ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 4 วันประลองยุทธวันสุดท้าย

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 4 วันประลองยุทธวันสุดท้าย

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 4 วันประลองยุทธวันสุดท้าย
โดย zeech

เวลาผ่านไปจวนจะใกล้รุ่ง เฟยอี้รู้สึกถึงขุมพลังใหม่ภายในร่างของตนได้ก่อเกิดขึ้น
จึงทดลองเดินลมปราณ ไปตามจุดสำคัญทั่วร่าง มันได้รับความปลอดโปร่งยิ่งนัก
ลมปราณของมันสามารถเคลื่อนย้ายไปตามจุดต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วตามใจปรารถนา
เมื่อมันลืมตาขึ้นก็มองเห็น กิมเฮียกจื้อ นอนลืมตามองดูเพดานห้อง ดุจร่างไร้วิญญาณ
แม้จุดที่ถูกสกัดได้คลายตัวออกจนสิ้นแล้ว นางก็หาได้แยแส เฟยอี้พลิกร่างลืมตาดู
ใบหน้าของนาง แล้วก็รู้สึก หวาบหวามขึ้นอีกครั้ง

“แม่นางกิม เจ้าเป็นปกติดีหรือไม่”

กิมเฮียกจื้อ เลื่อนสายตาของนางมาสบตากับเฟยอี้ แล้วโผร่างตรงไปหยิบกระบี่จ่อที่คอ
ของ เฟยอี้แล้วพูดขึ้นว่า

“เจ้าเป็นใคร เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าออกมา”

เฟยอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่นึง แต่เมื่อนึกถึงพิษที่อยู่ในร่างของตนก็รู้สึกหดหู่
จึงคิดปลงได้ว่าจะมีอันใดเกิดขึ้นเลวร้ายกว่านี้อีกเล่า จึงพูดขึ้นว่า

“เอากระบี่ของเจ้าออกไปก่อน ข้าถอดโฉมแปลงไม่ถนัด”

กิมเฮียกจื้อ ลดกระบี่ลงแล้วผลักร่างของเฟยอี้ออกให้ห่างจากร่างของนาง

เฟยอี้เดินไปถอดโฉมแปลงออก กลับกลายเป็นชายหนุ่มเฟยอี้ตามปกติ
แล้วเดินออกมาหา กิมเฮียกจื้อ

กิมเฮียกจื้อ มองสบตากับเฟยอี้ค้างนิ่งอยู่เช่นนั้น นางยอมรับอยู่ภายในใจว่า
มันช่างเป็นบุรุษหนุ่มที่รูปงามยิ่งนัก

“ขอข้าทราบชื่อที่แท้จริงของเจ้าได้หรือไม่”

” ข้าแซ่เจ้า ชื่อเฟยอี้”

“เจ้าเฟยอี้” นางทวนคำ แล้วพูดขึ้นว่า

“เจ้าเฟยอี้ เจ้าบอกข้ามาว่าเจ้าจะรับข้าเป็นภรรยาหรือไม่”

เฟยอี้อ้าปากค้าง ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินนางพูดเช่นนี้

“รีบบอกมา เจ้าจะรับข้าเป็นภรรยาหรือไม่”

“ขะ..ขะ..ข้า……”

“ฉาด….โครม”

กิมเฮียกจื้อ ฟาดฝ่ามือใส่หน้าอกเฟยอี้ ฉาดใหญ่ นางทั้งคับแค้นและอับอาย
ที่เป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน แล้วเฟยอี้กลับอ้ำอึ้ง

ร่างของเฟยอี้ล้มลงกองกับพื้น นอนนิ่งเงียบ

กิมเฮียกจื้อ ได้สติก็รู้สึกตกใจ โผเข้าไปที่ร่างของเฟยอี้ จับข้อมือของมันมาตรวจดูชีพจร
ด้วยความที่ กิมเฮียกจื้อ เป็นผู้ใช้พิษ นางรู้ได้ทันทีถึงความผิดปกติของชีพจรของเฟยอี้
นางเขย่าร่างของมันอย่างตกใจ

“เฟยอี้ เฟยอี้ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”

เฟยอี้ทำมารยาแกล้งนอนนิ่ง แต่เมื่อเห็นนางร้องอย่างตกใจเช่นนั้น ก็ลืมตาขึ้นดู
กิมเฮียกจื้อ เห็นดังนั้นก็คลายใจ

“ข้าดีใจยิ่งนัก ที่เห็นเจ้าเป็นห่วงข้าเช่นนี้”

เฟยอี้พูดยั่ว กิมเฮียกจื้อ แต่นางกลับมีสีหน้ากังวลใจ แล้วนางก็พูดขึ้นว่า

“บอกข้ามา เจ้าไปโดนพิษอะไร และผู้ใดทำร้ายเจ้า”

เฟยอี้นึกแปลกใจ ที่นางล่วงรู้

“ตัวข้ามิอาจมีชีวิตยืนยาว เพราะโดนพิษหนอนไส้ขาด ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมิกล้ารับปากเจ้า”

กิมเฮียกจื้อ ได้ยินเช่นนั้น ก็วาบหวามใจ พูดขึ้นว่า

“เจ้ายินดีรับข้าเป็นภรรยาใช่หรือไม่”

“คนต่ำต้อยเช่นข้า มีหรือที่กล้าปฏิเสธ สตรีที่งดงามเช่นเจ้ามาเป็นภรรยา แต่ติดที่ข้ามิอาจ
มีชีวิตที่ยืนยาวนัก ข้าเกรงว่าเจ้า….”

กิมเฮียกจื้อ ใช้มือปิดปากเฟยอี้

“แม้เจ้ามีชีวิตอยู่เพียงหนึ่งวัน ข้าก็ยินดีเป็นภรรยาของเจ้า”

“แม่นางกิม …เจ้า……”

“ท่านใยเรียกข้า แม่นางกิม ใยไม่เรียก เฮียกจื้อ”

เฟยอี้โอบร่างของนางไว้ในอ้อมแขน แม้นางจะดูเป็นคนโหดเหี้ยม แต่นางก็เป็นคน
เปิดเผย และจริงใจ โจรน้อยอย่างมันคลุกคลีอยู่แต่คนปลิ้นปล้อน มิอาจพบเห็นสตรี
เช่นนี้ได้โดยง่าย มันหลงรัก กิมเฮียกจื้อ เข้าเสียแล้ว

กิมเฮียกจื้อ ดันร่างของมันออกแล้วพูดขึ้นความเป็นห่วง

“ข้าไม่เคยได้ยินชื่อ พิษหนอนไส้ขาด ผู้ใดทำร้ายเจ้า”

เฟยอี้ไม่ต้องการให้นางทราบเรื่อง ด้วยเกรงว่านางจะได้รับอันตรายจาก หมอวิปลาส
จึงแสร้งบอกไปว่า

“ข้าไม่รู้จักชื่อมัน”

กิมเฮียกจื้อ จึงพูดขึ้นว่า

“อาจารย์ของข้าที่เปอร์เซีย ชำนาญเรื่องพิษมาก ข้าจะขอร้องให้อาจารย์ช่วยเจ้า”

กิมเฮียกจื้อ เหมือนนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ จึงพูดขึ้นว่า

” ในวันพรุ่งนี้ ลัทธิเบญจธาตุแห่งเปอร์เซีย ที่ข้าสังกัดอยู่จะบุกเข้ามาที่ลานประลอง เจ้าต้องหนีไปให้ไกล
อย่าได้คิดต่อสู้เป็นอันขาด ข้าถูกบังคับให้เดินทางกลับเปอร์เซียในวันพรุ่งนี้ เฟยอี้ เจ้าให้สัญญากับข้าได้ไหมว่า
เจ้าจะติดตามไปพบข้าที่เปอร์เซีย”

เฟยอี้จ้องมองนิ่งไปที่ใบหน้าของนาง แล้วพูดขึ้นว่า

“หากข้าไม่ตายลงเสียก่อน ข้าจะดั้นด้นไปพบภรรยาของข้าให้จงได้”

กิมเฮียกจื้อ ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มอย่างอ่อนหวานออกมา จนเฟยอี้ถึงกับตะลึงค้างในความงามของนาง
โดยปกติ กิมเฮียกจื้อก็มีความงามอยู่แล้ว แม้ว่าจะมีสีหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ใดๆ แต่ในยามนี้
นางกลับแย้มยิ้มออกมา ทำให้ความงามของนางเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

ทั้งสองกล่าวคำร่ำลาต่อกัน แล้ว กิมเฮียกจื้อ ก็เดินจากไปในความมืด

———————–

เช้าวันรุ่งขึ้น ชาวยุทธทุกสำนักต่างทะยอยออกมาจากเรือนรับรอง เพื่อมุ่งไปยัง
ลานประลองตามที่นัดหมาย ทุกคนต่างเข้าประจำที่ของแต่สำนัก ศิษย์แห่งสำนักมังกรเขียว
เดินออกมาประกาศเรียก ฮุ่ยหนิง ศิษย์สำนักอารามชีบุปผาหยกขึ้นมาบนเวที
และประกาศหาผู้ท้าชิงคนต่อไป

ฮุ่ยหนิง ยืนมองชาวยุทธเบื้องล่างอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีใครก้าวออกมา
จนศิษย์แห่งสำนักมังกรเขียวต้องประกาศเรียกซ้ำ

ฮูหยินลิ่มบ้อฮวย มองไปที่ เยื่ยกุ้ยอิง แล้วพยักหน้า

เยื่ยกุ้ยอิง คารวะต่ออาจารย์ของตน แล้วกระโดดด้วยวิชาตัวเบา ขึ้นมาบนเวที
ยกมือกระทำคารวะต่อ ฮุ่ยหนิง

“ข้า เยื่ยกุ้ยอิง แห่ง สำนักเงาจันทรา ขอประลองกับท่าน”

ฮุ่ยหนิงกระทำคารวะตอบ แล้วยกกระบี่ขึ้นในท่า บุปผาหยกเบ่งบาน

ส่วน เยื่ยกุ้ยอิง ก็ยกกระบี่ขึ้นในท่า จันทราหลบม่านเมฆ ที่รัดกุมเช่นกัน
ทั้งสองยืนคุมเชิงอยู่ครู่ใหญ่ก็ยังไม่เห็นช่องโหว่ของกันและกัน

ฮุ่ยหนิงตัดสินใจจู่โจมก่อนด้วยกระบวนท่าบุปผาหยกร่วงโรย
ปลายกระบี่ของนางพุ่งตรงไปที่ร่างของ เยื่ยกุ้ยอิง อย่างรวดเร็ว
เยื่ยกุ้ยอิง ปัดป้องกระบี่ของฮุ่ยหนิงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ข้อมือของนาง
ตวัดกระบี่ออกเป็นวงกลม ทำให้กระบี่ของฮุยหนิงชี้ปลายขึ้นด้านบน
แล้วนางก็หมุนตัวกลับ ฟาดฟันกระบี่ไปที่ร่างของฮุ่ยหนิงอย่างรวดเร็ว

ฮุ่ยหนิงตื่นตกใจถอยเท้ากลับด้านหลัง สองสามเก้า แล้วแอ่นร่างไปด้านหลัง
เพื่อหลบคมกระบี่ของเยื่ยกุ้ยอิง พลางยกปลายเท้าสกัดการจู่โจมของ เยื่ยกุ้ยอิงไว้

เยื่ยกุ้ยอิง เบี่ยงหลบออกด้านข้างพลางฟาดฝ่ามือตอบโต้ไปที่เท้าของ ฮุ่ยหนิง
ร่างของฮุ่ยหนิงม้วนตัวตามแรงฟาดฝ่ามือ หมุนควงอยู่กลางอากาศ
แล้วหย่อนปลายเท้าลงพื้นอย่างนิ่มนวล

ทั้งคู่ตั้งกระบี่คุมเชิงกันอีกครั้ง พลัน เยื่ยกุ้ยอิง ก็ยื่นปลายกระบี่ออกไปข้างหน้า
แล้วจู่โจมขึ้นก่อนบ้างด้วยกระบวนท่า จันทราคล้อยเคลื่อน
ปลายกระบี่ของนางพริ้วไหวดุจมีชีวิต มันแหวกอากาศบิดไปมา
ตรงมาที่ร่างของ ฮุ่ยหนิง นางไม่มีทางเลือก ต้องใช้กระบี่ปัดป้องท่วงท่าอันร้ายกาจนั้น
พลางถอยเท้าออกด้านหลังตามการรุกไล่ของ เยื่ยกุ้ยอิง
เสียงกระบี่กระทบกันดังระรัว ฮุ่ยหนิงรู้สึกน้ำหนักกระบี่ของ เยื่ยกุ้ยอิงที่ฟาดฟันลงมานั้น
หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ จนมือของนางรู้สึกอ่อนล้า จนต้องคลายกระบี่ออก
กระบี่ของฮุ่ยหนิงถูกระบี่ของ เยื่ยกุ้ยอิง ปัดลอยกระเด็นหายไป
แล้วปลายกระบี่ของ เยื่ยกุ้ยอิง ก็หันกลับมาจี้อยู่ที่ลำคอของนาง

การประลองสิ้นสุดลงด้วย การมีชัยของเยี่ยกุ้ยอิง ทั้งคู่ทำคารวะต่อกัน
แล้วฮุ่ยหนิงก็ลงจากเวทีไป

ศิษย์แห่งสำนักมังกรเขียว ประกาศหาผู้ประลองกับ เยื่ยกุ้ยอิง ต่อไปทันที
จากนั้นจอมยุทธอั้งฮุ้นปัง ก็ขึ้นมาบนเวทีแล้วใช้ กระบี่วรุณ เอาชนะ เยื่ยกุ้ยอิง
ไปได้ใน สามสิบกระบวนท่า

การประลองดำเนินไปจนในที่สุด เหลือเพียง

ซือไท่แซ่เหล็ก เจ้าสำนัก อารามชีบุปผาหยก
เอี้ยงซิมตึ๊ง เจ้าสำนักมังกรเขียว
ฮูหยิน ลิ่มบ้อฮวย เจ้าสำนักเงาจันทรา

ฮูหยิน ลิ่มบ้อฮวย สามารถเอาชนะ จอมยุทธอั้งฮุ้นปัง ได้ในที่สุด

ขณะที่รอผู้ที่จะขึ้นมาประลองต่อไปอยู่นั้น ก็มีเสียงตีกลองดังขึ้น พร้อมกับ เสียง
หวูดจากการเป่าเขาสัตว์ พลันก็ปรากฎร่างคนประหลาดสี่คน แต่งกายเหมือนนักบวช
ในลัทธิคนเปอร์เซียเดินตรงเข้ามายังลานประลอง ด้านหลังของพวกมัน เป็นที่นั่งมีคนสี่คนหาม
พร้อมบริวารถือธงทิวหลากสี เดินเป็นมาเป็นขบวน
ผู้ที่นั่งอยู่บนคานหาม ใส่หน้ากากสีทอง ท่าทีดูเหมือนจะเป็นใหญ่ที่สุดของคนกลุ่มนั้น

ฮุ่ยหนิงเห็นดังนั้นก็หันไปพูดกับ ซือไท่แซ่เหล็ก ทันที

“ท่านอาจารย์ ท่านทราบหรือไม่ ว่าพวกมันเป็นใคร”

ซือไท่แซ่เหล็ก เขม้นมองไปที่กลุ่มคนกลุ่มนั้น แล้วรำพึงขึ้นว่า

“แย่แล้ว เห็นทีจากนี้ไปยุทธภพคงวุ่นวายเป็นแน่”

“พวกมันเป็นใครรึ ท่านอาจารย์”

ซือไท่แซ่เหล็ก ส่ายหน้า แล้วตอบว่า

“พวกมันคือ กลุ่ม ลัทธิเบญจธาตุ จากเปอร์เซีย เจ้าสี่คนที่แต่งกายประหลาดนั่น
คือ ทูตดิน ทูตน้ำ ทูตลม และ ทูตไฟ ฝีมือของพวกมันร้ายกาจมาก
แต่ที่น่าเกรงกลัวที่สุด คือ ผู้ที่ใส่หน้ากากทองคำ นั่งอยู่บนคานหามนั่น
มันคือ เทวทูตหน้าทอง เมื่อหลายสิบปีก่อนมันเคยทำให้ยุทธภพปั่นป่วน
ด้วยการท้าประลองฝีมือกับชาวยุทธจงหยวน เมื่อมันได้ชัย มันก็ฆ่าล้างสำนัก
เสียสิ้น ในครั้งนั้น หากไม่มี ท่านทิกุ้ยชิ้ว หัตถ์เทพอสูร และ หลวงจีนหลี่เต๋อ
สองในห้าเซียนเทพยุทธผู้สาบสูญ ขับไล่พวกมันออกไปจากจงหยวน
พวกเราคงไม่มีวันนี้แน่”

ซือไท่แซ่เหล็ก พูดจบก็ถอนหายใจออกมา

กลุ่มลัทธิเบญจธาตุ หยุดขบวนอยู่ที่หน้าลานประลอง ทูติดิน หนึ่งในกลุ่มคนประหลาด
ทั้งสี่ก้าวออกมาแล้วพูดขึ้นว่า

“ชาวยุทธจงหยวน ที่มารวมตัวกันเล่นเป็นทารกอยู่ ณ.ที่นี้ จงฟัง
ข้าทูตดิน แห่งลัทธิเบญจธาตุ ขอท้าประลองวรยุทธจงหยวนของพวกเจ้า
ว่าจะร้ายกาจสักเพียงใด หรือหากว่าไม่กล้า ก็ก้มศรีษะของพวกเจ้าลง
กระทำคารวะต่อพวกเราซะ”

ลิ่มบ้อฮวย ยืนอยู่บนเวทีได้ยินดังนั้นก็กล่าวออกมาว่า
“หยุดปากสุนัขของเจ้าซะ แล้วเร่งขึ้นมาต่อสู้กับข้าบนเวทีนี้”

ทูตดิน มองไปที่ ลิ่มบ้อฮวย ดวงตาของมันวาวโรจน์ โผทะยานร่างของมัน
ขึ้นมาบนเวที แล้วควงค้อนคู่ในมืออันมีนามว่า ค้อนสยบปัฐพี เข้าจู่โจมใส่
ลิ่มบ้อฮวยอย่างฉับพลัน ลิ่มบ้อฮวยใช้เพลงกระบี่เงาจันทราเข้าตอบโต้
ค้อนของทูตดิน มีทั้งความว่องไวและหนักหน่วงจน ลิ่มบ้อฮวยรู้สึกสะท้านไปทั้งแขน
ยามเมื่อฟาดฟันกระบี่เข้าต้านทาน การต่อสู้ผ่านไปถึงสิบกระบวนท่า ลิ่มบ้อฮวยก็พลาดท่า
ถูกค้อนของทูตดิน ฟาดกระบี่ของนางจนหลุดร่วงลงจากมือ

ลิ่มบ้อฮวย หลบหลีกร่างเอาตัวรอดด้วยวิชา ฝ่ามือจันทราสาดแสง นางร่ายรำวิชาฝ่ามือออกไปอย่างพิศดาร
วิชากระบี่เงาจันทราของนางก็นับว่าร้ายกาจแล้ว แต่วิชาฝ่ามือของนางกลับร้ายกาจกว่า
ทูตดินเริ่มตกเป็นฝ่ายตั้งรับ จนในที่สุด มันก็พลาดท่าโดนฝ่ามือของ ลิ่มบ้อฮวย ฟาดเข้าที่หน้าอก

ทูตดินเซถลาถอยหลังไปสองสามเก้า แต่ ลิ่มบ้อฮวยกลับร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วล้มลง
มือของนางกลายเป็นสีดำคล้ำพลางชี้ไปที่ทูตดิน แล้วร้องว่า

” เสื้อเกราะพิษ”

ทูตดินมองไปที่ ลิ่มบ้อฮวยแล้วเปล่งเสียงหัวเราะออกมา ซือไท่แซ่เหล็ก เห็นเหตุการณ์ดังนั้น
ก็ลอยตัวขึ้นมาบนเวที หันไปทางทูตดินแล้วพูดขึ้นว่า

“ทูตดิน ซือไท่คนนี้จะขอสั่งสอนเจ้าเอง”

สิ้นคำ ซือไท่แส้เหล็ก ก็ฟาดแส้ของนางตรงไปที่ร่างของทูตดินทันที
ทูตดินยกค้อนของมันขึ้นรับอย่างว่องไวเช่นกัน เสียงแส้ของซือไท่
กระทบกับค้อนของทูตดิน ดังดุจเดียวกับเสียงโลหะกระทบกัน

ซือไท่แส้เหล็ก ร่ายรำเพลงกระบี่บุปผาหยก ด้วยแส้ที่พริ้วไหว แต่กลับมีอานุภาพมากกว่า
กระบี่หลายเท่านัก ทุกครั้งที่แส้กระทบกับค้อนของทูตดิน ปลายแส้จะเกี่ยวกระหวัดไปต้อง
มือของทูตดินที่กำค้อนของมันอยู่ทุกครั้ง จนมือของมันเกิดอาการชาไร้ความรู้สึก
ปล่อยค้อนหลุดจากมือ และในจังหวะนั้นนั่นเอง แส้ของซือไท่แซ่เหล็ก
ก็ฟาดไปที่ใบหน้าของทูตดินจนร่างของมันลอยตกเวทีไป

ทูตน้ำ ทูตลม ทูตไฟ ตรงเข้าที่ร่างของทูตดิน พลางร้องเรียก

“น้องเล็ก น้องเล็ก เจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”

ทูตไฟผู้เป็นพี่ใหญ่ จ้องมองไปที่ ซือไท่แส้เหล็ก อย่างโกรธแค้น
พลางขยับโซ่อัคคี อาวุธคู่กายของมันจะโผร่างเข้าไปจู่โจม ซือไท่แส้เหล็ก
แต่ เทวทูติหน้าทอง ได้ร้องห้ามขึ้น แล้วทะยานร่างของมันลงบนเวทีอย่างนุ่มนวล
มันยืนเอามือไขว้หลังนิ่งดุจรูปปั้น ใบหน้าภายใต้หน้ากากทองคำ เพ่งตรงไปที่ ซือไท่แส้เหล็ก

ซือไท่แส้เหล็ก รู้ถึงความร้ายกาจของมันดี นางจึงตั้งท่าอย่างรัดกุมและเดินกำลังภายใน
ไปที่แส้ของนาง หวังจะลงมืออย่างฉับไวให้ได้ผลในครั้งเดียว

และแล้วนางก็ตัดสินใจ ใช้กระบวนท่าไม้ตาย ร้อยบุปผาลอยลม ของเพลงกระบี่บุปผาหยก
โผร่างลอยสูงขึ้นเข้าโจู่โจมอย่างรวดเร็ว ปลายแส้ของนางแข็งและตั้งตรง ประดุจกระบี่
ตรงไปยังร่างเทวทูตหน้าทอง

ในขณะที่แส้ของ ซือไท่แส้เหล็กใกล้จะถึงลำคอของมัน พลันร่างของมันก็เคลื่อนหลบ
ออกข้างปานล่องหนได้ พลางฟาดมือขวาของมันออกด้วยวิชา พลังฝ่ามือเบญจธาตุ
เข้าที่ร่างของ ซือไท่แส้เหล็ก ร่างของนางลอยกระเด็นตกลงมาจากเวที กระอักโลหิตออกมา
สิ้นใจตายทันที ศิษย์แห่งสำนัก อารามชีบุปผาหยก ต่างกรูกันเข้าล้อมรอบร่างของเจ้าสำนักของตน
ต่างส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างเสียใจ

ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน ถือกระบี่ตรงไปที่ เทวทูตหน้าทองหมายจะแก้แค้นให้อาจารย์ของตน
แต่ก็ถูก เอี้ยงซิมตึ๊ง เจ้าสำนักมังกรเขียว ปราดเข้ามาห้ามไว้

เอี้ยงซิมตึ๊ง ลอยร่างลงบนเวทีแล้วพูดขึ้นว่า

“ท่าน เทวทูติหน้าทอง หลายสิบปีก่อน ท่านพ่ายแพ้ต่อ ท่าน ทิกุ้ยชิ้ว และ หลวงจีนหลี่เต๋อ
ท่านให้คำสัญญาไว้ว่าจะไม่กลับมาที่จงหยวนอีก เหตุใดท่านจึงตระบัดสัตย์เสียเล่า”

“ในเมื่อผู้ที่ข้าให้คำสัญญาไว้ หามีชีวิตไม่แล้ว คำสัญญาก็หมดชีวิตลงเช่นกัน”

“ท่านคิดว่า เมื่อท่านทั้งสอง ไม่อยู่แล้ว จะไม่มีผู้ใดทำอะไรท่านได้กระนั้นหรือ”

เทวทูตหน้าทอง หัวเราะในลำคอ

“เจ้านะรึ ที่จะทำเช่นนั้นกับข้า ฮ่าๆๆๆๆ”

“เช่นนั้น เจ้ามิทดลองดูหน่อยเป็นไร”

พูดจบ เอี้ยงซิมตึ๊ง ก็ใช้วิชาฝ่ามือมังกรเขียวเข้าจู่โจมทันที
ทุกท่วงท่า ที่ เอี้ยงซิมตึ๊ง จู่โจมใส่ร่าง เทวทูตหน้าทอง ล้วนเข็มแข็ง ดุดัน
แต่เทวทูติหน้าทอง พลิกกายหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว ปานร่างของมันล่องหนได้
การต่อสู้ผ่านไปสิบกระบวนท่า เอี้ยงซิมตึ๊ง ก็ต้องถอยร่นออกมา เมื่อเห็นเงาฝ่ามือหลายสิบฝ่ามือ
จู่โจมออกมาจากร่างของมัน เอี้ยงซิมตึ๊ง ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน แต่มิเคยพบพาน
วิชาฝ่ามือที่พิศดารเยี่ยงนี้ จนในที่สุด เอี้ยงซิมตึ๊ง ต้องใช้วิชาตัวเบาลอยตัวถอยออกมา

เอี้ยงซิมตึ๊ง ตัดสินใจ ใช้ พลังปราณมังกรเขียว อันเป็นท่าไม้ตาย
มันยกฝ่ามือทั้งสองข้างเกร็งพลังไว้ที่ระดับเอว
แล้วแยกขาออก เดินลมปราณทั้งร่างรวบรวมไว้ที่มือทั้งสอง ร่างของ
เอี้ยงซิมตึ๊ง ฉับพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว

เทวทูติหน้าทองเห็นเช่นนั้นก็วาดมือทั้งสองข้างออกเป็นวงกลม
แล้วดึงมือมาประกบกันที่หน้าท้อง เตรียมใช้ พลังฝ่ามือเบญจธาตุ
เข้าตอบโต้เช่นกัน

ร่างของคนทั้งสองพุ่งไปในอากาศตรงเข้าหากัน ฝ่ามือของคนทั้งสอง
ปะทะกันด้วยกำลังภายในอันแรงกล้าจนเกิดลมกรรโชกขึ้นวูบหนึ่ง

ร่างของ เอี้ยงซิมตึ๊ง ลอยกลิ้งไปยังพื้นด้านล่าง อวัยวะภายในของมันแหลกเหลว
กระอักโลหิตออกมาแล้วขาดใจตายไปทันที

เทวทูติหน้าทอง ยืนจ้องมองไปที่ชาวยุทธแล้วเปล่งเสียงตะโกนขึ้น

“ฆ่าชาวจงหยวนให้หมด”

สิ้นคำของ เทวทูติหน้าทอง เหล่านักรบของ ลัทธิเบญจธาตุก็โผล่ขึ้นมาจาก
ที่หลบซ่อนมากมาย ทูตทั้งสี่ นำนักรบของ ลัทธิเบญจธาตุเข้าฟันเหล่าชาวยุทธ
ทันที ชาวยุทธจงหยวนที่มีฝีมืออ่อนด้อย ก็ถูกไล่ฆ่าฟันจนล้มตายลงมากมาย
ที่เหลืออยู่ก็พาหนีเอาชีวิตรอด

ทูตไฟตรงเข้าต่อสู้กับ จอมยุทธอั้งฮุ้นปัง ในที่สุดมันก็ใช้โซ่อัคคี ฆ่าอั้งฮุ้นปัง ตาย ณ.ที่นั้น
ประมุข เว่ยน่ำเทียน เข้าต่อสูกับ ทูตน้ำ และทูตลม ก็ถูกสังหารในลานประลองตายไปเช่นกัน
คงเหลือแต่ เว่ยฉิงคัง บุตรชาย พาน้องสาว เม่ย เม่ย หลบหนีไปได้

ในที่สุดเหล่าชาวยุทธจงหยวน บ้างก็ล้มตายลงกลาดเกลื่อน ที่มีฝีมือกล้าแข็งก็หลบหนีไปได้
คงเหลือแต่ สำนักเงาจันทรา ที่ ไม่สามารถแหกวงล้อมหลบหนี เพราะเจ้าสำนัก ลิ่มบ้อฮวย
บาดเจ็บสาหัสอยู่ และยังถูกค่ายกล ของลัทธิเบญจธาตุล้อมเอาไว้

หลิงหลิง ไม่มีวิชายุทธในเชิงต่อสู้ ก็ได้แต่อุ้มร่างของ ลิ่มบ้อฮวย ไว้ที่ด้านหลัง
ปล่อยให้ เยี่ยกุ้ยอิง เหม่ยเยี่ย เหม่ยผิง และ เหม่ยลี่ เข้าต่อสู้กับ
และพยายามแหกวงล้อมอย่างสุดความสามารถ

จนในที่สุด เยี่ยกุ้ยอิง ก็บอกกับ หลิงหลิงว่า

“หลิงหลิง เจ้ามีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ เจ้าจงใช้วิชาตัวเบาของเจ้าพาท่านเจ้าสำนัก
หนีออกไปให้ได้ ไม่ต้องห่วงพวกเรา”

หลิงหลิง เห็นเหตุการณ์คับขันเช่นนั้นก็รับคำ ใช้วิชา เมฆาลอยล่อง พาร่างของ
ลิ่มบ้อฮวย ที่แบกอยู่บนหลัง แหกวงล้อมหลบหนีไป

คงเหลือเพียงแต่ ศิษย์ สำนักเงาจันทรา ต่อสู้แหกวงล้อมอย่างสุดความสามารถต่อไป

——————–

ข้างฝ่าย ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน พาบรรดาศิษย์แห่งสำนัก อารามชีบุปผาหยก
ฝ่าวงล้อมหนีเข้าป่าจนพ้นการติดตามของ ลัทธิเบญจธาตุ ต่างนั่งพักอยู่โคนไม้ในป่านั้น
โดยไม่รู้ตัวเลยว่า กำลังตกอยู่ในสายตาคู่หนึ่งอยู่ตลอดเวลา มันคือหมอวิปลาส

เมื่อพวกนางออกเดินทางต่อ มันก็แอบสะกดรอยติดตามไปข้างหลัง แล้วลอบจี้สกัดจุด
ศิษย์น้อง ของ ฮุ่ยหนิง และ ลี่จิน แบกขึ้นบ่าไปทีละสองนาง

จนมันหวนกลับมาอีกครั้ง ขณะกำลังแบกร่างนางอีกสองนางขึ้นใส่บ่า
ฮุ่ยหนิง ลี่จิน และศิษย์ที่เหลือก็รู้ตัวหันเข้าต่อสู้กับ หมอวิปลาสอย่างสุดความสามารถ
พวกนางตั้งค่ายกล เจ็ดบุปผาพิชิตมาร ล้อมหมอวิปลาสไว้
หมอวิปลาสเห็นคับขันดังนั้น ก็เบื่อหน่ายที่จะต่อสู้ต่อไป
มันจึงกระโดดลอยตัวหนีไปจากวงล้อมนั้นทันที

หมอวิปลาส นำร่างนักบวชหญิงทั้งสี่คนที่จี้สะกัดจุดไว้ ไปไว้ในห้องลับ
มันพิศดูเรือนร่างของ นักบวชหญิงทั้งสี่ ก็ไม่มีคนใดที่จะสามารถเรียก
ความกำหนัดของมันคืนมาได้ มันจึงตัดสินใจเปลื้องผ้านักบวชหญิงทั้งสี่ออก

“เจ้าเฒ่าลามก …อย่านะ..อย่า ..ว๊ายยย….”

“แคว๊ก”

นักบวชหญิงทั้งสี่ เมื่อถูกเปลื้องผ้าออก กลับกลายเป็นร่างเปลือยของ
ดรณีวัยกำดัด งามผุดผ่อง นอนนิ่งเปิดเผยสัดส่วนอันพึงสงวน แห่งความเป็นหญิง
อย่างโจ้งแจ้ง มิว่าชายใดหากมาพบดรุณีในร่างเปลือยทั้งสี่นี้ ก็มิอาจยับยั้งไม่ให้มี
กำหนัดกำเริบขึ้นมาได้

แต่หมอวิปลิส กับเพียงรู้สึกว่าร่างทั้งสี่นั้นงามนัก แต่แก่นกายของมันกลับอ่อนนิ่งเช่นเดิม
มันทดลองใช้มือของมันแตะต้องร่างงามเหล่านั้น

“อย่านะ อย่า …เจ้าเฒ่าลามก …เอามือของเจ้าออกไป …อย่าาาาาา….”

“อย่าา…….ว๊ายยยยยยยยย…………..”

หมอวิปลิสใช้มือจับต้อง คลึงเค้นส่วนต่างๆของนางเหล่านั้นทุกนาง
แต่แก่นกายของมันก็ยังคงนิ่งเฉยอยู่ มันรู้สึกกลัดกลุ้มใจมาก

จนในที่สุดมันก็ตัดสินใจ หยิบยา เหมยฟ้ารัญจวน ใส่ปากของนักบวชหญิงทั้งสี่คน
ขณะที่นั่งรอให้ฤทธิ์ยากำเริบอยู่นั้น ก็มีเสียงเรียกอยู่ภายนอก

“ท่านหมอ ท่านหมอ ท่านหมอ”

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More