ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 17 เว่ยฉิงคัง บุรุษผู้หลงลำพอง

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 17 เว่ยฉิงคัง บุรุษผู้หลงลำพอง

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 17 เว่ยฉิงคัง บุรุษผู้หลงลำพอง
โดย zeech

ณ. กลางเมืองหลงอัน อันเป็นที่ตั้งของ สำนักทวนผดุงคุณธรรม ในวันนี้ คราคร่ำไปด้วยเหล่าชาวยุทธ
ที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศ เนื่องด้วยเป็นกำหนดนัดหมายที่ เว่ยฉิงคัง เชิญเหล่าชาวยุทธมาร่วมชุมนุม
ทุกโต๊ะในโรงเตี๊ยมล้วนถูกจับจองจนเต็ม บางโต๊ะร่ำสุรา พูดคุยโอ้อวดเรื่องราวที่ตนได้ไปพบประสบมา
บ้างก็ทักทายกล่าวคารวะต่อกัน แต่ไม่มีโต๊ะใดไม่กล่าวถึงเรื่องราวของ เว่ยฉิงคัง บ้างก็ทำนายชะตากรรม
ของมันว่าจะเป็นเช่นไร หากลัทธิเบญจธาตุทราบเรื่องราวและส่งคนเข้ามาสยบมัน บ้างก็ว่า มันมีวรยุทธสูงส่ง
น่าที่จะต่อกรกับลัทธิเบญจธาตุได้ บ้างก็หัวเราะอย่างขบขัน ในความไม่เจียมตนของมัน แต่ทุกผู้คน
ที่เดินทางมาก็ล้วนกลัวเกรงว่า จะมีชะตากรรมเช่นเดียวกับ เอี๊ยงตี้เก่ง หากไม่มาตามเทียบเชิญของมัน

ครั้นถึงกำหนดเวลานัดหมาย เหล่าชาวยุทธและสำนักยุทธน้อยใหญ่ที่ได้รับเทียบเชิญ ก็หลั่งไหลเข้ามา
ยังสำนักทวนผดุงคุณธรรมอย่างล้นหลาม สร้างความลำพองใจให้กับเว่ยฉิงคังเป็นอย่างมาก
จนหันมาเอ่ยขึ้นกับพ่อบ้านตู้ ขณะยืนมองดูเหล่าชาวยุทธที่กำลังเดินทางเข้ามายังสำนักของตน

“พ่อบ้านตู้ ท่านเห็นหรือไม่ สำนักทวนผดุงคุณธรรมของเราได้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งแล้ว”

พ่อบ้านตู้ มองไปยังเหล่าชาวยุทธด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

“ข้าเห็นแล้ว นายน้อย”

“ท่านไม่ยินดีเลยรึ ที่สำนักของเราเป็นที่ยอมรับจากเหล่าชาวยุทธอีกครั้งแล้ว”

พ่อบ้านตู้ ทอดถอนใจ แล้วกล่าวว่า

“ในครั้งที่นายท่านยังมีชีวิตอยู่ เหล่าชาวยุทธทั้งหลาย ล้วนรักใคร่และให้การยอมรับนับถือ
ในตัวนายท่านอย่างจริงใจ เนื่องเพราะว่า นายท่านเป็นผู้ที่มีน้ำใจกว้างขวางต่อมิตร มีคุณธรรมสูงส่ง
แต่ในครั้งนี้ เหล่าชาวยุทธที่พร้อมใจกันเข้ามายังสำนักของเรา ก็เพราะเกรงกลัวในอำนาจของท่าน
หากวันใดที่ท่านเพลี่ยงพล้ำ คนเหล่านี้ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นศัตรูของท่านโดยทันที เมื่อเป็นเช่นนี้
จะมีอันใดน่ายินดีเล่า”

เว่ยฉิงคังได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก กล่าวออกมาว่า

“แล้วท่านเห็นหรือไม่เล่า ว่าก่อนหน้านี้พวกมันปฏิบัติเช่นไรกับเรา
หากท่านไม่เห็นด้วยกับวิธีของข้า จากนี้ไปท่านก็ไม่ต้องเข้ามาให้ข้าเห็นหน้าท่านอีก”

สิ้นคำ เว่ยฉิงคังก็เดินออกไปยังห้องโถงใหญ่ ที่มีเหล่าชาวยุทธเข้ามาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นั้น

ทันทีที่ร่างของมันปรากฎขึ้นบนปรัมพิธี เหล่าชาวยุทธที่มาชุมนุมกัน ณ ที่นั้นก็เงียบเสียงลง
มันทอดสายตาลงมองไปยังเหล่าชาวยุทธเหล่านั้น แล้วยกมือทั้งสองขึ้นคารวะ กล่าวถ้อยคำด้วยเสียงอันดังว่า

“ข้า..เว่ยฉิงคัง ขอคารวะต่อชาวยุทธทั้งหลายที่มาชุมนุมกันอยู่ ณ ที่นี้ ”

มันนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวต่อว่า

“เหตุผลที่ข้าเชิญพวกท่านมาชุมนุมกันในวันนี้ มีอยู่ สองประการ

ประการแรก ข้าขอแจ้งให้พวกท่านทราบว่า ข้า เว่ยฉิงคัง ได้ก่อตั้ง สำนักทวนผดุงคุณธรรม ขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง
โดยมีข้าเป็นประมุข”

เว่บฉิงคัง มีสีหน้าเคร่งขรึม นิ่งมองไปยังเหล่าชาวยุทธ ช่วงเวลาเงียบงันบังเกิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีเสียงชาวยุทธผู้หนึ่ง
เปล่งเสียงออกมา

“ขอแสดงความยินดี กับ ท่านประมุข สำนักทวนผดุงคุณธรรม”

ชาวยุทธทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น ก็กล่าวออกมาพร้อมกัน จนเสียงกระหึ่มดังไปทั่วบริเวณ

“ขอแสดงความยินดี กับ ท่านประมุข สำนักทวนผดุงคุณธรรม”

“ขอแสดงความยินดี กับ ท่านประมุข สำนักทวนผดุงคุณธรรม”

“ขอแสดงความยินดี กับ ท่านประมุข สำนักทวนผดุงคุณธรรม”

เว่ยฉิงคัง ยิ้มแย้ม แล้วกระทำคารวะกล่าวขอบคุณ แล้วกล่าวต่อว่า

“ประการที่สอง พวกเราเหล่าชาวยุทธจงหยวน มีเกียรติภูมิมาอย่างยาวนาน แต่มาบัดนี้ ลัทธิเบญจธาตุ
กำเริบเสิบสาน ระรานเราเหล่าชาวยุทธจงหยวน เข่นฆ่าพี่น้องเราล้มตายลงมากมาย ข้า เว่ยฉิงคัง ไม่สามารถ
ทนดูได้อีกต่อไป จึงได้เชิญเหล่าท่านมาชุมนุมพร้อมกันในวันนี้ ข้าเห็นว่า เราสมควรมีผู้นำรวบรวมกำลังเหล่าชาวยุทธ
ขับไล่ลัทธิเบญจธาตุให้ออกไปจากจากดินแดนจงหยวนของพวกเรา ข้า เว่ยฉิงคัง แม้รู้ตัวว่า ฝีมือต่ำต้อย แต่ขอทุ่มเท
เสนอตัวเป็นผู้นำ พวกท่านเห็นเป็นประการใด”

สิ้นคำของ เว่ยฉิงคัง สภาพในห้องโถงใหญ่ก็บังเกิดความเงียบงันขึ้นอีกครั้ง

เว่ยฉิงคัง ทอดสายตาไปยังเหล่าชาวยุทธที่มาชุมนุมพร้อมกันอยู่ในห้องโถงที่เงียบงัน
พลันก็ปรากฏเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้นมาว่า

“หากรู้ตัวว่ามีฝีมือต่ำต้อย ใยจึงมิเจียมตัว เสนอหน้ามาด้วยเหตุอันใด มันจะมิเป็นที่ขบขันต่อเหล่าชาวยุทธรึ”

เว่ยฉิงคัง เหลือบตามองไปยังที่มาของเสียงนั้นด้วยท่าทีที่สงบ เห็นเป็นชายในวัยห้าสิบเศษ ร่างผอมสูง
แต่งกายในชุดคลุมยาวสีฟ้า ลักษณะคล้ายดัง เต้าหยิน จึงร้องถามขึ้นว่า

“ท่านผู้นี้มีนามสูงส่งอันใด ขออภัยที่ข้าหลงลืม มิได้ส่งเทียบเชิญไปแต่แรก”

“เฮอะ… ตัวข้าท่องยุทธจักรตั้งแต่เจ้ายังดูดนมจากถันมารดา เด็กน้อยเช่นเจ้ามีขวัญกล้าอันใด
คิดจะเป็นผู้นำชาวยุทธ ข้า ไป๋ลี่ท้ง เห็นว่าเจ้าไม่เหมาะสม”

เว่ยฉิงคังได้ยินเช่นนั้น ก็แย้มยิ้มพลางพูดขึ้นว่า

“ที่แท้ ท่านก็คือ กระบี่ไร้เงา เต้าหยินไป๋ลี่ท้ง ที่โด่งดังเมื่อกาลก่อน มิทราบว่า ตามความคิดของท่านเห็นว่า
ผู้ใดเหมาะสม”

“ผู้ใดก็เหมาะสมกว่าเจ้าทั้งนั้น ในที่นี้มีชาวยุทธผู้มีชื่อเสียงอยู่มากหลาย ให้เหล่าชาวยุทธในที่นี้ได้คัดเลือกขึ้นมา
แล้วลงความเห็นร่วมกัน หรือว่าพวกท่านเห็นเป็นประการใด”

“ฮ่า ๆๆ ที่แท้ ท่านเต้าหยินไป๋ ก็ต้องการจะเป็นผู้นำชาวยุทธโดยมิลงแรง
นับถือ นับถือ ขอถามท่าน ก่อนหน้านี้ ท่านไปหลบอยู่ที่ใด ข้าได้ทราบมาว่า ท่านรักตัวกลัวตาย
เข้าสวามิภักดิ์ต่อลัทธิเบญจธาตุแล้ว จริงหรือไม่

เฮอะ ..ข้าชิงชังผู้ที่มีชื่อเสียงจอมปลอมเช่นท่านนัก”

ไป๋ลี่ท้ง ได้ยินเช่นนั้นก็โกรธจัด ตวาดด้วยเสียงอันดัง แล้วทะยานร่างขึ้นไปบนปรัมพิธี

“เช่นนั้น ทดลองลิ้มรสกระบี่ของข้าดูว่า จอมปลอมหรือไม่”

ไป๋ลี่ท้ง กวัดแกว่งกระบี่ ขณะที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศ พุ่งตรงมายังร่างของเว่ยฉิงคัง
แล้วแทงกระบี่พุ่งแหวกอากาศออกไป

เว่ยฉิงคัง เอนร่างหลบกระบี่ที่พุ่งตรงเข้ามา แล้วสลับเท้าเลื่อนไปข้างหลัง คล้ายดังว่าร่างของมันลอยขึ้นจากพื้น หนีห่างคมกระบี่
ของ ไป๋ลี่ท้ง ไปอย่างง่ายดาย

ไป๋ลี่ท้ง ร่อนร่างลงสู่พื้น เสือกกระบี่ทิ่มแทงไปที่ใบหน้าของเว่ยฉิงคังอีกหลายครั้ง ด้วยท่าร่างที่รวดเร็ว
จนผู้คนที่เฝ้ามองดูต่างตกตะลึง กระบี่ของมันรวดเร็วยิ่ง จนมองไม่เห็นเงากระบี่ที่ทิ่มแทงอยู่นั้น

เว่ยฉิงคัง เบี่ยงใบหน้า พริ้วกายหลบหลีก ด้วยความรวดเร็วดุจเดียวกัน แม้ ไป๋ลี่ท้ง ร่ายรำเพลงกระบี่
อันร้ายกาจของมันผ่านไปหลายสิบกระบวนท่า แต่ก็ไม่อาจทิ่มแทงคมกระบี่สัมผัสร่างของเว่ยฉิงคังได้เลย

ในที่สุด ไป๋ลี่ท้ง ก้าวเท้าเสือกกระบี่ออกไปหมายแทงเข้าที่ขั้วหัวใจของ เว่ยฉิงคัง ครั้งนี้มันกลับไม่หลบหลีก
หากแต่ใช้นิ้วมือทั้งสองของมัน หนีบกระบี่ของ ไป๋ลี่ท้ง ไว้ด้วยกำลังภายในอันแข็งกล้า

ไป๋ลี่ท้ง รู้สึกถึงพลังลมปราณอันเย็นเยียบแผ่ซ่านเข้ามาจากปลายกระบี่เข้าสู่มือมัน มันจึงเกร็งพลังลมปราณ
เข้าต่อต้าน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีขุมพลังใหญ่ขุมหนึ่ง เคลื่อนเข้ามาจากปลายกระบี่อย่างรวดเร็ว
แล้วกระแทกร่างของมันจนลอยกระเด็นออกไปหลายวา พร้อมกับเศษกระบี่ที่หักสะบั้นออกเป็นหลายส่วน

เว่ยฉิงคัง เดินเชื่องช้าตรงไปหา ไป๋ลี่ท้ง ที่พยายามยันร่างลุกขึ้น

“เพลงกระบี่ไร้เงาของเจ้า มีเพียงเท่านี้เองรึ เฮอะ… กระบี่เศษสวะ”

สิ้นคำมันก็ฟาดหลังมือ เข้าที่ใบหน้าของ ไป๋ลี่ท้ง ที่กำลังยันกายลุกขึ้น จนร่างลอยกระเด็นลอยออกไป
หล่นลงที่พื้นห่างออกไปจากปรัมพิธี ไป๋ลี่ท้งนอนแน่นิ่งอยู่ ณ ที่นั้น

เว่ยฉิงคัง เดินกลับมายังปรัมพิธี นื่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงอันดังออกมาว่า

“มีผู้ใด เสนอตัวเป็นผู้นำชาวยุทธ นอกจากข้าอีกหรือไม่”

เหล่าชาวยุทธที่ชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้น ตกตะลึงกับพลังฝีมือของ เว่ยฉิงคัง ที่สามารถสยบ ไป๋ลี่ท้ง
ลงอย่างง่ายดาย ต่างเพ่งมองมาที่ เว่ยฉิงคัง นิ่งอยู่ จนมีผู้หนึ่ง กล่าวนำออกมา

“ข้า สนับสนุน จอมยุทธเว่ย เป็นผู้นำชาวยุทธ”

ที่ชุมนุมชาวยุทธได้ยินเช่นนั้น ก็กล่าวออกมาพร้อมกัน

“ให้จอมยุทธเว่ย เป็นผู้นำชาวยุทธ”

“ให้จอมยุทธเว่ย เป็นผู้นำชาวยุทธ”

“ให้จอมยุทธเว่ย เป็นผู้นำชาวยุทธ”

เว่ยฉิงคัง ยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัย แล้วกล่าวออกมาว่า

“เช่นนั้น ข้า เว่ยฉิงคัง ขอน้อมรับตำแหน่งผู้นำชาวยุทธไว้”

มันกระทำคารวะต่อเหล่าชาวยุทธ แล้วกล่าวต่อว่า

“ในฐานะผู้นำชาวยุทธ ขอประกาศให้พวกท่านทราบว่า จากนี้ไป พวกเราเหล่าชาวยุทธจงหยวน
จะไม่ยอมก้มหัวให้กับคนของลัทธิเบญจธาตุ อีกต่อไป”

เหล่าชาวยุทธในที่นั้นต่างส่งเสียงโห่ร้องอย่างพร้อมเพรียงกัน

เว่ยฉิงคังก็กล่าวต่อไปอีกว่า

“ข้าวางแผนที่จะบุกวังของ ลัทธิเบญจธาตุ ในวันเพ็ญ เดือนเก้า นี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงมา
พร้อมเพรียงกัน ณ ที่สำนักของข้า พวกเราจะระดมกำลังขับไล่พวกมันให้ออกไปจากจงหยวนให้จงได้”

สิ้นคำของเว่ยฉิงคัง เหล่าชาวยุทธต่างเงียบเสียงลง แล้วพูดคุยพรึมพรำต่อกัน คล้ายไม่เห็นด้วย
เนื่องด้วยชาวยุทธเหล่านี้ ยังมีความกลัวเกรงต่อ ลัทธิเบญจธาตุเป็นอย่างมาก ทั้งยังไม่มั่นใจว่า
พลังฝีมือของเว่ยฉิงคัง และกำลังฝ่ายตนจะเพียงพอที่จะสยบเหล่าลัทธิเบญจธาตุลงได้

ทันใดก็เกิดความชุลมุนขึ้นอยู่ทางเบื้องหลังของกลุ่มชาวยุทธ มีชาวยุทธผู้หนึ่งวิ่งมายังมายังปรัมพิธี

“คนของลัทธิเบญจธาตุ บุกเข้ามา คนของลัทธิเบญจธาตุ บุกเข้ามาแล้ว”

เหล่าชาวยุทธได้ยินเช่นนั้นก็วิ่งหนี แตกกระจายออกไปอย่างอลหม่าน ต่างส่งเสียงร้องบอก
ต่อๆกันมาอย่างตื่นกลัว

เสียงฝีเท้าม้านับสิบตัว ดังใกล้เข้ามา เว่ยฉิงคังเดินออกไปดู ก็พบกองกำลังเคลื่อนที่เร็ว
ของเหล่าบริวารของลัทธิเบญจธาตุ กำลังควบม้าใกล้เข้ามา มันจึงเดินออกไปบริเวณลานหน้าสำนัก
แล้วหยุดรอ อยู่ ณ ที่นั้น

ครั้นระยะใกล้เข้ามาจนเห็นลักษณะผู้ที่ควบม้าเข้ามาได้ชัดเจน ว่าเป็นคนของลัทธิเบญจธาตุแน่แท้แล้ว
เว่ยฉิงคังก็กลับมีดวงตาที่อำมหิตขึ้น มันเกร็งฝ่ามือทั้งสองขึ้นมาที่ทรวงอก แล้วเร่งเร้าลมปราณจากจุดตังชั้ง
ขึ้นมาไหลเวียนอยู่ที่ทรวงอกของมัน จนบังเกิดขุมพลังลมปราณสะสมอยู่ที่แขนทั้งสอง พลังลมปราณอันเย็น
เยียบแผ่ซ่านออกมาจากร่างของมันจนผู้ที่อยู่ใกล้สามารถสัมผัสได้

เว่ยฉิงคังร่ายรำ กระบวนท่า ไม้ตายท่าหนึ่งในคัมภีร์ลมปราณพรากวิญญาณ มีชื่อว่า ฝ่ามือวิญญาณคร่ำครวญ
พลันสภาวะรอบตัวมัน บังเกิดลมกระโชกแรงตามการท่าร่ายรำของฝ่ามือ ครั้นเมื่อเมื่อพลังลมปราณสะสม
ถึงขีดสุด เว่ยฉิงคังก็ผลักฝ่ามือทั้งสองของมันออกไปพร้อมกัน

บังเกิดกลุ่มพลังขนาดใหญ่พุ่งแหวกอากาศจากฝ่ามือทั้งสองของมัน พร้อมกระแสลมแรงคล้ายดั่งพายุ พุ่งตรงไปยัง
กองกำลังของลัทธิเบญจธาตุที่กำลังข้ามเขตเข้ามายังบริเวณสำนัก กลุ่มพลังนั้นพุ่งตรงเข้ากระแทกทำลายกองกำลังนั้น
จนแตกกระจาย เกิดฝุ่นผงตลบไปทั่วบริเวณ บดบังสภาพของสถานที่นั้นอยู่ครู่หนึ่ง

เมื่อฝุ่นผงสลายตัวจางลง ทุกคนในที่นั้นก็มองเห็นภาพอันน่าหวาดหวั่นปรากฎอยู่เบื้องหน้า
ม้าและคนของเหล่าลัทธิเบญจธาตุ นอนโลหิตทะลักออกมาจากปากตายจนหมดสิ้น

เหล่าชาวยุทธที่พากันหนีคนของลัทธิเบญจธาตุอยู่เมื่อครู่ เมื่อเห็นเหตุการณ์เงียบสงบ ต่างก็ทะยอยกลับมาดูเหตุการณ์
ครั้นเห็นสภาพศพของเหล่าลัทธิเบญจธาตุเป็นเช่นนั้น ก็เกิดความยินดี และเกรงกลัว เว่ยฉิงคัง เพิ่มขึ้น ต่างบังเกิด
ความเชื่อมั่นว่า เว่ยฉิงคัง จะสามารถนำพาชาวยุทธขับไล่ ลัทธิเบญจธาตุสำเร็จลงได้
แล้วเปล่งเสียงร้องขึ้นพร้อมกัน ณ ที่นั้น

“สนับสนุนจอมยุทธเว่ย ขับไล่เบญจธาตุ”

“สนับสนุนจอมยุทธเว่ย ขับไล่เบญจธาตุ”

“สนับสนุนจอมยุทธเว่ย ขับไล่เบญจธาตุ”

ในช่วงเย็นของวันนั้น เว่ยฉิงคัง ได้จัดให้มีงานเลี้ยงเหล่าชาวยุทธขึ่นที่สำนักของตน ตัวมันเองก็ร่ำสุราจนเมามาย
ด้วยความปลื้มปิติในความสำเร็จของตน ช่วงหนึ่งมันก็รำลึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเรียกคนสนิทมาสั่งความ

“เจ้าจงไปดูว่า ในบรรดาเหล่าชาวยุทธ มีคนของสำนักมังกรเขียวมาร่วมงานหรือไม่”

มันสั่งความได้เพียงครู่ คนสนิทผู้นั้นก็กลับมารายงานว่า

“นายท่าน สำนักมังกรเขียว ส่งแม่นางชุ่ยเหลียนมาร่วมชุมนุมแทนประมุข ขอรับ”

เว่ยฉิงคัง มีดวงตาแดงกล่ำด้วยความมึนเมา

“เชิญนางไปพบข้าที่ห้อง”

เว่ยฉิงคังแยกตัวจากเหล่าชาวยุทธ มาที่ห้องของตนได้ครู่ใหญ่ ก็มีเสียงเรียกจากคนสนิทดังขึ้น

“นายท่าน แม่นางชุ่ยเหลียนมาแล้วขอรับ”

“เชิญนางเข้ามา”

ชุ่ยเหลียน ในอาภรณ์สีทองคาดแดง ใบหน้าของนางเรียบเฉย เดินเข้ามาในห้องแล้วหยุดยืน
มองไปที่ เว่ยฉิงคังที่ยืนหันหลังอยู่ หลังจากคนสนิทผู้นั้นเดินจากไปแล้ว นางก็พูดขึ้นว่า

“ท่านเรียกข้ามา มีสิ่งใด”

เว่ยฉิงคังหันใบหน้ากลับมา เพ่งมองไปที่ใบหน้าของนาง แล้วทอดสายตาลงต่ำ
จ้องมองเรือนร่างของนางอย่างเปิดเผย

“ชุ่ยเหลียน เจ้าช่างงามนัก”

ชุยเหลียน มีสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ

“รักษามารยาทของท่านด้วย ท่านผู้นำชาวยุทธ”

“สามีของเจ้า เป็นอย่างไรบ้าง”

“ท่านจะไถ่ถามด้วยเหตุอันใดอีก ท่านทำร้ายสามีข้า จนถึงตอนนี้….”

ชุ่ยเหลียนกลั้นความเสียใจเอาไว้ ส่งเสียงสะอื้นอยู่ ณ ที่นั้น

เว่ยฉิงคัง เห็นเช่นนั้น ก็ยื่นมือไปจับที่ไหล่ของ ชุ่ยเหลียน คล้ายจะปลอบประโลม
แต่ชุ่ยเหลียนก็สะบัดร่างออกมา

“ในตอนแรก ข้าเองก็ไม่คิดที่จะทำร้ายมัน หากมันมีมารยาทต่อข้าบ้าง เรื่องราวเช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น”

“ท่านเรียกข้ามา มีสิ่งใดก็เร่งกล่าวออกมาซะ พร่ำเพ้อไร้สาระอยู่ไย”

เว่ยฉิงคังหันหลัง เดินจากนางไปสองสามก้าว แล้วพูดขึ้นว่า

“สามีของเจ้าถูกพลังเย็นเยียบของข้าแทรกผ่านชีพจร ต้องใช้เวลาไม่น้อยจึงจะฟื้นคืนกลับมา
เป็นปกติ หรือไม่ก็…”

“หรือว่า อันใด”

“หากกำลังภายในมันไม่กล้าแข็งพอ ข้าเกรงว่า..อาจต้องทนทุกข์ทรมานจนตาย หากไม่ได้รับการ
ช่วยเหลือ”

ชุ่ยเหลียน เบิกตากว้างด้วยความตกใจ สืบเท้าเข้าหามันโดยเร็ว

“ท่าน..ท่านมีวิธีช่วยเหลือสามีข้า ใช่หรือไม่ ”

เว่ยฉิงคัง พยักหน้าแทนคำตอบ แล้วแย้มยิ้มออกมา

“คงต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หากว่าคืนนี้เจ้ายอมเป็นของข้า วันรุ่งขึ้นข้าให้สัญญาว่า
จะเดินทางไปพร้อมกับเจ้า แก้ไขให้มันกลับมาเป็นปกติทันที”

ชุ่ยเหลียนได้ยินเช่น ก็บังเกิดความโกรธแค้นพุ่งขึ้นถึงขีดสุด หวดฝ่ามือเข้าใส่ใบหน้า
ของเว่ยฉิงคังอย่างสุดแรง

เว่ยฉิงคัง ยกมือคว้าจับข้อมือนางเอาไว้ แล้วเพ่งมองใบหน้าของนาง พลางส่งสายตา
อย่างวาบหวาม

“เจ้า..เจ้ามันสารเลว ชั่วช้า ต่ำทรามยิ่งนัก วันนี้ข้าขอแลกชีวิตกับเจ้า”

สิ้นคำ ชุ่ยเหลียนก็ใช้มืออีกข้าง ชักมีดสั้นที่ซุ่มซ่อนไว้ ทิ่มแทงใส่ร่างของ เว่ยฉิงคัง
อย่างรวดเร็ว

เว่ยฉิงคังคล้ายกับคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ใช้สองนิ้วของมันคีบคมมีดสั้นเอาไว้ แล้วส่งกำลัง
กระแทกกลับจนมีดสั้นนั้นหักลง ร่างของชุ่ยเหลียนถลาออกไปจนล้มลงที่หน้าประตูห้องนั้น

“เจ้าไสหัวไป ข้าไม่ชมชอบฝืนใจผู้ใด เมื่อไม่ต้องการให้ข้าช่วย ก็กลับไปเฝ้าดูความตาย
ของสามีเจ้าซะ”

ชุ่ยเหลียนยันกายลุกขึ้น เพ่งมองหน้ามัน แล้วสะบัดใบหน้าหันกลับ เดินออกไปจากห้อง
นั้นอย่างรวดเร็ว

ชุ่ยเหลียน และเหล่าบริวารของสำนักมังกรเขียว เดินทางออกจาก สำนักทวนผดุงคุณธรรม
ในเย็นวันนั้น

ในระหว่างการเดินทาง นางก้าวเท้าเดินอย่างเลื่อนลอย ภาพของ เอี๊ยงตี้เก่ง
นอนร้องคร่ำครวญอย่างทุกข์ทรมาน ปรากฏอยู่ในห้วงความคิดของนางตลอดการเดินทาง
น้ำตาของนางหลั่งไหลออกมาด้วยความสงสารสามี นางวิตกกังวลเกรงว่า สามีของนางจะสิ้นใจลง
ตามคำของเว่ยฉิงคัง นางใคร่ครวญหาหนทางแก้ไข ก็มิเห็นหนทางใดจะช่วยสามีของนางได้

เหล่าบริวารที่เดินทางมาด้วยกัน สังเกตุเห็นความผิดปกติของนายตน จึงพูดขึ้นว่า
“นายหญิง เป็นเช่นไรบ้าง เหตุใดท่านจึงร้องไห้”

ชุ่ยเหลียน หยุดฝีเท้าลง แล้วกล่าวขึ้นว่า

“พวกเจ้า กลับไปยังสำนักก่อน ข้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องสะสาง เมื่อเสร็จสิ้นจะตามพวกเจ้าไป”

“ให้ข้าไปกับท่านด้วยจะได้หรือไม่ หากมีเหตุอันใดจะได้ช่วยนายหญิงอีกแรง”

“ไม่ต้อง พวกเจ้าเร่งเดินทางไป ไม่ต้องกังวลเรื่องของข้า”

สิ้นคำ ชุ่ยเหลียนก็หันหลัง เร่งฝีเท้าเดินกลับไปยังสำนักทวนผดุงคุณธรรมทันที

———————-

ที่สำนัก ทวนผดุงคุณธรรม ครั้นเวลาล่วงเข้าสู่ราตรีกาล ความเงียบสงบก็กลับมาเยือน
เหมือนเช่นที่เคยเป็นตามปกติ งานเลี้ยงที่จัดขึ้นได้เลิกลาไป เหล่าชาวยุทธที่มาร่วมชุมนุม
ต่างก็ทะยอยกันกลับจนสิ้น

เว่ยฉิงคัง นั่งดื่มสุราอย่างเมามายอยู่เพียงผู้เดียว ในยามนี้หัวใจของมันรู้สึกฮึกเหิมลำพองนัก
เป้าหมายที่จะบุกทำลายเหล่า ลัทธิเบญจธาตุใกล้จะเป็นความจริงตามที่มันหวังไว้แล้ว

ทันใดนั้น เสียงบริวารคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าห้องของมัน

“นายท่าน แม่นางชุ่ยเหลียนมาขอพบ ขอรับ”

ดวงตาของมันแดงกล่ำด้วยฤทธิ์สุรา แย้มยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ

“ให้นางเข้ามา”

ชุ่ยเหลียนเดินเข้ามาในห้อง แล้วยืนนิ่งอยู่ รอจนบริวารผู้นั้นออกไปแล้ว นางก็พูดขึ้นว่า

“ท่านจะรักษาสามีข้า ให้เป็นปกติดังเดิม ได้จริงหรือไม่”

เว่ยฉิงคัง ยกจอกสุราขึ้นดื่ม แล้วกล่าวตอบว่า

“ข้าย่อมทำได้ หากเจ้า….”

มันเดินเข้ามาประชิดร่างของนาง แล้วใช้ฝ่ามือลูบไล้พวงแก้มผุดผ่องอยู่ไปมา

“เจ้าชมชอบเจ้านัก ชุ่ยเหลียน ”

ชุ่ยเหลียนหลับตาลง แล้วกล่าวออกมาอย่างยากเย็น

“ข้ายินยอมทุกอย่าง หากเจ้ารับปากว่าจะรักษาอาการของสามีข้า”

เว่ยฉิงคัง เปล่งเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจ เชยคางของนางขึ้น แล้วจ้องมองด้วยสายตาหยาดเยิ้ม

“ฮ่าๆๆ ข้ารับปากเจ้า ข้ารับปากเจ้า”

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

แล้วมันก็ยื่นใบหน้าไปจุมพิตที่พวงแก้มของนาง ชุ่ยเหลียนหลับตาลงข่มความรังเกียจไว้ภายใน
มันจรดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง คราวนี้มันจุมพิตลงที่ริมฝีปากของนาง แล้วบดบี้ลงอย่างแนบแน่น

ชุ่ยเหลียนปิดริมฝีปากไว้อย่างสุดกำลัง นางทั้งเกลียดและขยะแขยงมัน แต่เว่ยฉิงคังกลับดันลิ้นของมัน
ออกมา โลมเลียไปทั่วริมฝีปากของนาง

และแล้วมันก็ใช้มือข้างนึง บีบปากของนางให้อ้าออก แล้วสอดลิ้นของมันลงไปทันที

ลิ้นของมัน กวาดไปมาแล้วเข้าพัวพันกับลิ้นของนาง แม้นางพยายามขัดขืนด้วยความขยะแขยง
แต่ก็ไม่สามารถถดถอยปากของนางให้ห่างออกมาได้ เว่ยฉิงคังกำลังมึนเมา ครั้นได้เริ่มเชยชมสตรีงาม
ก็ก่อเกิดกำหนัดขึ้นอย่างมาก จนเกินระงับ มันเงยหน้าออกจากริมฝีปากของนาง แล้วกระชากเสื้อ
ของนางออกอย่างรุนแรง

เสื้อของนางแบะออก ขาดติดมือมันออกมาซีกหนึ่ง มองเห็นเอี๊ยมสีแดงที่ปิดกั้นปทุมถันของนางไว้ เพียงชั้นเดียว
ชุ่ยเหลียน ไม่คาดคิดว่ามันจะกระทำรุนแรงเช่นนี้ นางทั้งตื่นตกใจและอับอาย ยกมือทั้งสองขึ้นปิดบังทรวงอกไว้

เว่ยฉิงคังจ้องมองทรวงอกของนาง แล้วย่างเท้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันออกแรงผลักร่างของนางอย่างแรง
จนร่างของนาง เซถลาล้มลงไปนอนบนเตียงที่วางอยู่เบื้องหลัง

ยังมิทันที่ชุ่ยเหลียนจะได้ตั้งตัว ร่างของเว่ยฉิงคัง ก็ทาบทับลงมาที่เตียงเช่นเดียวกัน มันซุกไซ้ใบหน้า
แล้วเลื่อนไปตามลำคออย่างหื่นกระหาย มันพยายยามซุกไซ้ริมฝีปากของมันล่วงล้ำมาที่ทรวงอกของนาง

ชุ่ยเหลียนยกมือปกปิดทรวงอกของนางไว้อย่างแนบแน่น นางเบือนหน้าหนี การซุกไซ้ของเว่ยฉิงคังอย่างฝืนความรู้สึก

และแล้ว ชุ่ยเหลียนก็รู้สึกว่านางได้ผิดพลาดไปแล้ว เว่ยฉิงคังมิได้จู่โจมทรวงอกของนางแต่เพียงทางเดียว แต่มันกลับ
เลื่อนฝ่ามือของมันเข้ามาใต้กระโปรงที่นางสวมใส่ แล้วสอดมือหายเข้าไปในกางเกงของนาง มือของมันเข้าเกาะกุมเนินสวาท
ของนางไว้จนเต็มฝ่ามือ โดยนางยังมิทันตั้งตัว

“โอ๊ะ…อย่า…อย่า…..อย่า…………..”

นางร้องออกมาอย่างแผ่วเบา ด้วยเกรงว่าผู้อื่นจะได้ยิน

“อืมม…เนื้อตัวเจ้าช่างนุ่มนิ่มดีแท้ ..ชุ่ยเหลียน”

เว่ยฉิงคังใช้มือคลึงเค้น เนินสวาทของนางอย่างหนำใจ มันพยายามยัดเยียดนิ้วของมันให้ล่วงล้ำ
เข้าไปในร่องสวาทของนาง

ชุ่ยเหลียนพยายามบีบขาเข้าหากัน แล้วบิดร่างให้รอดพ้นจากฝ่ามือของมัน

.”ไม่…ไม่………อย่าทำเช่นนั้น..อย่าาาาาาา…………”

เว่ยฉิงคัง หันกลับมาจู่โจมส่วนบนของนาง เมื่อเห็นว่ามือที่เกาะกุมเอี๊ยมของนางลดลงจากทรวงอก มันก็กระชาก
เอี๊ยมสีแดงนั้นอย่างแรง พลันทรวงอกงามทั้งสองของนาง ก็ปรากฎต่อสายตามันทันที มันตะลึงจ้องมองอยู่เพียงครู่
ก็ใช้มือทั้งสองของมันกดแขนทั้งสองข้างของนางลงกับพื้น แล้วจ่อริมฝีปากดูดกินยอดถันของนางทันที

“ว๊ายยย… อย่า…ออกไป …. อย่าาา..”

ชุ่ยเหลียนดิ้นพล่าน เมื่อถูกปากของเว่ยฉิงคัง ดูดเลียยอดถันของนางอย่างรุนแรง แม้นางจะรังเกียจมัน แต่เมื่อถูกจู่โจมโลมเลีย
เช่นนี้ นางก็เริ่มรู้สึกหวั่นไหว แต่ไม่ยินยอมที่จะรับความสุขจากปากของมัน นางพยายามเบี่ยงร่างดิ้นหนีปากของมันอย่างสุดแรง

ไฟราคะของ เว่ยฉิงคังในยามนี้ลุกโชนจนยากที่จะหยุดยั้ง เมื่อเห็นว่านางพยายามขัดขืนดิ้นหนี มันก็ยิ่งลุกล้ำมากขึ้นอีก
มันใช้เท้าของมัน เกาะเกี่ยวกางเกงของนาง ขณะที่นางกำลังดิ้นรน แล้วดันกางเกงนั้นออกจนพ้นจากร่างของนาง
เว่ยฉิงคัง เลื่อนร่างของมันลงมาอย่างว่องไว มันจับเรียวขาทั้งสองข้างของนางไว้ แล้วดันไปข้างหน้า ทำให้มันมองเห็น
เนินสวาทบวมเปล่ง อยู่ระหว่างเรียวขาทั้งสองได้ถนัดตา มันจ้องมองจนดวงตาแทบเหลือกถลน แล้วซุกใบหน้าลง ใช้ลิ้นโลม
เลียส่วนนั้นของนางทันที

ชุ่ยเหลียนยังมิทันตั้งตัว ครั้นถูกลิ้นของเว่ยฉิงคังลากเลีย และพยายามชอนไชเข้ามาในร่องสวาทของนาง ก็ผวาร้องออกมา
เหยียดร่างค้างเกร็งอย่างสุดเสียว แม้ว่านางจะมีสามีแล้ว แต่สามีของนางมิเคยใช้ลิ้นแตะต้องส่วนนั้นของนางแม้แต่ครั้งเดียว
มันเป็นความเสียวซ่านอย่างที่สุด ที่นางเคยได้รับ ถึงกับลืมตัวร้องครางออกมา

“อย่าาา……โอ้ววววววววว…………..ซี๊ดดดดดดดด…..ซี๊ดดดดดดดดด…”

เว่ยฉิงคัง เห็นนางร้องครางออกมาเช่นนั้นก็ยิ่งได้ใจ ใช้มือดันขาของนางให้กว้างออก จนกลีบสวาทของนางแย้มเปิดออกมา
มองเห็นติ่งน้อย ชี้ชูชันอยู่เบื้องหน้า มันก็ส่งปลายลิ้นลากเลียลึกลงไปในโพรงสวาททันที

ชุ่ยเหลียน โดนกระทำเข้าเช่นนั้นก็ดิ้นพล่าน ร้องเสียงดังออกมาอย่างลืมตัว

“อ๊ายยยยยยย………………….อูยยยยยย……………ซี๊ดดดด……”

นางพยายามตั้งสติต่อสู้กับความเสียวซ่านที่แผ่ซ่านเข้ามา โพรงสวาทของนางเริ่มฉ่ำเยิ้มทีละน้อย ๆ จนชื้นแฉะไปหมด
นางพยายามร้องห้าม แต่เสียงของนางแหบพร่าเหลือเกิน

“อย่า……พอได้แล้ว…..ข้าไม่…………..อูยยยยยย……..ซี๊ดดดดดดดด”

ชุ่ยเหลียนหายใจหอบถี่ ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวไปตามความเสียวซ่านที่แผ่ซ่านเข้ามาจนถึงช่องท้อง
นางยอมรับอยู่ภายในใจแล้วว่าลิ้นของมัน ช่างร้ายกาจนัก ไม่ว่ามันจะลากเลียไปยังจุดใด ก็สร้างความเสียวกระสันต์
ให้กับนางที่จุดนั้น จนนางก่อเกิดกำหนัดอย่างมากมาย เผลอตัวส่ายเอวร่อนไปมา รับการโลมเลียจากลิ้นของมัน

แล้วในจังหวะหนึ่ง นางก็เผยอเปลือกตาขึ้นมองดู พลันมองเห็น เว่ยฉิงคัง ยืนขึ้นในร่างเปลือยเปล่า
แก่นกายของมันชี้แข็งยาวออกมาอย่างน่ากลัว มันมีขนาดที่ใหญ่แและยาวกว่า เอี๊ยงตี้เก่ง สามีของนางมากนัก
นางจ้องมองนิ่งค้างอยู่เพียงครู่ ครั้นเห็น เว่ยฉิงคัง หย่อนร่างลงที่หว่างของนาง นางก็พลิกร่างคว่ำหน้าลงทันที

“ไม่ …ข้าไม่แล้ว .. มันผิดต่อสามีข้า ……ข้าไม่ยินยอมเจ้าแล้ว…..”

เว่ยฉิงคัง แย้มยิ้มจ้องมองสะโพกขาวนวลเนียนโด่งงอนที่อยู่เบื้องหน้ามัน ก็ยิ่งก่อเกิดกำหนัดเพิ่มพูนขึ้น
มันทอดร่างขึ้นทาบทับร่างของนางอย่างแนบชิด แก่นกายของมันวางพาดอยู่บนสะโพกโด่งงามของนาง
แล้วถูไถสะโพกงามนั้นอยู่ไปมา มือทั้งสองของมันสอดเข้ามาบดบี้เต้าทั้งสองของนางอย่างมันมือ
แล้วจ่อปากซุกไซ้ไปกับใบหูของนาง

ชุ่ยเหลียนถูกจู่โจมสามจุดพร้อมกัน นางถึงกับขนลุกไปทั้งร่าง ร่างของนางอ่อนเปรี้ยหมดเรี่ยวแรงขัดขืนอีกต่อไป
ทำได้แต่เพียงบีบเรียวขางามไว้อย่างแนบแน่น แต่แก่นกายอันแข็งเกร็งของมันก็พยายามสอดใส่เข้ามา
ที่ร่องสวาทของนางอย่างไม่ลดละ

ทันใดนั้น เว่ยฉิงคัง ก็สอดขาทั้งสองของมันเข้ามาในหว่างขาของนาง แล้วออกแรงดันขาของนางให้อ้ากว้างออก
แล้วขยับบั้นเอวส่งแก่นกายของมันเข้าไปในโพรงสวาทของนางโดยทันที

“อย่า….อย่า……..อย่าดันเข้ามา……….โอ๊ะ……..”

เว่ยฉิงคัง แอ่นสะโพกนิ่งค้างไว้ ส่งลำแก่นกายของมันให้มุดเข้าไปในโพรงสวาทของนางจนมิด จากนั้น
มันก็โยกบั้นเอว กระแทกกระทั้นเข้าออกอย่างรุนแรง จนเกิดเสียงกระทบระหว่างเนื้อต่อเนื้อของคนทั้งสอง
ดังไปทั้งห้อง

“ตับ ….ตับ ….ตับ ….ตับ …..ตับ ….ตับ …..ตับ …”

ร่างของชุ่ยเหลียนสั่นไหวตามจังหวะกระแทกกระทั้นของมัน น้ำตาของนางเอ่อไหลท่วมท้นสองตา
บัดนี้นางได้ตกเป็นของมันแล้ว นางไม่ใช่ภรรยาที่ดีของสามีอีกต่อไป ชุ่ยเหลียนนอนนิ่งให้ มันบีบเค้น
เชยชมส่วนต่างๆของนางอย่างเลื่อนลอย

เว่ยฉิงคัง หาได้สนใจสิ่งใด มันตั้งหน้าตั้งตา เชยชมเรือนร่างของนางอย่างเมามัน มันเร่งเร้าจังหวะ
กระแทกกระทั้นเร็วถี่ขึ้น พลางส่งเสียงหอบหายใจแรงๆ ตามจังหวะที่ถี่ระรัวนั้น จนในที่สุด

“โอ้ววววววววว……………………………………..”

มันดันร่างค้างนิ่ง อ้าปากครางเสียงดังยาวออกมาอย่างสุขสม น้ำรักของมันพวยพุ่งจนเอ่อท้น
ออกมาจากร่องสวาทของนาง แล้วฟุบร่างลงทาบทับร่างของ ชุ่ยเหลียน หลับตาแน่นิ่งอยู่เช่นนั้น

————–

ในระหว่างเดินทางกลับ เจ้าลัทธิเบญจธาตุ เฝ้าแต่ครุ่นคิดถึงแต่ความพ่ายแพ้ที่ตนได้รับ
มันไม่เคยคาดคิดว่า จะมีชาวยุทธจงหยวนคนใดจะมีพลังฝีมือที่แข็งกล้า จนสามารถต่อกรกับมันได้
ตลอดการเดินทาง มันจึงสะสมความคั่งแค้นเอาไว้อย่างมากมาย และคิดหาวิธีที่จะแก้แค้นให้จงได้

อีกเรื่องหนึ่ง ที่มันเกิดความระแวงสงสัยก็คือ เรื่องของ เทวทูตหน้าทอง ที่อ๋องลีลู่ปังกล่าวออกมา
มันมั่นใจว่า เรื่องนี้ต้องมีมูลความจริงอยู่บ้าง แม้มันจะมีความระแวงสงสัย แต่ก็มิได้แสดงสิ่งใด
ออกมาให้เห็นความผิดปกติ

ครั้นเดินทางกลับมาถึงวังของลัทธิ มันก็เร่งสั่งให้บริวารนำองค์หญิง ลีลู่อิน ไปกักขัง
ไว้ในที่อันแน่นหนาและเป็นความลับ ในขณะที่มันนั่งลงบนที่นั่งในห้องโถง ท่ามกลางบริวาร
ที่แวดล้อม ก็มีบริวารคนหนึ่งเข้ามากระทำคารวะ แล้วกล่าวว่า

“ท่านเจ้าลัทธิ มีม้าเร็วจากกองกำลังหน้าด่านเข้ามาขอพบท่าน แจ้งว่ามีเหตุเร่งด่วนขอรับ”

“ให้มันเข้ามา”

ม้าเร็วผู้นั้นถูกนำตัวเข้ามาในห้องโถงนั้น ครั้นกระทำคารวะแล้ว ก็พูดออกมาว่า

“ท่านเจ้าลัทธิ บัดนี้มีชาวจงหยวนผู้หนึ่งตั้งตัวเป็นผู้นำชาวยุทธ คิดรวบรวมกองกำลัง
บุกโจมตีเรา มันผู้นั้นมีพลังฝีมือกล้าแข็ง ฆ่ากองกำลังเคลื่อนที่เร็วของเราจนตายไปสิ้น
ผู้นำกองกำลังที่หน้าด่านจึงส่งข้ามารายงาน ให้ท่านเจ้าลัทธิทราบ และขอรับคำสั่ง
ให้ดำเนินการเช่นไรต่อไปขอรับ”

เจ้าลัทธิยืนขึ้น แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยว

“มันคือผู้ใด”

“ข้าน้อยทราบเพียงชื่อของมัน มันชื่อ เว่ยฉิงคัง”

เจ้าลัทธิครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวออกมาว่า

“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อของบุคคลผู้นี้ แต่ถ้าหากว่า มันสามารถทำลายกองกำลัง
เคลื่อนที่เร็วของเราได้ ก็นับว่าฝีมือมันไม่ใช่ชั่ว”

พลันเจ้าลัทธิก็มีความคิดสิ่งหนึ่งขึ้นมา มันคิดหาวิธีผลักดัน เทวทูตหน้าทอง ไม่ให้ไกลจากตัวมัน

“เห็นที เรื่องนี้ต้องลำบากท่านแล้ว ท่านเทวทูตหน้าทอง ท่านจงไปเด็ดศรีษะมันผู้นั้นเสีย
ให้ชาวยุทธจงหยวนได้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง ว่าอย่าคิดกำเริบเสิบสานกับเรา ชาวลัทธิเบญจธาตุ
ข้าต้องการให้ท่านเร่งออกเดินทางโดยทันที”

เทวทูตหน้าทอง ก้าวออกมาแล้วกระทำคารวะ

“น้อมรับคำสั่ง ท่านเจ้าลัทธิ”

สิ้นคำ มันก็ก้าวเดินออกไปตามคำสั่งทันที

เมื่อเทวทูตออกเดินทางไปจากวังของลัทธิเบญจธาตุแล้ว เจ้าลัทธิก็วางกำลังคนในทางลับ
สืบเรื่องราวของ เทวทูตหน้าทองโดยละเอียด จนเวลาล่วงผ่านไปหลายวัน ก็ได้เบาะแสว่า
มันมีบริวารสนิทอยู่ผู้หนึ่ง มักทำลับๆล่อๆ ในยามค่ำคืนกับ เทวทูตหน้าทอง จึงจับตัวมาทรมาน
เพื่อเค้นความจริง

บริวารผู้นั้นครั้นได้รับความเจ็บปวด ทรมานก็เปิดปากออกมา ว่าอันที่จริง เทวทูตหน้าทอง
ก็คือ หลงจินหู่ ฉายา บัญฑิตไร้ใจ หนึ่งในห้าเทพยุทธจงหยวนนั่นเอง

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More