ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 12 ลมปราณภูตคำรามขั้นที่แปด
โดย zeech
แสงอรุณยามเช้าสาดส่องเข้าทางช่องหน้าต่างของโรงเตี๊ยม
เฟยอี้หลับไหลในร่างเปลือยเปล่า เคียงคู่กับโฉมสะคราญสองนาง
ในเรือนร่างเปลือยเปล่าเช่นเดียวกัน มันรู้สึกตัวขึ้นเนื่องจากภายในร่าง
บังเกิดขุมพลังไหลเวียนอยูทั่วร่างของมัน จนมันไม่อาจข่มตาหลับ
ต่อไปได้ มันทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในคืนที่ผ่านมา จนมันสามารถ
ระลึกจดจำได้ทั้งหมดแล้ว ก็หันใบหน้าของมันมองดูนางทั้งสองที่หลับไหล
มันลุกขึ้นนั่งแล้วดึงผ้าขึ้นคลุมร่างให้นางทั้งสอง
มันขยับร่างไปนั่งในที่ห่างออกมา แล้วปิดตาลงโคจรพลังลมปราณในร่าง
ไปตามจุดสำคัญต่างๆ พลันบังเกิดความกระชุ่มกระชวย ร่างกายของมัน
เต็มไปด้วยพลังวัตรที่รอการนำออกไปใช้ อันเนื่องมาจากพลังหยิน
จากเรือนร่างของสตรีเข้าไปสร้างสมดุลย์ กับพลังหยางของตะขาบแดงอัคคี
จนกำลังภายในของมันพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
มันลุกขึ้นใส่เสื้อผ้ากระโดดลงทางช่องหน้าต่างของโรงเตี้ยมแล้วกระโจนหายเข้าไป
ในพงไม้แห่งหนึ่ง แล้วร่ายรำกระบวนท่าของวิชาลมปราณภูตคำราม ที่ได้รับถ่ายทอด
มาจาก อ๋องลีลู่ปัง ทุกกระบวนท่าของมัน เป็นไปอย่างคล่องแคล่วไหลลื่นสอดคล้อง
กับการไหลเวียนของพลังวัตรในร่าง คราวใดที่มันร่ายรำกระบวนท่าที่ต้องฟาดฝ่ามือออกไป
พลังวัตรจำนวนมหาศาลก็ถูกถ่ายเทไปที่ฝ่ามืออย่างหนุนเนื่อง ไม่ขาดตอน
เฟยอี้ฝึกปรืออยู่ผู้เดียวอย่างเพลิดเพลิน จนหาได้รู้ตัวไม่ว่า ภูตแพรขาวและ
ภูติแพรเขียว ต่างก็รู้สึกตัวแล้วและลอบแอบลงมาดูพฤติกรรมของมันอยู่ในพงไม้
เฟยอี้ฝึกปรือในเช้าวันนี้ได้รับความก้าวหน้าในพลังฝีมือขึ้นอย่างมาก จนสามารถ
บรรลุ วิชาลมปราณภูตคำราม ขั้นที่หก ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับ อ๋องลีลู่ปัง
อาจารย์ของมัน มันต้องการทดลองพลังลมปราณภูตคำรามขั้นที่หกดู
จึงทรุดกายลงนั่ง แล้วยกฝ่ามือทั้งสองไล่ระดับขึ้นมาจากเอวจนถึงทรวงอก พลางโคจร
ขุมพลังลมปราณของมันจากช่องท้อง ให้มารวมกันอยู่ที่ทรวงอก แล้วสะบัดข้อมือ
ถ่ายพลังลมปราณจากทรวงอกไปที่ฝ่ามือทั้งสอง พลันผลักพลังนั้นออกไปจาก
ฝ่ามืออย่างหนักหน่วง
บังเกิดสายพลังอันรุนแรง วิ่งออกจากฝ่ามือของมันด้วยความเร็วสูง
แหวกอากาศออกมา จนมีเสียงหวีดหวิวคล้ายดังเสียงภูตผี ปะทะเข้ากับต้นไม้ใหญ่
ขนาดเท่าลำตัวมนุษย์ หักสะบั้นลงมาเป็นสองท่อน
ภูตแพรทั้งสองเห็นภาพที่ปรากฏขึ้นอยู่เบื้องหน้า ถึงกับตกตะลึงค้าง นางทั้งสอง
ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า เฟยอี้จะมีพลังฝีมือสูงล้ำเช่นนี้ ภูตแพรเขียวลืมตัว
อุทานออกมา
“ลมปราณภูตคำรามขั้นที่หก”
นางเดินออกมาจากพงไม้ตรงเข้าไปหาเฟยอี้
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าทำได้อย่างไร แม้ท่านอ๋องยังใช้เวลาถึงสิบปี”
เฟยอี้หันหน้ากลับไปมองดูที่มาของเสียงนั้น พลันประสานสายตากับภูตแพรเขียว
ภูตแพรเขียว เห็นใบหน้าและสายตาของมันก็ระลึกได้ถึงเรื่องเมื่อคืน ก็หลบสายตาวูบลง
หันใบหน้ามองไปยังทิศทางอื่น แล้วยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นโดยมิรู้จะทำประการใดต่อไป
“เจ้าตื่นนานแล้วรึ”
ภูตแพรเขียวไม่ตอบคำ พลางหันหลังกลับบแล้วเดินจากไป เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็อึกอัก มิรู้จะทำประการใด
แล้วออกวิ่งตามพลางร้องเรียก
“โปรดหยุดก่อน แพรเขียว …ข้า..ข้า…”
แล้วมันก็ต้องหยุดฝีเท้าที่วิ่งตามลง เมื่อร่างของภูตแพรขาว ปรากฏขึ้นต่อหน้ามัน
ดวงตาของนางแข็งกร้าว แล้วยกฝ่ามือขึ้นตบหน้ามันฉาดใหญ่
“ต่ำช้า”
แล้วนางก็หันหลังเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมอีกคน
เฟยอี้เดินตามนางทั้งสองกลับไปที่โรงเตี๊ยมเช่นเดียวกัน หวังที่จะขอโทษในสิ่งที่ตนก่อขึ้น
แต่ทั้งสองนาง ก็หาสนใจมันไม่ จึงจัดแจงสัมภาระส่วนตัวเตรียมออกเดินทาง
ในระหว่างนั้น วัตถุสิ่งหนึ่งก็ล่วงลงมาจากสายคาดเอวของเฟยอี้ลงสู่พื้น เกิดเสียงดังกังวาน
จนทั้งสองนางต้องหันมาดู ก็พบว่าสิ่งนั้นคือ ป้ายทองประจำตัวประมุข ของวังหุบผาภูต
เฟยอี้หยิบป้ายนั้นขึ้นมาแล้วเก็บไว้กับตัวดังเดิม พลางเห็นสายตาของทั้งสองนางจ้องมายังมัน
จึงพูดขึ้นว่า
“ท่านอาจารย์ให้ข้าติดตัวไว้ ท่านบอกข้าว่า สำหรับคนของวังหุบผาภูตแล้ว เห็นป้ายนี้
ก็เปรียบประดุจดังเห็นประมุข”
ภูตแพรขาว เมื่อเห็นป้ายทองก็ระลึกถึงคำสั่งที่ อ๋องลีลู่ปัง ให้ไว้ก่อนเดินทาง คือให้ใช้หยิน
จากเรือนร่างของพวกนางช่วยเหลือเฟยอี้ยามอาการของมันกำเริบ ท่านอ๋องคงคาดการณ์
ล่วงหน้าทั้งหมดไว้และให้ป้ายทองแก่มัน นางจึงลดความโกรธลงแล้วคุกเข่าคารวะป้ายทอง
ตามธรรมเนียมของ วังหุบผาภูต
ภูตแพรเขียวเห็นเช่นนั้นก็ปฏิบัติตามทันที
“ป้ายทองคือตัวแทนของประมุข ขอคารวะท่านประมุข”
หลังจากนั้น ทั้งสามก็ไม่ได้พูดจาใดๆต่อกันอีก พากันออกเดินทางจากโรงเตี๊ยมมุ่งหน้า
ไปยังกระท่อมอันเป็นที่อยู่ของหมอวิปลาสต่อไป
ที่กระท่อมของหมอวิปลาส หลังจากที่หมอวิปลาสให้การรักษาเม่ยเม่ยโดยให้กินยาแก้พิษแล้ว
ก็ปล่อยให้นาง นอนพักผ่อนอยู่บนเตียงภายในกระท่อมนั้น
ส่วนตนเองก็เร้นกายหายไปในห้องลับ อยู่กับ ภูตแพรแดง และ ภูตแพรเหลือง
เฟยอี้ ภูตแพรขาว และ ภูตแพรเขียวเดินทางมาถึงหน้ากระท่อม ไม่พบเห็นผู้ใดจึงเดินเข้าไป
ยังภายในกระท่อมนั้น เป็นเวลาเดียวกันกับที่ เม่ยเม่ย ฟื้นคืนสติมาได้สักครู่แล้ว นางพบผู้มาเยือน
เป็นชายหนุ่ม ใบหน้างดงามดุจสตรี แต่มีท่าทีองอาจผึ่งผาย กำลังเดินตรงเข้ามาหานาง
แล้วยิ้มให้
“เม่ยเม่ย อาการของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
เม่ยเม่ย คิดสงสัยเหตุใดบุรุษผู้นี้จึงทราบชื่อของนาง
“ท่านคือผู้ใด เหตุใดจึงทราบชื่อของเรา”
เฟยอี้พอได้ยินนางถามออกมาเช่นนั้น ก็ระลึกได้ว่าตนพลาดไปแล้ว
นางรู้จักแต่ หลิงหลิง เมื่อคราวที่ตนเองแปลงโฉมเป็นสตรี
“เจ้าคงจำข้าไม่ได้ ข้าชื่อเฟยอี้ ข้าทราบชื่อของเจ้าและพี่ชายของเจ้า
เว่ยฉิงคัง ในวันงานประลองยุทธ”
เม่ยเม่ย กำลังจะเอ่ยปากไถ่ถามสิ่งอื่นต่อ พลันสายตาของนางก็เห็นสตรี
อีกสองนางเข้ามายืนอยู่ข้างหลังเฟยอี้ นางจดจำได้ว่า เป็นภูตแพรขาว
และภูตแพรเขียว จึงนิ่งสงบปากลง
ภูตแพรขาวเห็นนางก็จดจำได้ว่าเป็น น้องสาวของ เว่ยฉิงคัง จึงร้องถามขึ้น
อย่างเกรี้ยวกราดว่า
“พี่ชายอันชั่วร้ายของเจ้าอยู่ที่ไหน”
เม่ยเม่ย ส่ายหน้าพลางถอยเท้าไปข้างหลัง
“ข้าไม่ทราบ”
ภูตแพรเขียวถลันร่างออกมาหมายจะเค้นคำตอบ เฟยอี้กางแขนออกห้ามปรามไว้
“นางไม่ได้รู้เห็นกับการกระทำของพี่ชายนาง ทั้งยังถูกพวกเจ้าทำร้ายจนบาดเจ็บ
จนถึงเพียงนี้แล้ว ขอพวกเจ้าอย่าคาดคั้นสิ่งใดกับนางอีกเลย
ภูตแพรทั้งสองนางจึงสงบคำลง เฟยอี้ไถ่ถาม เม่ยเม่ย ต่อไปอีกว่า
“เจ้าพบเห็นท่านหมอบ้างหรือไม่”
เม่ยเม่ย ส่ายหน้าอีกครั้ง
“ข้าได้สติขึ้นมาก็พบตนเองนอนอยู่บนเตียงในกระท่อมหลังนี้ หาได้พบผู้อื่นอีกไม่”
เฟยอี้ฉุกคิดขึ้นมา จึงตรงเข้าไปภายในสุดของกระท่อม ร้องเรียกอาจารย์ของตน
อยู่สักครู่ ประตูลับนั้นก็เปิดออก บังเกิดใบหน้าของชายชราโผล่ออกมา ยังมิทันที่มันจะได้พูด
สิ่งใดกับเฟยอี้ ภูตแพรขาวและภูตแพรเหลือง พอพบเห็นใบหน้าของชายชราผู้นั้นก็จำได้ว่า
เป็นหมอวิปลาส พลันบังเกิดความคลั่งแค้น กระโจนเข้าจู่โจมใส่หมอวิปลาสโดยพร้อมเพรียงกัน
ทันที
“เจ้าเฒ่าลามก เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่เอง วันนี้ต้องเป็นวันตายของเจ้า”
หมอวิปลาสถูกจู่โจมอย่างกระทันหันเช่นนั้น ก็หลบร่างวูบเข้าไปภายในห้องลับ ภูตแพรทั้งสอง
ถลันร่างตามติดเข้าไปในห้องลับเช่นกัน เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็ติดตามเข้าไปภายในห้องลับอีกผู้หนึ่ง
ภูตแพรขาวเกร็งพลังปล่อยผ้าแพรของนาง ตรงไปยังร่างของหมอวิปลาสอย่างเกรี้ยวกราด
เป็นเวลาเดียวกันกับภูตแพรเขียว ก็กระทำดุจเดียวกัน ผ้าแพรอันพริ้วไหวของทั้งสองนาง
แปรเปลี่ยนคล้ายดังวัตถุแข็ง พุ่งจู่โจมไปที่ร่างของหมอวิปลาสทั้งข้างซ้ายและขวา
หมอวิปลาส ยืนหยัดเท้านิ่งอยู่กับที่ แล้วส่ายร่างหลบโอนเอนไปมา ผ้าแพรของทั้งสองนาง
แม้ฟาดซัดออกมาอีกหลายครั้ง ก็หาได้ทำอันตรายต่อมัน สายตาของภูตแพรเขียวพลันแล
เห็น ร่างของภูตแพรแดง และภูตแพรเหลือง นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง คล้ายกับ
ถูกทำร้ายจึงคิดว่ามันย่ำยีพี่น้องของตนแล้ว ก็เพิ่มระดับความโกรธแค้นขึ้น
“เจ้าเฒ่าชั่วช้า ลามก โสมม เจ้าเฒ่าบ้ากาม สารเลว จิตใจของเจ้าคงมีแต่เรื่อง
ต่ำทราม หักหาญน้ำใจผู้อื่น เจ้าเฒ่าโสโครก”
นางแผดเสียงด่าพลางโจมตีอย่างบ้าคลั่ง หมอวิปลาสได้ยินนางด่าเช่นนั้น ก็สุดที่จะระงับ
ความโกรธ จากที่ตั้งรับเพียงอย่างเดียว ก็เปลี่ยนท่าร่างมาเป็นรุกไล่กลับบ้าง จนนางทั้งสอง
ถอยร่นจนมุม แล้วมันก็ตรงเข้าจี้สกัดจุดนางทั้งสองไว้
“ปากของเจ้าช่างเผ็ดร้อนนัก วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าได้ผ่อนคลายลงบ้าง”
แล้วมันก็ตรงเข้าไป ยัดเม็ดยาใส่เข้าไปในปากของพวกนางคนละเม็ด
“ท่านอาจารย์ ท่านทำสิ่งใดกับพวกนาง”
“ข้ามิได้ทำร้ายพวกนาง เพียงส่งเสริมให้พวกนางมีความสุขบ้าง”
แล้วมันก็พาร่างของเฟยอี้ออกจากห้องลับ แล้วพูดจาไถ่ถามเฟยอี้ ถึงเหตุการณ์ที่ถูกเทวทูต
หน้าทองทำร้าย เฟยอี้จึงเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่มันได้ประสบมาให้หมอวิปลาสได้รับทราบ
หมอวิปลาสพอทราบเหตุการณ์ทั้งหมดก็พูดขึ้นว่า
“เจ้าผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ แม้ประสบเคราะห์กรรม แต่ก็ดูเหมือนจะมีโชคมาส่งเสริม
ไหนข้าขอตรวจดูชีพจรของเจ้าหน่อย”
หมอวิปลาสตรวจวัดชีพจรเฟยอี้ แล้วมันก็เงยหน้าขึ้นสบตากับเฟยอี้
“เจ้ามีขุมพลังวัตรที่ยิ่งใหญ่ซ่อนเร้นในร่างของเจ้า แต่เป็นพลังหยางที่ขาดความสมดุลย์
หากเจ้าได้มีโอกาสฝึกฝนวิชาทางฝ่ายหยินจนกระทั่ง หยิน-หยาง สมดุลย์แล้ว
เจ้าจะเป็นผู้เยี่ยมวรยุทธผู้หนึ่งในบู๊ลิ้ม”
“ท่านอ๋องลีลู่ปัง ได้ถ่ายทอด วิชาลมปราณภูตคำรามให้แก่ข้า มันเป็นวิชาฝ่ายหยิน”
“นั่นยังไม่ใช่วิชาฝ่ายหยินที่บริสุทธิ์ เจ้าต้องเรียนรู้วรยุทธฝ่ายหยินจากนิกายเต๋า”
หมอวิปลาสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดออกมาว่า
“วรยุทธ์ฝ่ายหยินที่มาจากนิกายเต๋า ในบู๊ลิ้มตอนนี้ข้ามองเห็นอยู่เพียงผู้เดียว
ท่านผู้นี้เป็นหนึ่งในห้าเซียนเทพยุทธ์ มีชื่อว่า จางหย่งจง ฉายาของท่านคือ ผู้เฒ่าเงาภูติ
ผู้เฒ่าจางเป็นเต้าหยินที่รักอิสระ อยู่ไม่เป็นที่ มีนิสัยประหลาดไม่ชอบระเบียบแบบแผนใดๆ
จึงมักซ่อนกายสงบ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยุทธภพ ยากที่จะหาตัวท่านพบ
วิชา หมื่นแปรเปลี่ยน ของท่านนับว่าล้ำลึกพิสดารนัก ท่าร่างร่ายรำดุจเทพยดา คล้ายกับไร้รูปแบบ
ไร้กระบวนท่า แต่แปรเปลี่ยนพริ้วไหว บางครั้งรุนแรง บางคราโอนอ่อน ยากจะหยั่งถึง
หากเจ้าได้มีโอกาสเป็นศิษย์ก็นับว่าเป็นวาสนาของเจ้ายิ่งนัก ”
หมอวิปลาสหันไปเห็นเม่ยเม่ย กำลังนั่งมองมาที่มันอยู่ ก็ระลึกขึ้นได้
“ดรุณีน้อยผู้นี้ ชื่อเม่ยเม่ย ข้าช่วยเหลือนางมาจากสตรีทั้งสี่นางในห้องลับ”
“ท่านอาจารย์ ข้ารู้จักนางมาก่อนหน้านี้แล้ว”
แล้วมันก็ลุกขึ้นอย่างเร่งรีบ คล้ายดังคิดสิ่งใดขึ้นมาได้
“เช่นนั้น ข้าก็จะต้องไปก่อนแล้ว บ้อฮวยและศิษย์ของนางล่วงหน้าข้าไปก่อนแล้ว
ข้าต้องรีบไปสมทบ เกรงว่าพวกนางจะไม่ปลอดภัย”
เฟยอี้ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านอาจารย์ ท่านได้พบกับ เหม่ยผิง และ เหม่ยลี่แล้วใช่หรือไม่”
หมอวิปลาสพยักหน้าแทนคำตอบ แล้วพูดขึ้นว่า
“พวกนางเร่งรีบจะไปช่วยเหลือ เยี่ยกุ้ยอิง และ เหม่ยเยี่ย ศิษย์ร่วมสำนักของนาง
ที่วังของลัทธิเบญจธาตุ ข้าขอให้พวกนางรอข้าไปสมทบ อย่าบุกเข้าไปเพียงลำพัง
เกรงว่าพวกนางจะไม่ทำตามคำของข้า ข้าคงต้องเร่งรีบติดตามพวกนางไปแล้ว”
“เช่นนั้นข้าขอไปด้วย”
เฟยอี้ทำท่าจะติดตามไปในทันที จนหมอวิปลาสเข้าทักท้วง
“ไม่ได้ เจ้ามีภาระที่ต้องไปสมทบกำลังที่วังหุบผาภูต เจ้าหลงลืมแล้วรึ อีกประการนึง
เจ้าต้องอยู่ช่วยเหลือพวกนาง”
เฟยอี้มีสีหน้างงงัน
“ช่วยเหลือสิ่งใดรึท่านอาจารย์”
หมอวิปลาสผลักหลังมันไปที่หน้าประตูห้องลับ แล้วบิดกลไกประตูให้เปิดออก
“นางทั้งสี่ในห้องลับ วาจาเผ็ดร้อนนัก ข้าจึงให้ยาเหมยฟ้ารัญจวนแก่พวกนาง หากเจ้าไม่ช่วย
พวกนางจะต้องคลั่งราคะตายเป็นแน่ ”
“ท่านอาจารย์ …เหตุใดท่านจึง….”
หมอวิปลาสผลักร่างเฟยอี้จนถลันเข้าไปในห้องลับ แล้วบิดกลไกประตูลับให้ปิดลงทันที
จากนั้นจึงร้องเรียกหา เม่ยเม่ยให้ออกเดินทางไปพร้อมกันกับมัน เม่ยเม่ยหันไปที่ประตูลับ
แล้วร้องถามขึ้น
“เหตุใดพี่เฟยอี้จึงไม่ออกเดินทางไปพร้อมกันกับพวกเรา”
“เฟยอี้ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องกระทำ เจ้ายังเด็กนัก อย่าได้สนใจพวกมัน
ไป ออกเดินทางไปพร้อมกับข้า”
——-
ในห้องลับนั้น เฟยอี้มองเห็นร่างของภูตแพรขาว และภูตแพรเขียวซึ่งถูกจี้สกัดจุดอยู่
มันจึงตรงเข้าไปคลายจุดให้ ครั้นพอคลายจุด ทั้งสองนางกลับทรุดร่างลงนอนที่พื้นห้อง
แล้วบิดร่างไปมาอย่างกระสับกระส่าย ยังมิทันที่มันจะได้ทำสิ่งใดต่อไป ก็มีร่างของสตรี
สองนางในสภาพเปลือยเปล่า เดินเข้ามาหามัน
เฟยอี้จ้องมองนางทั้งสองด้วยใจที่ตื่นระทึก ทั้งสองนางเดินอวดทรวดทรงที่งดงามของนาง
แล้วเดินแยกไปด้านหลังของมันนางนึง อีกนางนึงตรงเข้าโอบกอดมันแล้วแนบใบหน้างาม
ของนางเข้าแนบชิดกับใบหน้าจองมัน ดวงตาของนางเร่าร้อนและเย้ายวน นางเคลื่อนมือลูบไล้
ไปมาที่ใบหน้าของมัน0
นางที่อยู่เบื้องหน้าของมันก็คือ ภูตแพรแดง ส่วนอีกนางที่แยกไปที่เบื้องหลังมัน คือ ภูตแพรเหลือง
นางทั้งสองได้รับยา เหมยฟ้ารัญจวนไปก่อนหน้านี้ จนฤทธิ์ยากำเริบแต่หมอวิปลาสไม่มีความสามารถ
จัดการกับพวกนาง
ภูตแพรแดงถอดเสื้อผ้าของเฟยอี้ออกทีละชิ้น จนมันเองก็มีสภาพเปลือยเปล่าไปทั้งร่าง
ความงดงามของนางทั้งสอง ทำให้มันเกิดราคะจนแก่นกายของมันชี้ชันออกมา ภูตแพรแดงสอดมือลงไป
สัมผัสเข้ากับแก่นกายของมันแล้วลูบไล้ไปมา
มือสตรีอันอ่อนนุ่มสัมผัสเข้ากับแก่นกายของมัน สร้างความเสียวสยิวให้กับเฟยอี้จนอารมณ์พลุ่งพล่าน
ส่วนด้านหลังของมันก็ถูกภูตแพรเหลืองใช้เรือนร่างของนางคลุกคลีกับแผ่นหลังของมัน เฟยอี้เงยหน้า
หลับตาส่งเสียงครางออกมา แต่แล้วภูตแพรแดงก็ส่งมือทั้งสองของนางเข้ามาโน้มคอมันลง
แล้วประกบปากของนางเข้าจุมพิตกับมัน นางส่งลิ้นของนางเข้ามาพัวพันกับลิ้นของมันอย่างดูดดื่ม
เฟยอี้โอบกอดภูตแพรแดง แล้วดันร่างของนางให้นอนลงกับพื้น มันก้มใบหน้าลงจะดูดกินเต้าถันของนาง
แต่แล้ว นางกลับผลักร่างของมันให้พลิกหงาย แล้วเป็นฝ่ายเข้าจู่โจมมันแทน ริมฝีปากของนางโลมเลียอยู่ที่
ทรวงอกของมัน
แต่แล้วมันก็ต้องถึงกลับปล่อยเสียงครวญครางออกมา เมื่อภูตแพรเหลืองใช้มือของนางลูบไล้พวงสวรรค์
ของมัน นางใช้ปากพรมจูบไปตามลำขา แล้วไล่สูงขึ้นจนใกล้กับพวงสวรรค์ แล้วมือของนางแปรเปลี่ยน
มาเป็นกำแก่นกายที่ชี้แข็งแล้วรูดขึ้นลงอย่างเชื่องช้า
เฟยอี้หลับตาพริ้มเผยอปากครางออกมาอย่างเป็นสุข มันถูกสองนางผู้งดงามจู่โจมมันทั้งส่วนบนและส่วนล่าง
ภูตแพรแดงส่งปลายลิ้นของนางโลมเลียดูดกินทรวงอกของมัน แล้วประกบปากจุมพิตอย่างดูดดื่มกับมันอีกครั้ง
ส่วนเบื้องล่าง บัดนี้ภูตแพรเหลืองใช้มือของนางรูดแก่นกายพลางใช้ปากของนางอมแก่นกายของมัน
จนสุดความยาว นางดูดกินแก่นกายของมันอย่างรุนแรง สลับกับใช้ลิ้นของนางตวัดไปมาที่ส่วนหัว
ของแก่นกายมัน
“ซี๊ดดดดดด……อูยยยยยยยยย…..ซี๊ดดดด…..”
เฟยอี้ส่งเสียงดังครางดังออกมา มันกัดฟันสะกดกลั้นไม่ให้ความสุขที่ได้รับพลุ่งพล่านมากเกินไป
จนต้องพ่ายแพ้แก่นาง มันยันกายลุกขึ้นดึงร่างของภูตแพรเหลืองที่กำลังโจมตีท่อนล่างของมัน
ให้ขึ้นมานั่งบนทรวงอกของมัน แล้วจู่โจมนางคืนนางด้วยการดึงสะโพกของภูตแพรเหลือง
ขึ้นมาจนชิดใบหน้าของมัน แล้วใช้ปากประกบเข้ากับเนินสวาทของภูตแพรเหลือง
ลิ้นของมันตวัดวนไปมาอย่างรวดเร็ว สลับกับใช้ปากดูดกินติ่งสวาทของนาง คราวนี้ภูตแพรเหลือง
เป็นฝ่ายส่งเสียงครวญครางออกมาบ้าง
“อ๊ายยยยยยยย….อ๊ายยยยยยยย……..อูยยยยยยยย….”
ภูตแพรแดง กลับเปลี่ยนตำแหน่งของนางลงมาที่ท่อนล่างของเฟยอี้ นางซุกใบหน้างามลงไป
โลมเลียพวงสวรรค์ของมัน ลิ้นของนางซุกไซ้ไปตามซอกหลืบจนทั่ว แล้ววกกลับมาที่ลำแก่นกาย
ที่แข็งชูชัน นางไล่ปลายลิ้นไปตามแนวความยาวของแก่นกาย แล้วตวัดปลายลิ้นของนางหยอกล้อกับ
ส่วนหัวของแก่นกายนั้น สร้างความเสียวซ่านให้เฟยอี้อย่างที่สุดจนมันต้องระบายออกมาด้วยการ
เพิ่มความเร็วของลิ้นที่ระรัวไปที่ติ่งสวาทของภูตแพรเหลืองแทน จนนางถึงกับใช้มือยันกับร่างของมัน
แล้วแอ่นเนินสวาทหนีปลายลิ้นที่ระรัวอย่างรุนแรงของมัน
“อ๊ายยยยยยยย..อ๊ายยยยยยยย…อ๊ายยยยยยย..อ๊ายยยยยยย…”
เฟยอี้จับสะโพกของนางตรึงไว้ แล้วยกศรีษะสอดปลายลิ้นแทงเข้าไปในโพรงสวาท
ของภูตแพรเหลือง แล้วชักศรีษะของมันเข้าออก ภูตแพรเหลืองเกร็งหน้าท้อง แอ่นร่างของ
นางไปเบื้องหลัง ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความรู้สึกเสียวซ่านที่แผ่พุ่งเข้ามาจนนางสุด
จะทานทน
ขณะที่เฟยอี้กำลังจัดการกับภูตแพรเหลืองจนใกล้จะได้ชัยอยู่นั้น พลันภูตแพรแดงก็กลับรุกหนัก
ด้วยการยกร่างของนางขึ้นนั่งคร่อมทับส่วนล่างของมัน แก่นกายของมันถูกเนินสวาทของนาง
กลืนกินจนมิด แล้วนางก็เริ่มขยับร่างดุจดั่งกำลังควบอาชา กลีบสวาทของภูตแพรแดงบีบรัดและโยกคลึง
แก่นกายของมัน จนมันแทบมิอาจยับยั้งธารารักมิให้หลั่งไหลได้ มันจึงเร่งมือจัดการกับภูตแพรเหลือง
ด้วยไม้ตายของมัน มันตรงเข้าใช้ริมฝีปากขบติ่งสวาทของนางไว้ในปาก กดใบหน้าของมันลงบดบี้
กับเนินสวาทของนางอย่างแนบชิด แล้วดูดกินติ่งสวาทอย่างรุนแรงพลางส่ายใบหน้าของมันไปมา
คราวนี้ภูตแพรเหลืองร้องลั่นออกมาเสียงยาว ร่างของนางสั่นกระตุกไปทั้งร่าง
แล้วล้มเอนลงไปนอนระทวยอยู่เคียงข้างร่างของมัน
เฟยอี้จ้องมองดูภูตแพรแดงที่กำลังควบอาชาอยู่บนร่างของมันอย่างเพลิดเพลิน มันยันกายลุกขึ้น
โอบกอดร่างของนางเข้าแนบชิดกับทรวงอกมัน มันซุกไซ้ใบหน้าเข้าดอมดมใบหน้าของนางไปทุกอณู
พลางขยับส่วนล่างของมันเข้ากระแทกกระทั้น มันช่วงชิงจังหวะเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกคืนบ้าง แล้วมันก็เอนร่าง
ของนางให้นอนลง ยกเรียวขางามของนางข้างนึงวางบนไหล่ของมัน จนมองเห็นกลีบสวาทของนางเผยอกว้างออกมา
เฟยอี้ดันแก่นกายของมันเข้ากระแทกกระทั้น เนินสวาทของนางด้วยความเร็วที่กระชั้นถี่ จนนางปล่อยเสียงร้อง
ระบายความเสียวซ่านออกมาตามจังหวะการกระแทกกระทั้นของมัน
“โอ้ววววว…โอ้ววว..โอ้ววว..โอ้ววว..โอ้ววว..โอ้ววว…”
ขณะที่มันกำลังนั่งโยกร่างกระแทกกระทั้นไปที่ร่างของภูตแพรแดง ร่างเปลือยของภูตแพรขาว
และภูตแพรเขียวก็ปรากฏขึ้น พวกนางเดินชดช้อยอวดทรวดทรงที่งดงามของนาง มาขนาบข้าง
เฟยอี้ฝั่งละด้าน พวกนางลูบไล้และพรมจูบไปบนเรือนร่างของมันพร้อมกัน
เฟยอี้ถึงกับหนักใจ พวกนางถึงกับมีกำลังหนุนมาอีกสองนาง มันจึงต้องเร่งพิชิตศึกที่อยู่ต่อหน้ามัน
ให้เสร็จสิ้นไปโดยเร็ว มันจับขาของภูตแพรแดงแบะกว้างออก แล้วใช้มือยันร่างของมัน
ให้โน้มไปข้างหน้า แล้วขยับสะโพกของมันซอยถี่ไปที่เนินสวาทของภูตแพรแดง
อย่างรุนแรงและรวดเร็ว
ภูตแพรแดงครวญครางออกมา หายใจหอบถี่ ส่งเสียงคร่ำครวญคล้ายว่าจะขาดใจ
“โอ๊ยย..โอ๊ยย..โอ๊ยย..โอ๊ยย..โอ๊ยย..โอ๊ยย..”
ความเสียวซ่านแผ่เข้ามาในร่างของภูตแพรแดงจนถึงจุดที่สุดแห่งมัน ภูตแพรแดง
แอ่นเนินสวาทของนางค้างนิ่ง ตอดรัดแก่นกายของเฟยอี้ที่ฝังตัวอยู่ในร่างของนาง
อย่างรุนแรง จนมันสุดจะทานทน ทำนบธารารักของมันก็พังทลายลง ไหลพรั่งพรูเข้าไปยัง
ร่างของนาง จนนางรู้สึกถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านเข้ามาภายในช่องท้อง
เฟยอี้มิทันจะได้พัก ภูตแพรเขียว และ ภูตแพรขาว ก็ผลักร่างของมันให้นอนลงอีกครั้ง
พวกนางพร้อมใจกันซบใบหน้าลงที่หว่างขาของมัน ภูตแพรขาวใช้ลิ้นโลมเลียมันที่พวงสวรรค์
ส่วนภูตแพรเขียว ก็กลืนกินแก่นกายของมันไว้ในปาก นางดูดกินน้ำรักของมันจนหมดสิ้น
แล้วรูดริมฝีปากของนางขึ้นลงกับแก่นกายของมัน
แม้มันจะพึ่งผ่านจุดสุขสมไปไม่นาน แต่ฤทธิ์ของยาเหมยฟ้ารัญจวนยังคงช่วยให้แก่นกายของมัน
กลับแข็งชี้ชูชันขึ้นมาอีกครั้ง มันยันกายขึ้นอีกครั้ง ดึงร่างของภูตแพรขาวให้ลุกขึ้นกางขาคร่อมร่าง
ของมัน ท่ายืนในลักษณะนี้มีผลให้เนินสวาทปรากฎขึ้นระดับเดียวกับใบหน้าของมัน
แล้วมันก็ใช้ลิ้นของมันโลมไล้ไปทั่วเนินสวาทของภูตแพรขาว นางสะดุ้งเฮือกขึ้นสุดตัว มือของนาง
คว้าจับเข้าที่ศรีษะของมัน แล้วยีไปมาจนยุ่งเหยิง ในขณะที่ภูตแพรเขียวก็รุกหนัก นางจับแก่นกาย
ของมันรูดเข้าออกอย่างรวดเร็ว พร้อมใช้ลิ้นตวัดไปมาที่ส่วนหัวของแก่นกายมัน สร้างความเสียวซ่าน
จนเฟยอี้ เกิดราคะพลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง มันขยับสะโพกให้แก่นกายของมันเข้าออกที่ปากของภูตแพรเขียว
ในที่สุดเพลิงราคะของมันก็ลุกโชติช่วงขึ้นอย่างรุนแรง มันยืนขึ้นโอบกอดร่างภูตแพรขาวจนแนบชิด
แล้วบดคลึงส่วนล่างของมันถูไถกับส่วนล่างของนาง พลางดันร่างของนางถอยหลังไปจนติดฝาห้อง
มันยกขาข้างหนึ่งของภูติแพรขาวคล้องแขนของมันไว้ แล้วดันแก่นกายของมันเข้าไปในโพรงสวาท
ที่เปิดอ้าออกจากการยกขาของมัน
“อ้าาาา…ซี๊ดดดดด………….”
ภูตแพรขาวส่งเสียงร้องอย่างเสียวซ่านออกมา มันขยับร่างเข้าออกไปที่ร่างของภูตแพรขาวอย่างรุนแรงกระชั้นถี่
“อ้าาาา…ซี๊ดดดดด..อ้าาาา…ซี๊ดดดดด…อ้าาาา…ซี๊ดดดดด.”
ภูตแพรเขียว นางลุกขึ้นตามมายืนคลอเคลียอยู่ไม่ห่างจากร่างของเฟยอี้ เฟยอี้หันไปประกบริมฝีปากกับนาง
แต่ส่วนล่างของมันยังคง บุกทะลวงร่างของภูตแพรขาวอย่างไม่หยุดยั้ง
เฟยอี้อัดแก่นกายของมันเข้าแนบชิด จนหัวหน่าวของมันเบียดมันชนกับเนินสวาทของภูตแพรขาว
แล้วบดคลึงแก่นกายให้หมุนคว้านไปมาอยู่ในโพรงสวาทของนาง
ก่อความเสียวซ่านให้บังเกิดกับนางจนถึงขีดสูงสุด
“โอ้วววววววว…………อ้าาาาาาา….”
ภูตแพรขาวพบความสุขในการร่วมรักกับเฟยอี้อีกครั้ง นางแย้มยิ้มออกมาแล้วทรุดกายลง
หอบหายใจระทวยอยู่ ณ.ที่นั้น
เฟยอี้หันมาจัดการกับภูตแพรเขียว ในลักษณะเดียวกัน มันจับร่างของนาง ดันจนชิดกับฝาห้อง
แล้วยกขานางขึ้นคล้องแขนของมันไว้ สอดแก่นกายของมันทิ่มแทงเข้าไปในร่างของนาง
แล้วขยับสะโพกของมันอย่างกระชั้นถี่
“อูยยยยยย…..ซี๊ดดดด…ซี๊ดด..ซี๊ดด..ซี๊ดด..ซี๊ดด.”
ภูตแพรเขียวเกิดความเสียวซ่านจนแทบจะทรงกายไว้ไม่ได้ ขาอีกข้างของนางอ่อนระทวยลง
เฟยอี้จึงจับขาอีกข้างของนางยกขึ้น แล้วคล้องขาทั้งสองนางเข้ากับเอวของมัน มันดันร่างของนาง
แนบชิดติดกับฝาห้อง ในท่านี้เนินสวาทของนางเบ่งบานออก และเป็นเป้านิ่งให้มันบุกทะลวง
ได้อย่างเต็มที่ มันคว้าจับบั้นเอวของนาง แล้วกระแทกแก่นกายเข้าไปในร่างของนางอย่าง
รุนแรงอีกครั้ง
“ซี๊ดดดด..อูยยยยยย………..ซี๊ดดดด….อูยยยยยยยย”
พลันเฟยอี้ก็รู้สึกตัวว่ากำลังจะหลั่งธารารักออกมาอีกครั้ง มันจึงชลอจังหวะทิ่มแทงนางลง
แล้วอุ้มร่างของนางให้เอนตัวนอนลงไปอย่างนิ่มนวล มันเลื่อนใบหน้าลงไปที่หว่างขาของนาง
โดยมุ่งหมายที่จะใช้ปากของมันช่วยให้นางสุขสม มันวางแผนที่จะปลดปล่อยน้ำรักของมัน
ในร่างของภูตแพรเหลือง มีนางเพียงผู้เดียวที่มันยังไม่ได้พรหมจรรย์ของนาง
เฟยอี้ใช้ปากและลิ้นของมันแทนแก่นกาย เข้าโจมตีภูตแพรเขียว จนนางแอ่นสะโพกหมุนไปมาตาม
จังหวะปากของมัน เมื่อมันเห็นว่า ภูตแพรเขียวเคลิบเคลิ้มจนสุกงอมแล้ว มันก็ตรงเข้าเม้มติ่งสวาทของ
นางแล้วบดบี้อยู่ครู่นึง มือของนางก็จิกลงบนศรีษะ เรียวขาของนางเหยียดเกร็งค้างนิ่ง แล้วผ่อนลมหายใจ
ออกมาอย่างผ่อนคลาย
เมื่อเฟยอี้ส่งภูตแพรเขียวขึ้นสวรรค์ไปอีกผู้หนึ่งแล้ว มันก็ตรงไปยังร่างของภูตแพรเหลือง
ที่กำลังนอนคว่ำหน้า อวดสะโพกผึ่งผายกลมกลึงของนางอยู่ที่พื้นห้องนั้น
เฟยอี้ตรงไปทอดร่างของมันลงทาบทับร่างของภูตแพรเหลือง ใบหน้าของมันซุกไซ้ไปตามลำคอของนาง
มันสอดมือเข้าไปเกาะกุมและบีบเค้นปทุมถันของนางทั้งสองข้าง ท่อนล่างของมันทาบทับอยู่กับสะโพกอันโด่งงอน
แล้วขยับขั้นลง
มันขยับร่างของมันให้แก่นกายตรงกับตำแหน่งของเนินสวาทของนาง ที่ย้อยออกมาทางด้านหลัง
ขาทั้งสองข้างของมัน ดันเรียวขาของนางเปิดอ้าออก แล้วขยับแก่นกายสอดใส่เข้าไปในโพรงสวาทของนาง
ภูตแพรเหลืองกระตุกร่างขึ้นเล็กน้อย เมื่อถูกเฟยอี้ทะลวงผ่านพรหมจารีของนาง นางรับรู้ถึงท่อนเอ็นที่แข็งเกร็ง
และคับแน่น กำลังเคลื่อนที่เข้าออกในโพรงสวาทของนาง มันทั้งเจ็บแปลบและซ่านเสียวจนชวนให้ลุ่มหลง
ยิ่งมันขยับแก่นกายของมันเร็วมากขึ้น ก็ยิ่งสร้างความเสียวซ่านให้บังเกิด จนอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงครวญครางออกมา
“ซี๊ดดดดดดด….ฮ่าาาาา…..ซี๊ดดดดดดดดดด”
มือของมันที่สอดเข้ามาเกาะกุมปทุมถัน ก็บดบี้คลึงเค้น ไม่หยุดมือ ปากของมันไล่ประกบจูบกับปากของนาง
พลางขยับท่อนล่างของมันไปพร้อมกัน
บทรักของทั้งคู่ดำเนินไปจนได้ระยะหนึ่ง เฟยอี้ก็ถึงจุดที่มันต้องการจะปลดปล่อยธารารักของมัน
มันยันร่างด้วยมือทั้งสอง แล้วขยับบั้นเอวกระแทกแก่นกายของมันเข้าไปในโพรงสวาทอย่างรุนแรง
และเร่งจังหวะจนกระชั้นถี่
คราวนี้ภูตแพรเหลืองถึงกับส่งเสียงดังออกมาไม่หยุด
“อู้ววว…อู้ววว..อู้ววว..อู้ววว..ซี๊ดดดดดดดดด…อู้ววว..”
และแล้วเฟยอี้ก็ส่งเสียงดังยาวออกมาบ้าง
“โอ้วววววววววววววววววววว”
มันส่งธารารักของมัน เข้าไปในร่างของนาง จนไหลย้อยเอ่อท้นออกมาจากร่องสวาทของนาง
แล้วฟุบร่างลงทาบทับร่างอันนุ่มนิ่มของนาง แล้วปิดตาลงอย่างสุขสม
หนึ่งบุรุษ กับ สตรีสี่นางในร่างเปลือยเปล่า นอนหลับไหลอยู่ในห้องลับนั้น จนเวลาผ่านไปสองชั่วยาม
บัดนี้ในร่างของเฟยอี้ได้รับพลังหยินเข้าไปสร้างสมดุลย์กับพลังหยางที่ขาดสมดุลย์จนก่อเกิดขุมพลังวัตร
ใหม่เพิ่มเติมขึ้นอีก ขุมพลังวัตรนั้นไหลพลุ่งพล่านไปตามส่วนต่างๆในร่างของมัน จนมันไม่สามารถหลับต่อไปได้
เฟยอี้ขยับร่างขึ้นนั่งยกฝ่ามือในระดับเอว ควบคุมพลังวัตรที่ไหลพลุ่งพล่านให้กลับไปรวมกันที่ช่องท้อง
แล้วทดลองโคจรพลังลมปราณใหม่ ให้เลื่อนไหลไปตามความต้องการของมัน ก็พบว่าลมปราณนั้นมีกำลังที่แกร่งกล้า
โคจรเคลื่อนไหวไปตามความต้องการ โดยไม่มีข้อจำกัด
มันลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า แล้วออกไปนอกห้องเพื่อทดสอบพลังปราณใหม่ที่เพิ่มเติมขึ้นมา
เฟยอี้ร่ายรำ ลมปราณภูตคำรามขั้นที่หนึ่ง ไปจนถึง ขั้นที่หก ก็พบว่าพลังของมันยังสามารถก้าวผ่านขั้นที่หกไปได้อีก
จึงทรุดกายลงนั่ง ทบทวนวิชาลมปราณภูตคำรามขั้นที่เจ็ด และขั้นที่แปด ตามคำสอนของ อ๋องลีลู่ปัง
โดยโคจรลมปราณไปรวมนิ่งที่จุดตันเถียน แล้วนิ่งสงบรวมจิตประสาททั้งหมดไว้ที่หน้าผาก
พลันพลังลมปราณที่หนุนเนื่องของมันก็ตรงเข้าทะลวงจุดตันเถียน จนเปิดจักระทั้งหกขึ้นอย่างแจ่มแจ้ง
เฟยอี้ลืมตาขึ้น รวบรวมพลังจักระทั้งหก มาที่ช่องท้อง เกร็งฝ่ามือเคลื่อนย้ายไปมาที่ทรวงอก
พลันพลังอันยิ่งใหญ่ก็หนุนเนื่องมารอที่ฝ่ามือรอการปลดปล่อย เฟยอี้เล็งเป้าหมายไปที่ต้นไม้ใหญ่ข้างหน้า
แล้วผลักฝ่ามือออกไปทันที พลันก่อเกิดสายพลังอันรุนแรงวิ่งแหวกอากาศพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
จนเกิดเสียงหวีดหวิวคล้ายดังภูตผีร่ำร้องอยู่เซ็งแซ่
สายพลังนั้นตรงเข้าทำลายต้นไม้ใหญ่พังทลายลงอย่างง่ายดาย ซ้ำยังทะลุผ่านไปยังหินใหญ่ที่อยู่เบื้อง
หลังต้นไม้นั้นแตกทำลายเป็นผุยผง
เฟยอี้บังเกิดความภาคภูมิใจในพลังฝีมือของตน บัดนี้มันสำเร็จวิชาลมปราณภูตคำรามขั้นที่แปดแล้ว
มันทะยานร่างของมันลอยล่องไปตามคบไม้พร้อมฟาดฝ่ามือซ้ายขวาสลับกัน สายพลังหลายสายพุ่ง
ออกมาจากฝ่ามือของมัน ตรงเข้าทำลายเป้าหมายที่มันต้องการ ต้นไม้ในบริเวณล้มพังทลายลง
อย่างราบคาบ
เฟยอี้ลดร่างลงสู่พื้น ยืนดูพลังทำลายล้างจากฝีมือของตนอยู่ครู่หนึ่งก็หันหลังกลับ
ก็พบเข้ากับ ภูตแพรทั้งสี่ พวกนางลอบยืนชมมันทดสอบพลังฝีมือนิ่งค้างอยู่
ภูตแพรขาวสบสายตากับมัน แล้วถามขึ้น
“นั่นคือลมปราณภูตคำรามใช่หรือไม่”
เฟยอี้ยิ้มให้นางแล้วตอบว่า
“ใช่แล้ว แพรขาว ข้าสำเร็จลมปราณภูตคำรามขั้นที่แปดแล้ว”
ภูตแพรขาวพยักหน้า ใบหน้าของนางเรียบเฉย
“ข้ายินดีกับเจ้าด้วย”
แล้วนางก็หันร่างกลับ ภูตแพรอีกสามนางก็หันร่างติดตามนางไป
แล้วนางพูดขึ้นว่า
“พวกเราออกเดินทางกันได้แล้ว”
เฟยอี้ ออกเดินติดตามพวกนางไปพลางครุ่นคิด เหตุใดพวกนางจึงไม่โกรธ
มัน หรือพูดถึงเหตุการณ์ในห้องลับนั้น