ว………โอ้ววววววว..”
ทุกครั้งที่นางถึงจุดสุขสม พลังแห่งหยินในตัวของนางก็หลั่งไหลซึมซาบเข้าสู่ร่างของเฟยอี้ จนมันรู้สึกผ่อนคลาย แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
ต่อความต้องการของมัน มันยังคงสร้างความเสียวซ่านให้ก่อเกิดกับนางต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เสื้อผ้าของเฟยอี้ถูกถอดออกอย่างรีบร้อน จนมันเหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าอวดแก่นกายที่แข็งเกร็งและยื่นยาวออกมาอย่างน่ากลัว
องค์หญิงฯ เหลือบตาขึ้นมอง พอเห็นเช่นนั้นก็รีบหลบตาลง แล้วคืบคลานเตรียมที่จะถอยหนี
เฟยอี้ตามติดมายึดร่างของนางเอาไว้ แล้วทอดร่างของมันลงทาบทับร่างของนางทางเบื้องหลัง อาการรับรู้ของเฟยอี้เป็นไปอย่าง
ไม่ต่อเนื่อง บางครามันก็กลับรับรู้ว่ากำลังกระทำสิ่งใด บางคราก็คงเหลือแต่ความต้องการที่ต้องการจะปลดเปลื้อง
“องค์หญิงฯ ข้าต้องการท่าน ช่วยข้าด้วยเถิด ข้าทรมานเหลือเกิน อย่าหนีข้าไป”
องค์หญิงได้ยินเสียงร้องขอที่น่าสงสารของมัน ก็ตัดใจไม่ขัดขืน ปล่อยให้มันเชยชมเรือนร่างของนางจากทางเบื้องหลัง
เฟยอี้ดันร่างของมันจนแนบสนิทกับสะโพกอันโด่งงอนของนาง แก่นกายอันแข็งเกร็งของมัน ชอนไชลงไปจนสัมผัส
กับเนินสวาทที่ย้อยออกมาทางเบื้องหลัง
องค์หญิงฯรู้สึกได้ว่า ร่องสวาทของนางถูกมันใช้แก่นกายบุกทะลวงล่วงล้ำเข้ามา จนในที่สุดนางก็รับรู้ได้ถึงความคับแน่น
ที่ลำแก่นกายของมันพยามยามผลักดันเข้ามาจนสุดลำ จากนั้นลำแก่นกายของมัน ก็ถอยออก แล้วถูกดันกลับเข้ามาใหม่
แล้วกระทำซ้ำเช่นนี้ วนเวียนต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง
ทุกครั้งที่ลำแก่นกายของมันบุกทะลวงเข้ามา แล้วกลับถอยออกไป สร้างสัมผัสอันแสนซ่านเสียว และสุขล้นให้แก่นางเช่นกัน
จนในที่สุดนางก็ยินยอมพร้อมใจยอมรับการกระทำของมันด้วยความเต็มใจ
“ซี๊ดดด…….ซี๊ดดดด………..ซี๊ดดดด………..”
เฟยอี้ยันกายลุกขึ้น สองมือของมันยึดจับช่วงเอวอันคอดกิ่วขององค์หญิงไว้อย่างแน่นหนา แล้วโยกช่วงล่างของมัน
กระแทกกระทั้นกับสะโพกอันผึ่งผายของนางอย่างรุนแรง และ หนักแน่น มันบังเกิดความเสียวซ่านและสุขล้น
จนสติของมันเข้าสู่ภวังค์
“ตั้บ……….ตั้บ………ตั้บ………ตั้บ………ตั้บ………ตั้บ………ตั้บ………ตั้บ……..”
พลัน พลังปราณฟ้าดิน – หยินหยาง ที่มันเริ่มฝึกฝนและแฝงอยู่ในร่างของมัน ก็เริ่มโคจร พลังหยางในกายมันเริ่มซึมซับเอา
พลังแห่งหยินจากกายนาง ผ่านแก่นกายของมันเข้ามาในร่างอย่างต่อเนื่อง ก่อเกิดเป็นพลังภายในที่สมดุลย์ ตามวงล้อแห่งหยิน-หยาง
จนสะสมเพิ่มพูนขึ้นในร่างของมัน
เฟยอี้เริ่มเข้าสู่ ขั้นที่สาม ของปราณฟ้าดิน – หยินหยาง โดยมันเองก็มิทันรู้ตัว แม้พลังหยินจากร่างขององค์หญิงจะเป็นเพียงส่วนน้อย
แต่ก็สามารถสร้างสมดุลย์แห่งวงล้อ หยิน – หยาง ให้เกิดขึ้น จนมันมีกำลังภายในที่เลิศล้ำก้าวหน้าขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้ว
เฟยอี้ทั้งกระแทกกระทั้น สลับกับบดคลึง มันเเชยชมเรือนร่างขององค์หญิงด้วยท่าทางต่างๆ ที่ออกมาจากจิตใต้สำนึกของมัน
จนองค์หญิงฯ เคลิบเคลิ้มล่องลอยด้วยความสุขสม ไปหลายต่อหลายครั้ง นางทั้งเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียอย่างที่สุด จนในที่สุด
นางก็สิ้นสติไปพร้อมกับ น้ำรักที่พรั่งพรูออกจากแก่นกายของมันด้วยความสุขสม
สติและการรับรู้ของเฟยอี้คืนกลับมา มันมองดูร่างที่ไร้สติขององค์หญิงแล้วก็ระลึกถึงเหตุการณ์ที่ได้กระทำลงไปขึ้นมาได้
มันตรงเข้าช้อนร่างของวนางไว้ในอ้อมแขน แล้วเดินตรงไปที่ขอบแอ่งน้ำ แล้วใช้น้ำลูบไล้ใบหน้าของนางจนนางฟื้นคืนสติขึ้น
“องค์หญิงฯ ข้าผิดไปแล้ว โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
องค์หญิงฯลืมตาขึ้นมองมันด้วยท่าทีอิดโรย แล้วพูดออกมาอย่างแผ่วเบาว่า
“เฟยอี้ เจ้าไม่เป็นอันตรายก็ดีแล้ว”
เฟยอี้โอบกอดร่างของนางไว้ ด้วยความรักและสงสารอย่างสุดซึ้ง มั้นตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่า จากนี้ไปมันจะไม่ฝึกฝนลมปราณจากคัมภีร์อีกต่อไป
ตั้งแต่วันนั้นมา เฟยอี้ก็ไม่แตะต้องคัมภีร์อีกเลย จนบาดแผลจากเกาทัณฑ์ที่ขาขององค์หญิงประสานกันสนิท ทั้งคู่จึงตกลงกันที่
จะออกไปจากถ้ำแห่งนี้ ก่อนจากไปองค์หญิงก็พูดขึ้นว่า
“เฟยอี้ เหตุใดเจ้าจึงไม่ฝึกฝนวิชาในคัมภีร์อีกเลย เป็นเพราะ…..ข้าใช่หรือไม่”
เฟยอี้หันหน้าไปมองดูคัมภีร์ทั้งสองเล่ม แล้วพูดขึ้นว่า
“ข้าคงไม่มีวาสนากับคัมภีร์เหล่านี้ ในร่างข้ามีพลังหยางอยู่ในร่างมากเกินไป จนไม่สามารถฝึกฝนวิชาในคัมภีร์ของท่านผู้เฒ่าได้”
องค์หญิง ฯ เลื่อนมือมาสัมผัสกับมือของมัน แล้วกล่าวว่า
“ข้าเข้าใจผู้ที่ฝึกวรยุทธ์ดี เนื่องด้วยบิดาของข้าก็หลงใหลในวรยุทธ์เช่นกัน การฝืนใจอดทนไม่ฝึกฝนต่อสุดยอดวิชาที่ได้พบเห็นนั้น เป็นความทุกข์เพียงใด
เฟยอี้ แม้ในวันนี้เจ้ายังมิสามารถฝึกฝนได้ ต่อไปภายภาคหน้าเจ้าอาจมีโอกาสได้ฝึกฝน เหตุใดเจ้าจึงไม่ท่องจำข้อความในคัมภีร์ไว้เล่า”
เฟยอี้ได้รับการปลอบใจ และเตือนให้ท่องจำข้อความในคัมภีร์ เช่นนั้น มันก็กระทำตาม มันตรงเข้าไปทบทวนข้อความที่ระบุไว้ในคัมภีร์ทั้งสองเล่ม
จนเวลาผ่านไป หนึ่งชั่วยาม มันก็สามารถจดจำข้อความทั้งหมดได้จนขึ้นใจ แล้วนำไปฝังไว้ใต้แผ่นเหล็ก สถานที่เดิมของมัน
จากนั้นทั้งคู่ก็เดินทางลอดช่องใต้หินผา แล้วไต่ขึ้นสู่ยอดเขา มุ่งหน้าเดินทางต่อไปยังวังผาภูติคำราม
——————————-
คณะเดินทางของลิ่มบ้อฮวย และ ศิษย์ รวมทั้ง เม่ยเม่ย เดินทางมาถึงครึ่งเส้นทาง ก็ล่วงเข้าสู่ยามเย็น
ก็คิดที่จะหาโรงเตี๊ยม เพื่อหาสถานที่พักแรม ลิ่มบ้อฮวยจึงเบี่ยงเส้นทางปกติมายังโรงเตี๊ยมที่เคยเข้าพักในครั้งก่อน
ขณะเดินทางจนมองเห็นโรงเตี๊ยมอยู่เบื้องหน้า พลัน เม่ยเม่ย ก็เหลือบมองดูคนในโรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างออกไป
เห็นเป็นสตรีสี่นาง มีใบหน้าและลักษณะที่คุ้นเคยนัก คล้ายกับว่าเคยพานพบที่ใดมาก่อน นางจึงเพ่งมองดูอย่างตั้งใจ
จนลิ่มบ้อฮวยสังเกตเห็น จึงร้องถามต่อ เม่ยเม่ย ขึ้น
“เม่ยเม่ย เจ้าเพ่งมองดูอะไร มีสิ่งใดผิดปกติหรือ”
เม่ยเม่ย หันมายังลิ่มบ้อฮวย แล้วตอบนางกลับไปว่า
“ท่านเจ้าสำนักลิ่ม สตรีสี่นางที่อยู่ในโรงเตี๊ยมนั่น ข้ารู้สึกคุ้นตายิ่งนัก แต่ข้านึกไม่ออกว่า เคยพบนางที่ใด”
ลิ่มบ้อฮวย มองตามทิศทางที่ เม่ยเม่ย ชี้มือออกไป นางก็เห็นเป็นสตรีสี่นาง ใส่อาภรณ์ต่างสีกัน ก็รู้สึกคุ้นตายิ่งนัก
แต่นางก็นึกไม่ออกเช่นกันว่า เคยพบพวกนาง ณ.ที่แห่งใด
“อืมม…เม่ยเม่ย ข้าก็รู้สึกคุ้นเคยพวกนางเช่นกัน พวกเราเข้าไปใกล้ๆกันดีกว่า จะได้รู้ว่า พวกนางคือใครกันแน่”
ครั้นลิ่มบ้อฮวย และ คณะเดินทาง เดินเข้าโรงเตี๊ยมใกล้เข้ามา เม่ยเม่ย ก็มีอาการลังเล แล้วหยุดยืนอยู่กับที่
เยี่ยกุ้งอิงซึ่งเดินรั้งท้ายอยู่ก็ร้องทักขึ้น
“เม่ยเม่ย ใยเจ้าไม่เดินต่อไป มีสิ่งใดรึ”
เม่ยเม่ย ชี้มือไปที่สตรีสี่นางนั้นแล้วพูดขึ้นว่า
“นั่น…นั่นคือพวกนาง ภูตแพรทั้งสี่”
ลิ่มบ้อฮวย เดินนำ เม่ยเม่ย อยู่ไม่ห่างก็ได้ยินคำพูดของ เม่ยเม่ย จึงหันกลับมาแล้วกล่าวว่า
“เม่ยเม่ย เจ้าไม่ต้องเกรงกลัวพวกนาง มา..เจ้ามากับข้า”
ลิ่มบ้อฮวยพาคณะเดินไปยังโรงเตี๊ยม แล้วตรงไปที่โต๊ะที่ภูตแพรทั้งสี่นั่งอยู่ แล้วพูดขึ้นว่า
“ที่แท้ พวกท่านคือภูตแพรทั้งสี่ ข้า ลิ่มบ้ออวย เจ้าสำนักเงาจันทรา ขอคารวะ”
ภูตแพรทั้งสี่ เห็นเช่นนั้น ก็นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วภูตแพรขาวก็ลุกขึ้นกระทำคารวะตอบ
จากนั้น ภูตแพรอีกสามคนก็ลุกขึ้นกระทำคารวะตามผู้พี่ของตน แล้วภูตแพรขาวก็กล่าวออกมาว่า
“เอ่อ…ขออภัยท่านเจ้าสำนักลิ่มบ้อฮวย ข้าจดจำไม่ได้ว่าพวกเราเคยพานพบกันรึ”
แล้วภูตแพรขาวก็เหลือบไปเห็น เม่ยเม่ย ยืนอยู่ข้างหลังลิ่มบ้อฮวย นางส่งสายตาจ้องมองเม่ยเม่ย
แล้วพูดขึ้นว่า
“เม่ยเม่ย พี่ชายอันชั่วร้ายของเจ้าอยู่ที่ใด มันมาด้วยหรือไม่”
ลิ่มบ้อฮวย เห็นเหตุการณ์จะลุกลามไปใหญ่โต จึงรีบกล่าวขึ้นว่า
“ท่านภูตแพรขาว เม่ยเม่ย มากับข้าเพียงลำพัง ขอท่านโปรดระงับเรื่องขัดแย้งในอดีตไว้ก่อนเถิด พวกเราเดินทางมา
เพื่อออกติดตามเฟยอี้ และท่านหมอเมี่ยว คิดว่าพวกท่านคงรู้จักกับคนทั้งสองเป็นอย่างดี ศิษย์ของข้าเป็นสหายที่รู้จักกับเฟยอี้มาช้านาน
รวมทั้งตัวข้าก็เป็นภรรยาของ หมอเมี่ยว อาจารย์ของมัน พวกเราได้รับทราบข่าวไม่ดีว่าเฟยอี้ตกอยู่ในอันตราย มิทราบว่า
พวกท่านได้ล่วงรู้บ้างหรือไม่ ”
ภูตแพรทั้งสี่ ได้ยินนางพูดเช่นนั้น ก็แปลกใจ ต่างมองดูหน้ากัน แล้วภูตแพรขาวก็เอ่ยขึ้นว่า
“ท่านเจ้าสำนักลิ่ม พวกเราก็ได้รับข่าวไม่ดีเช่นเดียวกับท่าน ท่านอ๋องลีลู่ปัง ประมุขของพวกเรา จึงได้ส่งพวกเรา
มาเพื่อออกติดตามและช่วยเหลือเฟยอี้ และ องค์หญิงลีลู่อินกลับมา”
ลิ่มบ้อฮวยได้ยินเช่นนั้น ก็มีความยินดี กล่าวขึ้นว่า
“เช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่งนัก การเดินทางไปยังวังเบญจธาตุ เต็มไปด้วยอันตราย หากพวกเราเดินทางไปด้วยกัน
ก็จะมีกำลังที่กล้าแข็งขึ้น หากว่าพวกเราร่วมมือกัน มิทราบ พวกท่านเห็นเป็นเช่นไร”
ภูตแพรทั้งสี่ต่างมองหน้ากัน แล้วพยักหน้า ยิ้มแย้มให้กับลิ่มบ้อฮวยและศิษย์ ภูตแพรขาวกล่าวขึ้นว่า
“ตกลง พวกเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน เช่นนั้นพวกเราเดินทางไปด้วยกัน”
แล้วภูตแพรทั้งสี่ ก็เชื้อเชิญให้ ลิ่มบ้อฮวยและศิษย์ นั่งร่วมโต๊ะ กินอาหารและพูดคุยซักถามความเป็นมาของกันและกัน จนเวลาล่วงเข้าสู่ยามค่ำ
ก็แยกย้ายเข้าพักผ่อน โดยนัดหมายไว้ว่าจะออกเดินทางร่วมกันเมื่อถึงเวลารุ่งเช้า