ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 6 หมอวิปลาสสมรัก
โดย zeech
เหม่ยเยี่ยถูกพันธนาการทั้งมือและเท้า ซ้ำดวงตาของนางก็ถูกคนของลัทธิเบญจธาตุใช้ผ้าผูกปิดไว้
นางรับรู้ได้แต่เพียงว่า ตนเองถูกจับโยนใส่รถเทียมม้า และมีเสียงฝีเท้าม้าจำนวนมากดังอยู่รอบด้าน
เวลาล่วงผ่านไปนานเท่าใด นางมิอาจทราบได้เลย จนในที่สุดขบวนคาราวาน และรถเทียมม้าก็หยุดลง
เหม่ยเยี่ยถูกลากตัวออกมาจากรถม้า ทั้งที่ร่างของนางยังถูกพันธนาการอยู่ ร่างของนางถูกลากเข้ามา
ในสถานที่แห่งหนึ่ง ที่มีแต่กลิ่นกำยาน และเครื่องหอมฟุ้งกระจายอยู่เต็มไปหมด พวกมันเปิด
ผ้าผูกตาของนางออก
เหม่ยเยี่ย พยายามเปิดเปลือกตาอย่างยากลำบาก จนเมื่อสายตาของนางชินกับแสงในที่นั้นแล้ว
ภาพที่อยู่เบื้องหน้าของนางก็ปรากฏขึ้นอย่างเลือนลาง และเริ่มเด่นชัดขึ้นในที่สุด
มันเป็นห้องโอ่โถงขนาดใหญ่ กลางห้องโถงนั้นถูกยกให้สูงขึ้นจากพื้น มีที่นั่งขนาดใหญ่ตั้งอยู่
ที่นั่งนั้นส่งแสงเรืองรองออกมาประดุจหุ้มด้วยทองคำ มีชายร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนที่นั่งนั้น
ใบหน้าของชายผู้นั้น มีแววแห่งผู้มีอำนาจฉายออกมา คิ้วหนา ดวงตาดุดัน ไว้เคราดำยาว
มันสวมใสเสื้อคลุมสีทองเหลืองอร่าม จ้องมองมาที่นาง
ข้างกายของมันมี ดรุณีนางหนึ่งดวงตากลมโตสดใส วัยราว สิบหกปี แต่งกายคล้ายเป็น
ดรุณีสูงศักดิ์กำลังจ้องมองมาที่นางเช่นกัน
เหม่ยเยี่ย หันมองไปโดยรอบ ก็พบกับ ทูตดิน ทูตน้ำ ทูตลม ทูตไฟ และ เหล่าบรรดา
ยอดฝีมือของลัทธิเบญจธาตุยืนรายล้อมอยู่ และยืนอยู่หน้าสุด มันคือ เทวทูตหน้าทอง
พลันชายที่นั่งอยู่บนบัลลังค์ทองก็พูดขึ้น
“เทวทูตหน้าทอง นางคนนี้รึ ที่เจ้าจัดหามาเป็นองครักษ์ประจำตัวบุตรสาวข้า”
เหม่ยเยี่ยเงยหน้าขึ้นสบตากับผู้ที่อยู่บนบัลลังค์ แล้วพูดขึ้น
“น่าขัน เจ้าคิดว่าข้าจะยอมรับใช้พวกเจ้ากระนั้นรึ”
“บังอาจ เจ้ากล้าล่วงเกินท่านเจ้าลัทธิรึ”
ทูตลม ตวาดขึ้นพร้อมก้าวขาออกมา
เจ้าลัทธิที่นั่งอยู่บนบัลลังค์มองไปที่ทูตลมแล้วยกมือห้าม
พลางหันกลับมาสบตากับ เหม่ยเยี่ย
“เจ้ามีนามว่าอะไร”
“ข้าชื่อ เหม่ยเยี่ย ขอข้าถามท่านบ้างได้หรือไม่”
เจ้าลัทธิยื่นมือออกมา เป็นความหมายเชื้อเชิญ
“เหตุใดพวกท่านจึงต้องเข่นฆ่า เหล่าชาวยุทธจงหยวน พวกเราไปทำสิ่งใดให้กับลัทธิของท่าน”
“หึ หึ ชาวยุทธจงหยวน หยามศักดิ์ศรีของพวกเรา มันลอบมาขโมย กระบี่เก้าศาสตรา
อันศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิเราไป”
“กระบี่ลัทธิของท่านหาย แล้วมาตู่เอาว่าชาวยุทธจงหยวนขโมยไป ท่านมี
หลักฐานสิ่งใด”
เทวทูตหน้าทอง ก็ชิงพูดขึ้นว่า
“ข้านี่แหละเป็นพยาน ข้าเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด มันเกิดขึ้นเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ชาวยุทธจงหยวนผู้นั้น
แฝงตัวเข้าปะปนกับคนในลัทธิของเรา อาศัยช่วงจังหวะที่ลัทธิของเรามีกำลังน้อย ลงมือเข่นฆ่าพวกเราล้มตาย
ไปหลายสิบคน แล้วลอบเข้าไปในห้องบูชาแห่งลัทธิเพื่อขโมยกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่มันกำลังลงมือชิงกระบี่
ออกไป ข้านี่แหละเป็นผู้ไปพบเข้าและประมือกับมัน ข้าได้เห็นใบหน้าของมันอย่างชัดเจน
มันคือ หานไป๋เจี้ยน ที่ชาวจงหยวนยกย่องให้เป็น หนึ่งในห้าเซียนเทพยุทธ
หึ หึ น่าอดสูยิ่งนัก ที่ชาวจงหยวนยกย่องเชิดชู คนที่ไม่มีคุณธรรมเยี่ยงนี้”
เหม่ยเยี่ยหัวเราะในลำคอแล้วพูดขึ้น
“ข้าไม่เชื่อ ท่าน หานไป๋เจี้ยน มีชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นผู้ทักษะยุทธที่ทรงคุณธรรม
เป็นเยี่ยงอย่างที่ดี ต่อชาวยุทธรุ่นหลัง เจ้าจะมากล่าวหาท่านโดยไม่มีหลักฐานไม่ได้”
“ได้…เจ้าจะได้รู้ในไม่ช้า หากมันทรงคุณธรรมอย่างที่เจ้าพูดจริง มันต้องออกมาปรากฏตัว
มิเช่นนั้น พวกเราชาวลัทธิเบญจธาตุ จะเข่นฆ่าชาวยุทธจงหยวนทุกคน จนกว่า หารไป๋เจี้ยน จะโผล่หัวออกมา”
“ถ้าเช่นนั้น ใยไม่ฆ่าข้าเสียเล่า จับตัวข้ามาด้วยเหตุใด”
เจ้าลัทธิเดินลงมาจากบัลลังค์แล้ว พูดว่า
“เจ้าเป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกให้มาเป็น องครักษ์ของบุตรสาวข้า”
แล้วหันไปสั่งกับบริวารที่ยืนอยู่เคียงข้าง
“เอาตัวนางไปส่งให้ เทพธิดาหมื่นพิษ เปลี่ยนนางเป็นองครักษ์หุ่นซะ”
[องครักษ์หุ่น คือ หญิงงามชาวจงหยวนที่ถูกลักพาตัวมา แล้วส่งตัวให้ เทพธิดาหมื่นพิษ ใช้พิษ สะกดวิญญาณ ทำให้หญิงงาม
เหล่านั้น มีเพียงร่างไม่รับรู้สิ่งใดๆจากภายนอก เปรียบเหมือนร่างไร้วิญญาณ ฟังและปฏิบัติตามคำสั่งผู้เป็นนายเท่านั้น ]
—————–
เฟยอี้ลืมตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า มันรู้สึกถึงสายพลังหลายสาย
ไหลเวียนอยู่ในร่าง เฟยอี้ลุกขึ้นนั่งเดินลมปราณ รวบรวมสายพลังที่เกิดขึ้นมาใหม่
ให้เป็นหนึ่งเดียว แล้วเดินพลังนั้นให้ไหลไปตามจักระทั้งเจ็ด รวมทั้งเปิดจุดสำคัญต่างๆในร่าง
บัดนี้เฟยอี้กลับมีกำลังภายในลึกลับแฝงอยู่ในร่าง เทียบเท่ากับผู้ที่ฝึกฝนมาเป็นเวลาสิบปี
มันลืมตาขึ้นมองไปโดยรอบ มองเห็นร่างเปลือยของนักบวชดรุณีทั้งสี่หลับใหลไม่ได้สติ
ก็รู้สึกสงสารพวกนางยิ่งนัก หากตื่นขึ้นมาพบตัวเองในลักษณะเช่นนี้
คงทั้งอับอายและเสียใจมาก มันตัดสินใจ เปิดห้องลับแต่งกายออกไปพบ หมอวิปลาสทันที
หมอวิปลาส กำลังนั่งพักหลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการถ่ายพลังให้กับลิ่มบ้อฮวย
มองเห็นเฟยอี้เดินออกมา ก็พูดขึ้น
“เจ้าเด็กน้อย เจ้ามาขอบคุณข้าที่ส่งเสริมเจ้าใช่หรือไม่”
เฟยอี้หน้าแดง ด้วยความละอาย แล้วพูดขึ้น
“ท่านหมอ ท่านเจ้าสำนัก ลิ่มบ้อฮวย เป็นเช่นไรบ้าง”
“ข้าขับไล่พิษออกไปได้บางส่วนแล้ว อาการของนางพ้นจากอันตรายแล้ว”
เฟยอี้ ปราดเข้าไปนั่งใกล้ๆ หมอวิปลาส พลางพูดขึ้น
“ท่านหมอ ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องท่าน”
หมอวิปลาสมองหน้ามันด้วยด้วยความแคลงใจ
“เจ้าจะมีเล่ห์เหลี่ยมใดก็พูดออกมา”
“ข้า..เอ่อ….ข้าอยากให้ท่านช่วยถอนฤทธิ์ยา เหมยฟ้ารัญจวน ให้แก่นักบวชหญิงทั้งสี่คน”
หมอวิปลาสได้ยินเช่นนั้น ก็ถอนหายใจ หลับตานิ่ง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า
“ข้าก็มิใช่ว่าจะไม่อยากทำ แต่ยาถอนฤทธิ์ ของ เหมยฟ้ารัญจวน ที่ข้าปรุงขึ้นนั้น
มันมีผลต่อเนื่องที่ร้ายแรง มันทำให้ผู้ที่กินยาถอนฤทธิ์เข้าไป ไม่สามารถมีความสุข
กับความรักได้อีก”
“ท่านหมอ ข้าคิดว่าทั้งสี่นางในห้องนั้นล้วนเป็นนักบวช นางคงตัดสินใจที่จะไม่ยุ่งเกี่ยว
กับทางโลกแล้ว ถ้าเปรียบกับให้นางต้องไปเป็น นางคณิกา ข้าคิดว่า กินยาถอนฤทธิ์
จะเป็นหนทางที่ประเสริฐกว่า”
หมอวิปลาส คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นตาม เฟยอี้ จะลุกขึ้นจากที่นั่งตรงไปที่ห้องลับ
เฟยอี้ฉุดมือหมอวิปลาสไว้ แล้วพูดขึ้นว่า
“ข้าขอวิงวอนท่านอีกเรื่องนึง ท่านมีวิธีลบความทรงจำของนางหรือไม่ ข้าไม่อยาก
ให้นางต้องทนทุกข์กับเรื่องนี้ มันทำให้ข้ารู้สึกผิด”
หมอวิปลาสก็ตวาดเสียงใส่ทันที
“เฮอะ ใยข้าต้องทำตามที่เจ้าขอทุกเรื่อง เจ้ากวนใจข้ามากเกินไปแล้ว เจ้าเด็กน้อย”
เฟยอี้ลุกขึ้น ชี้ไปยังใบหน้าของหมอวิปลาส พลางตวาดเสียงดัง
“ข้าทำไปเช่นนี้ ก็เพราะท่านนั่นแหละ ท่านหามีสติปัญญาที่จะทำก็พาลหาเรื่องกลบเกลื่อน
ใช่หรือไม่”
หมอวิปลาส โกรธหน้าแดง
“เจ้ากล้าดูถูกวิชาแพทย์ของข้ารึ ดีล่ะ ข้าจะแสดงให้เจ้าดู”
ทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องลับ หมอวิปลาสจี้สกัดจุดนักบวชหญิงทั้งสี่อีกครั้ง
แล้วหยิบขวดยา ถอนฤทธิ์ เหมยฟ้ารัญจวน ออกจากอกเสื้อของตน พลางพูดขึ้นว่า
“เจ้าจะกินบ้างหรือไม่ ฮ่าๆๆๆ”
เฟยอี้เบะปาก หันหน้าหนีไปทางอื่น พลางคิดในใจ
“ใครต้องการจะเป็นเช่นท่านเล่า”
หมอวิปลาส ให้ยาถอนฤทธิ์ เหมยฟ้ารัญจวน กับนางทั้งสี่แล้ว ก็หยิบกล่อง
ไม้สีแดงออกมา ภายในเป็นเข็มขนาดต่างๆ หมอวิปลาสเลือกเข็มขนาดเล็กขึ้นมา
สี่เล่ม แล้วค่อยๆฝังปลายเข็มลงไปตรงบริเวณต้นคอของนางทั้งสี่ อย่างระมัดระวังที่สุด
แล้วพูดขึ้นว่า
“เข็มที่ข้าฝังลงไปนี้ หากลึกเกินไปแม้เพียงธุลี พวกนางอาจเป็นบ้าได้ แม้ตื้นเกินไป
ก็จะไม่ได้ผล มีเพียงข้าเท่านั้นที่สามารถทำเช่นนี้ได้ วิธีนี้จะช่วยให้ลบความทรงจำ
ครั้งหลังสุดที่พวกนางมีออกไปได้ ”
เฟยอี้คุกเข่าลง ทำคารวะต่อหมอวิปลาส หมอวิปลาส ก้มมองดูมันอย่างเอ็นดู
ความจริงในใจลึกๆ ของหมอวิปลาสนั้น รู้สึกพอใจมันมาก แม้ในยามนี้ มันเพียงคิดถึง
แต่ผู้อื่น หาได้สนใจชะตากรรมตัวเอง
“เจ้าเด็กน้อย ถึงตอนนี้ เจ้าไม่คิดขอให้ข้าถอนพิษ หนอนไส้ขาดให้เจ้าเลยหรือ”
“ชีวิตข้า พบกับความยากลำบากมาตั้งแต่เกิด พ่อแม่ ญาติพี่น้องข้าก็ไม่มี
แม้ในวันข้างหน้าชีวิตของข้าจะสั้น หรือยาว ข้าหาสนใจไม่ ข้าขอเพียงมีความสุข
ในช่วงที่ข้ามีชีวิตอยู่เท่านั้น หากข้าสุขมากข้าก็จะแบ่งปันให้ผู้อื่นบ้าง จะเป็นหรือตาย
ในวันข้างหน้า ข้าหาสนใจไม่”
หมอวิปลาสเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างพึงพอใจ
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ ดี ..ดี..ปณิธานของเจ้า ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆๆ”
หมอวิปลาสทรุดกายลงนั่งแล้วพูดขึ้น
“เจ้าเด็กน้อย ข้าจะรับเจ้าไว้เป็นศิษย์ กระทำคารวะต่ออาจารย์ของเจ้าซะ”
เฟยอี้สบตาหมอวิปลาสนิ่งอยู่
“ท่านหมอ ท่านจะรับข้าเป็นศิษย์จริงหรือ”
น้ำตาของมันเอ่อท้นเต็มสองตา ในที่สุดชีวิตของมัน นอกจากตัวมันเอง
ก็มีผู้อื่นที่เป็นอาจารย์ของมันเพิ่มขึ้นแล้ว เฟยอี้ ก้มหัวลงแตะพื้น
กระทำคารวะต่อ หมอวิปลาสอย่างนอบน้อม
หมอวิปลาสหัวเราะอย่างพอใจ แล้วทั้งสองก็ช่วยกันใส่เสื้อผ้าให้นักบวชหญิงทั้งสี่
แบกร่างของพวกนางไปไว้ที่ใต้ร่มไม้ใกล้กับสถานที่ ที่หมอวิปลาสลักพาตัวพวกนางมา
แล้วทั้งสองก็กระโดดออกมาด้วยกำลังตัวเบาอันยอดเยี่ยมหายออกไปจากป่านั้น
ในคืนวันนั้น หลังจากให้การรักษาลิ่มบ้อฮวยแล้ว หมอวิปลาสก็ให้ยาแก้พิษหนอนไส้ขาด
แก่ เฟยอี้ แล้วพูดขึ้นว่า
“จากนี้ไป เจ้าเป็นศิษย์ของข้าแล้ว เจ้าต้องมีวิชาติดตัวอย่าให้เสื่อมเสียถึงตัวช้า
ข้าจะถ่ายทอดวิชาฝ่ามือชุดหนึ่งให้กับเจ้า ยื่นมือมาให้ข้า”
หมอวิปลาส จับข้อมือที่เฟยอี้ส่งมาให้ ตรวจดูชีพจร แล้วทำหน้าตกใจ ตาเบิกกว้างขึ้น
“เจ้าเด็กน้อย พลังลมปราณของเจ้ากล้าแข็งยิ่งนัก ฮ่าๆๆๆๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้ารู้จัก
ใช้ยาเหมยฟ้ารัญจวน ได้ดีกว่าข้าเสียอีก ฮ่าๆๆๆๆ”
เฟยอี้รู้สึกอับอาย นั่งนิ่งไม่พูดสิ่งใด
“เอาล่ะ ในเมื่อพลังลมปราณของเจ้ากล้าแข็งเช่นนี้ ข้าคิดว่าเจ้าคงสำเร็จวิชาฝ่ามือ
ของข้าได้ไม่ยากนัก ข้าจะถ่ายทอดวิชาฝ่ามือ มังกรล่องเมฆาให้เจ้า ฟังให้ดี
วิชาฝ่ามือมังกรล่องเมฆา มีทั้งสิ้นสิบหกกระบวนท่า ทุกท่วงท่าล้วนใช้การเคลื่อนย้าย
พลังวัตรอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องไปยังมือ และ เท้า เคล็ดลับจึงอยู่ที่ผู้ฝึกต้องมีกำลังภายใน
ที่กล้าแข็งและสามารถเคลื่อนย้านพลังวัตรได้อย่างตามใจปราถนา
หากฝึกถึงขั้นสูงสุด จะใช้กระบวนท่าที่หนึ่ง ถึงกระบวนท่าที่สิบหกได้อย่างต่อเนื่อง
ไหลเลื่อน วิชาฝ่ามือล่องเมฆานี้จะพิศดารมาก เปรียบประดุจคลื่นในมหาสมุทรใหญ่ยามมีพายุ
สาดซัดใส่ศัตรูอย่างไม่ขาดสาย
ตั้งแต่นั้นมาเฟยอี้ ก็ได้รับการถ่ายทอดกระบวนท่าของวิชาฝ่ามือมังกรล่องเมฆา
จากหมอวิปลาส และจดจำได้อย่างครบถ้วน
ย่างเข้าวันที่สาม ลิ่มบ้อฮวยมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นางเริ่มรู้สึกตัว
และรับรู้สภาวะภายนอกได้ แต่ยังไม่มีแรงที่จะลุกขึ้น นางรับรู้ถึงวิธีการรักษา
ที่หมอวิปลาสกระทำกับนาง ในครั้งแรกนางก็รู้สึกอับอายและโกรธแค้น
แต่เมื่อเห็นหมอวิปลาสถ่ายกำลังภายในให้นาง ด้วยความเหน็ดเหนื่อย และสวมใส่
เสื้อผ้าคืนให้โดยมิได้ล่วงเกินนางไปมากกว่านั้น นางก็เริ่มประทับใจในตัวหมอวิปลาสมากขึ้น
ในเย็นวันนั้น เฟยอี้เข้าไปพบหมอวิปลาสแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“อาจารย์ ข้าจะขอลาท่านออกตามหา ศิษย์ของท่านลิ่มบ้อฮวย นี่ก็หลายวันแล้ว
เหม่ยเยี่ยน่าจะพาพวกของนางมาพบ พวกเราที่นี่ได้แล้ว ข้าเกรงว่าพวกนางจะมีอันตราย”
“เจ้าเด็กน้อย พวกลัทธิเบญจธาตุมีฝีมือร้ายกาจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
เจ้าเทวทูตหน้าทอง แม้ตัวข้าเองก็มิอาจปะทะฝีมือกับมันซึ่งๆหน้า ตัวเจ้าหากไปพบกับมันเข้า
เจ้าจะทำเยี่ยงไร”
“แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ต้องออกไปสืบข่าวดู ข้าอยู่รอเช่นนี้ไม่ได้แล้ว”
หมอวิปลาสถอนหายใจออกมา
“ถ้าเป็นความตั้งใจของเจ้า ข้าก็จะไม่ขัด แต่ข้าขอเตือนว่า หากพบ
เทวทูตหน้าทอง อย่าได้ประมือกับมันเป็นอันขาด ตัวข้าก็มิอาจไปช่วยเจ้าได้
ข้าต้องดูแล แม่นางลิ่ม จนกว่าจะพ้นขีดอันตราย”
เฟยอี้พยักหน้ารับคำ แล้วเตรียมตัวออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น ก่อนออกเดินทาง
มันลอบเข้าไปในห้องลับ เพื่อขโมยยาขนานต่างๆของหมอวิปลาสติดตัวไป
แต่ด้วยความรีบร้อนทำให้ขวดยาใส่ยาล้มจนยาเม็ดหกปะปนกัน มันจึงเร่ง
รีบหยิบยาเม็ดเหล่านั้นคืนใส่ขวดด้วยเกรงว่า หมอวิปลาสจะรู้ตัว แล้วออกเดินทางทันที
——-
ข้างฝ่าย เว่ยฉิงคัง และน้องสาว เม่ยเม่ย บุตรของเว่ยน่ำเทียนประมุข
สำนักทวนผดุงคุณธรรม หนีรอดเหตุการณ์ในวันประลองยุทธออกมาได้
และเห็นคนของลัทธิเบญจธาตุสังหารบิดา ต่อหน้าตนเช่นนั้น
ก็มีความอาฆาตแค้นยิ่งนัก มันสาบานต่อฟ้าว่าสักวันมันต้องกลับมา
แก้แค้นให้ได้ มันพา เม่ยเม่ย น้องสาววัยสิบสี่ปีของมันมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ
สืบเสาะตัว บ้อเมี้ยวเล่านั๊งเพื่อกราบกรานเป็นอาจารย์ เมื่อครั้งบิดาของมันยังมีชีวิต
เคยเล่าให้มันฟังว่า
มีอัจฉริยะบุคคลท่านหนึ่ง เร้นกายอยู่แต่ในป่า มีความเชี่ยวชาญและแตกฉาน
ในวิชายุทธทุกประเภท นิสัยของมัน ชอบศึกษาคัมภีร์ยุทธ มันมักลอบขโมยคัมภีร์ยุทธ
และลักจำ วรยุทธแห่งสำนักต่างๆ มาเขียนเป็นตำราใหม่ ด้วยความเป็นอัจริยะในเชิงยุทธ
มันสามารถของมันดึงเอาจุดเด่นของวรยุทธแต่ละสำนักออกมา เขียนเป็นตำรายุทธใหม่
ที่มีความพิศดารเลิศล้ำ
บ้อเมี้ยวเล่านั๊ง ชอบการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ จึงมักออกจับชาวยุทธ
ที่เดินทางผ่านเข้าไปในป่าที่มันอาศัย มาเป็นคู่มือในการฝึกซ้อมวรยุทธ
และจะปล่อยตัวเมื่อคนคนนั้น มีสภาพใกล้ตายแล้วเท่านั้น
ด้วยความรอบรู้ และพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของมัน จึงมีฉายาว่า
“ปราชญ์พิศดาร”
เว่ยฉิงคัง และ เม่ยเม่ย ดั้นด้นเดินทางไปอย่างยากลำบาก จนในวันหนึ่ง
เว่ยฉิงคังและน้องสาวก็เดินทางมาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง มองลงไปยังเบื้องล่าง
เห็นเป็นหุบผาพื้นที่กว้างใหญ่ บริเวณกึ่งกลางพื้นที่นั้น เป็นตึกขนาดใหญ่
ประดับด้วยธงทิวหลากสี อาณาบริเวณโดยรอบตึกใหญ่นั้น มีกำแพงและทหาร
เฝ้ารักษาอย่างแข็งขัน เม่ยเม่ยเห็นดังนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ เบื้องล่างนั่นคือที่ใด พวกเราลงไปขออาศัยอาหารและที่พักสักหนึ่งคืน
ท่านว่าจะดีหรือไม่”
เว่ยน่ำเทียน เมื่อครั้งยังมีชีวิต เป็นจอมยุทธผู้มีอัธยาศัยเป็นดี มักเดินทางร่อนเร่
คบหาชาวยุทธไปทั่ว จึงมีความรู้เกี่ยวกับชาวยุทธที่กว้างขวาง ความรู้นั้นก็ตกทอด
มายังบุตรชาย เว่ยฉิงคัง ด้วย เว่ยฉิงคัง เพียงเห็นสัญลักษณ์ธงที่ประดับก็ทราบได้ทันที
ว่ามันคือสถานที่ใด จึงพูดขึ้นว่า
“นี่คือ วังหุบผาภูต มีอ๋องลีลู่ปัง เป็นประมุข วังหุบผาภูติ ปกติไม่เปิดเผยตน และไม่
ชอบยุ่งเกี่ยวกับชาวยุทธ เนื่องจากเป็นชุมชนเผ่าพันธุ์พื้นเมือง ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งให้
เป็นให้เป็นเมืองที่ปกครองตนเอง และแต่งตั้งท่านลีลู่ปัง เป็นอ๋องหรดี
วังหุบผาภูต มีวรยุทธที่ร้ายกาจมาก โดยเฉพาะวิชา พลังปราณภูตคำราม ว่ากันว่า
พลังปราณภูตคำรามนั้นมีความรุนแรงไม่เป็นรอง ฝ่ามือสุญญตา ของท่านทิกุ้ยชิ้ว
หนึ่งในห้าเซียนเทพยุทธเลยทีเดียว นอกจากนี้ ท่านอ๋องลีลู่ปัง ยังมีบริวารที่มีฝีมือ
ร้ายกาจอีกสี่คน คือ ภูติแพรขาว ภูติแพรเหลือง ภูติแพรแดง และ ภูติแพรเขียว
ข้าคิดว่า เราสมควรลองเสี่ยงเข้าไปคารวะทำความรู้จักดู บางทีท่านอ๋องอาจจะรู้จักบิดา
ของเราก็เป็นได้”
เม่ยเม่ย พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของ เว่ยฉิงคัง
ทั้งคู่ ตัดสินใจเดินลงจากเขา ตรงไปยังวังหุบผาภูติทันที
แต่ยังไม่ทันถึงกำแพงที่ล้อมรอบตัวตึก ก็มีเสียงของสตรี
นางหนึ่งตวาดก้องออกมา
“หยุด และหันหลังกลับออกไปซะ วังหุบผาภูต ไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า”
เว่ยฉิงคัง หันหน้ามองไปตามต้นเสียง ก็พบสตรีสี่นาง แต่งกายด้วยอาภรณ์
ต่างสีกัน สตรีที่เป็นเจ้าของเสียงที่ตวาดออกมาสวมอาภรณ์สีขาวล้วน
ส่วนอีกสามนางที่อยู่เบื้องหลัง ก็สวมอาภรณ์ สีเหลือง สีแดง และสีเขียว
ต่างกันไป เว่ยฉิงคังทราบได้ทันทีจากการแต่งกายว่าพวกนางคือ
ภูติหญิงทั้งสี่ ของวังหุบผาภูติ จึงพูดออกมาว่า
“ขอคารวะ ท่านภูตทั้งสี่ ข้าพเจ้า เว่ยฉิงคัง แห่งสำนัก ทวนผดุงคุณธรรม”
ภูตแพรขาว ได้ยินว่ามาจากสำนัก ทวนผดุงคุณธรรม ก็จำได้ทันทีถามขึ้นว่า
“เจ้าเป็นอะไรกับ เว่ยน่ำเทียน ประมุขของ สำนัก”
“ท่านประมุข เว่ยน่ำเทียนเป็นบิดาของข้า และนี่คือ เม่ยเม่ย น้องสาวของข้า”
งั้นเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปแจ้งต่อองค์หญิง ลีลู่อิน
เว่ยฉิงคังได้ยินดังนั้นก็ขัดขึ้น
“เออ ท่านอ๋องไม่อยู่ที่นี่หรือ”
“ท่านอ๋อง เก็บตัวฝึกพลังลมปราณมาสองปีแล้ว คงอยู่แต่ องค์หญิง ลีลู่อิน เท่านั้น”
ในที่สุดทั้งสองพี่น้องก็ถูกเชิญให้เข้าไปภายในนั่งรอในห้องรับรอง
จนในที่สุด องค์หญิงลีลู่อิน ก็เดินเข้ามาในห้องรับรอง เว่ยฉิงคังเหลือบมองไปที่
องค์หญิงก็ถึงกับตะลึงงัน ดรุณีในอาภรณ์ขาวล้วน ผมดำยาวสลวยประดับด้วย
เครื่องทรงตกแต่งอันมีค่า คู่ควรกับฐานะ ใบหน้าของนางงามประดุจเทพธิดา
ดวงตากลมโตของนางนั้น ไม่ว่าเป็นบุรุษใดได้สบตาด้วย ก็จะต้องตกอยู่ใน
ภวังค์เช่นเดียวกัน
องค์หญิงลีลู่อิน หยุดยืนแล้วพูดขึ้น ต่อเว่ยฉิงคังด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“ท่านมาเยือนที่นี่ด้วยเหตุอันใด”
เว่ยฉิงคังตั้งสติได้ก็พูดออกไปว่า
“บิดาของข้า ถูกสังหารอย่างเลือดเย็น ด้วยฝีมือของลัทธิเบญจธาตุ
ข้าพเจ้าจึงใคร่ขอพบกับบิดาของท่าน เพื่อขอความช่วยเหลือในการ
ล้างแค้นพวกลัทธิเบญจธาตุ”
“ข้าขอแสดงความเสียใจ ต่อการจากไปของบิดาของท่าน แต่
บิดาของข้าเก็บตัว ฝึกพลังลมปราณ ท่านมีคำสั่งไว้ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้าม
รบกวน ทั้งยังไม่มีกำหนดเวลาที่แน่นอน ข้าเองก็เป็นเพียงสตรี
คงมิอาจช่วยท่านได้”
เว่ยฉิงคังอ้ำอึ้ง พูดสิ่งใดไม่ออก
องค์หญิงลีลู่อิน มีใบหน้าสงบราบเรียบ แล้วพูดขึ้นว่า
“ปกติ วังหุบผาภูติ ไม่ต้อนรับ อาคันตุกะ แต่เห็นแก่ไมตรีของบิดาท่าน
และบิดาข้าที่มีต่อกัน ข้าจะยอมละเว้นกฎของวังหุบผาภูติ สักครั้ง
ท่านทั้งสองสามารถพักชั่วคราวที่นี่ได้ แต่ภายสามวัน ท่านต้องออกไปจากที่นี่”
เมื่อพูดจบ นางก็เดินออกจากห้องรับรองไป ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนรับใช้
พาทั้งสองพี่น้องไปพักผ่อนในส่วนที่เตรียมไว้
ในค่ำวันนั้น เม่ยเม่ย ขอตัวกลับไปนอนในห้องด้วยความอ่อนเพลีย
แต่เว่ยฉิงคัง ยังคงนอนลืมตาโพลง มันครุ่นคิดสิ่งหนึ่งอยู่ มันคิดว่า
ท่านอ๋องไม่อยู่ที่วังหุบผาภูติ ก็อาจนับเป็นสิ่งดี ในเวลาที่เหลืออยู่ มันจะต้อง
สืบหาที่เก็บ คัมภีร์ พลังปราณภูติคำราม ให้ได้ หากได้คัมภีร์นี้ไป
ความหวังที่จะแก้แค้นให้ผู้เป็นบิดาก็ใกล้ความจริงแล้ว
—————-
หลังจากเฟยอี้ออกเดินทางไปได้สามวัน อาการของลิ่มบ้อฮวยก็ดีขึ้นจนเกือบ
เป็นปกติ นางสามารถเดินได้ด้วยตนเองแล้ว แต่กำลังภายในยังไม่ฟื้นคืน
ในระหว่างที่หมอวิปลาสเดินเข้ามา นางก็เอ่ยขึ้นว่า
“ท่านหมอ ข้าต้องขอขอบคุณท่านจริงๆ หากไม่ได้ท่านข้าคงตายไปแล้ว”
“แม่นางลิ่ม เจ้าอย่าได้เกรงใจ ข้ามีความเต็มใจที่จะทำเพื่อเจ้า”
หมอวิปลาสพูดพลางสบตากับนาง ในใจของมันส่วนลึกไม่อยากให้
อาการของนางดีขึ้นเลย มันเกรงว่าหากวันนั้นมาถึง นางคงจะต้องจากมันไป
ลิ่มบ้อฮวย เองตั้งแต่รู้สึกตัว ก็ทราบดีถึงอาการของหมอวิปลาส นางมองออก
ว่ามันมีใจให้กับนาง แต่ตัวนางเองก็เป็นหญิงที่ผ่านการมีสามีแล้ว ทั้งตัวนาง
ก็มีตำแหน่งเป็นถึงเจ้าสำนัก ทำให้นางไม่กล้าเปิดใจที่จะรับความรักใหม่ได้โดยง่าย
ลิ่มบ้อฮวยเปลี่ยนเรื่อง ถามถึงสิ่งที่ตนเองต้องการทราบขึ้นว่า
“ท่านหมอ ตอนที่ท่านช่วยข้า ท่านได้เห็นผู้อื่นบ้างหรือไม่”
“ศิษย์ของข้าเป็นคนที่แบกร่างของเจ้ามา ข้าไม่เห็นผู้ใดอีก”
หมอวิปลาสตอบแต่ปิดบังความจริงไว้ เพื่อมิให้ ลิ่มบ้อฮวยเกิดความกังวล
แล้วหมอวิปลาสก็ชวนให้ ลิ่มบ้อฮวย เข้าไปในห้องลับ เพื่อใช้ลมปราณขับไล่พิษ
ลิ่มบ้อฮวยรู้สึกอับอาย กับการรักษาด้วยวิธีนี้ที่สุด จึงพูดขึ้นว่า
“ท่านหมอ ข้ามีอาการดีขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นที่ท่านต้องมาเหน็ดเหนื่อย
เพื่อข้าอีก”
หมอวิปลาสรีบตอบเสียงเข้มทันที มันเกรงว่าจะลิ่มบ้อฮวยจะไม่ยอมให้มันรักษาอีก
“ไม่ได้แม่นางลิ่ม ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ที่พิษจะหมดไปจากตัวเจ้า
มิฉะนั้นมันจะกลับกำเริบขึ้นมาอีก”
พูดจบมันก็จูงมือ ลิ่มบ้อฮวย หายเข้าไปในห้องลับ แล้วปิดประตูทันที
ลิ่มบ้อฮวยนั่งลงบนเตียงหันหน้ามาประสานกับหมอวิปลาส ขั้นตอนนี้
เป็นขั้นตอนที่นางรู้สึกเขินอายที่สุด หมอวิปลาสแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
แต่กลับพูดออกมาว่า
“เอ้า แม่นางลิ่ม ถอดเสื้อของเจ้าออก”
ลิ่มบ้อฮวย เลื่อนมือไปเปลื้องเสื้อของนางออกอย่างเชื่องช้า แล้วเอามือของนาง
ปิดทรวงอกไว้
หมอวิปลาส มองดูอย่างขัดเคืองใจ แล้วพูดขึ้นว่า
“เจ้าเอามือปิดไว้อย่างนี้ แล้วข้าจะรักษาเจ้าได้อย่างไร
ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เจ้าต้องอดทนหน่อยนะ แม่นางลิ่ม”
พูดจบหมอวิปลาสก็ดึงมือของนางออกจากทรวงอก ถันสองข้างของนาง
ก็ปรากฏแก่สายตามันทันที ก่อนหน้านี้ถึงแม้ว่ามันจะเคยเห็นมาแล้ว
แต่ครั้งนี้กลับผิดกัน ครั้งนี้นางรู้สึกตัว มีอาการดีขึ้นเกือบเป็นปกติ ทำให้มัน
ไม่ต้องเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของนาง ซ้ำครั้งนี้ยังต้องลอบมองไม่ให้นาง
เกิดความอับอาย มันยิ่งทำให้ช่วยยั่วยุกำหนัดของมันมากขึ้น
ลิ่มบ้อฮวยถึงแม้จะมีวัยล่วงเข้าสามสิบหกปีแล้ว แต่ถันทั้งสองของนาง
กลับเต่งตึงประดุจสตรีวัยยี่สิบเศษ หมอวิปลาสเดินพลังไปที่ปลายนิ้วมือข้างซ้าย
แล้วจี้ไปที่จุด ถางจง อันอยู่กึ่งกลางระหว่าง ถันทั้งสองข้าง เหมือนเช่นเคย
แล้วเดินลมปราณไปที่ปลายนิ้วข้างขวา เลื่อนขอบกางเกงของนางลง
ครั้งนี้มันแกล้งดึงลงให้ต่ำกว่าปกติ จนมองเห็นไรขนสีดำสนิทโผล่ขึ้นมา
โดยที่นางเองก็ไม่รู้ตัว มันเผลอจ้องมองไปที่จุดนั้นจนตาแทบถลน
แท่งเอ็นของมันแข็งผงาดขึ้นมาทันที มันส่งนิ้วข้างขวาไปที่ จุด กวานหยวน
ซึ่งอยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าสะดือลงไปหนึ่งฝ่ามือ อย่างสั่นเทา
หมอวิปลาสจ้องมองไปที่ดวงตาของ ลิ่มบ้อฮวย แต่ครั้งนี้มันเต็มไปด้วยเพลิง
กำหนัดที่ลุกโชน จนลิ่มบ้อฮวยเกิดอาการสะท้านในอารมณ์ แล้วหลบตา
หมอวิปลาสเสีย หมอวิปลาสเองมันก็รู้แก่ใจมันดี ว่าขั้นตอนการรักษานี้
ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างไรแล้ว มันแสร้งย้ายปลายนิ้วของมันจากกึ่งกลางอก
มาจี้สัมผัสเข้าที่ยอดถันข้างนึงของลิ่มบ้อฮวย
ลิ่มบ้อฮวยถึงกลับสะดุ้งกาย เหลือบตามองดูหน้ามัน แต่มันกลับแสร้งหลับตา
เดินพลังปราณอย่างตั้งใจ ตั้งแต่ลิ่มบ้อฮวยเป็นม่ายมาอย่างยาวนาน
นางก็ไม่เคยแยแสกับบุรุษใด อารมณ์กำหนัดของนางถูกแช่แข็ง
กับการขมักเขม้นฝึกวรยุทธมาเป็นเวลาแรมปี แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
ในหลายสิบปีที่มีบรุษเพศมาแตะต้องยอดถันของนาง ความกำหนัดที่ถูกเก็บ
กดไว้ก็เริ่มแสดงฤทธิ์ออกมา และสิ่งใดที่ถูกกักเก็บไว้เป็นเวลานานๆ
ยามเมื่อมันปะทุออกมา ก็จะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง ยอดถันของนางแข็งตั้งขึ้นทันที
จนหมอวิปลาส สังเกตเห็น มันมีความเชี่ยวชาญในเรื่องเช่นนี้อย่างมาก
มันรู้ได้ทันทีว่าโอกาสของมันมาถึงแล้ว มันแสร้งให้น้ำหนักไปที่ปลายนิ้วมากขึ้นอีก
แล้วเริ่มส่ายควงนิ้วมืออย่างช้าๆ
ลิ่มบ้อฮวยยืดตัวตรงแอ่นอกไปข้างหน้าอย่างลืมตัว นางปิดเปลือกตาลง
สกัดกั้นความเสียวสยิวที่กำลังรุกรานเข้ามา เป็นโอกาสงามของหมอวิปลาส
มันใช้สายตาจ้องมองไปที่เต้ากลมกลึงทั้งสองข้างอย่างหื่นกระหาย มันอยากจะก้มลง
ลิ้มรสความหอมหวานของยอดถันของนางใจจะขาด แต่ก็สู้ทนสะกัดกั้นความอยากนั้นไว้
มันเหลือบมองไปที่ส่วนล่าง ใต้สะดือ จุดที่นิ้วมือของมันสัมผัสอยู่ มันค่อยๆเลื่อนนิ้วมือ
ของมันให้ต่ำลง อย่างช้าๆ จนในที่สุดนิ้วมือของมันก็สัมผัสเข้ากับ ขนสีดำอ่อนละเอียดของนาง
แก่นกายของมันแข็งตึงจนอยากจะผงาดออกมาข้างนอก ใจของมันเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น
และหื่นกระหาย
ในที่สุดความกำหนัดของมันก็ชนะ มันยอมเสี่ยงที่จะเลื่อนตำแหน่งมือของมันให้ต่ำลงไปอีก
แต่คราวนี้ไม่ใช้นิ้ว มันกลับเป็นทั้งฝ่ามือ ไหลเลื่อนไปเกาะกุมเนินสวาทที่เบ่งบานออก
จากท่านั่งขัดสมาธิของนาง ภายนอกกางเกงอันบางเบานั้น นิ้วกลางของมันทาบทับลง
ตรงร่องกลางเนินสวาทนั้น ปลายนิ้วของมันสัมผัสเข้ากับติ่งสวาทของนางอย่างแม่นยำ
แม้จะเป็นภายนอกร่มผ้า แต่ก็สัมผัสได้ถึงความโหนกนูนและกว้างใหญ่ของนางได้เต็มฝ่ามือ
ลิ่มบ้อฮวยตกใจสุดขีดคาดไม่ถึงว่าจะถูกหมอวิปลาสจู่โจมอย่างรวดเร็วเช่นนั้น
นางพยายามเรียกสติกลับมา เพื่อปัดป้อง แต่เมื่อถูกหมอวิปลาสระรัวนิ้วกลาง
ที่ทาบทับอยู่ที่ติ่งสวาทเข้า สติของนางก็หนีเตลิดไปอีก ใจของนางสั่นหวิว
เสียวสะท้านไปทั้งร่าง ความกำหนัดที่เก็บกดเอาไว้ แตกทะลักออกมา
จนนางต้องครางออกมาเสียงสั่นพร่า เป้ากางเกงของนางเริ่มเปียกจาก
ความกำหนัดที่พุ่งขึ้น
หมอวิปลาสเห็นอาการนางเป็นเช่นนั้นก็ได้ใจ เตียมจะซุกใบหน้าของมันลงไป
ดูดกินยอดถันงามนั้น แต่มือของนางกลับผลักหน้าของมันออก นางสลัดกายลุกขึ้น
ลงมาจากเตียงนั้น แล้วก้มหน้าลงไม่พูดสิ่งใด นางต้องใช้ความอดทนอย่างมาก
ที่ใช้สะกัดความกำหนัดของนางในตอนนี้
หมอวิปลาสเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ มันรู้สึกสิ้นหวัง ห่อเหี่ยว มันรู้ได้ทันทีว่า
จะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว มันพูดขึ้นว่า
“ข้าขออภัยด้วย แม่นางลิ่ม ข้าทำไปเพราะความรักที่มีต่อเจ้าจริงๆ”
หมอวิปลาส เลื่อนร่างลงจากเตียงเตรียมจะไปหยิบเม็ดยาบนชั้น
เพื่อให้นางกินเหมือนเช่นเคย
ลิ่มบ้อฮวยเห็นดังนั้นก็พูดขึ้น
“ไม่ต้องท่านหมอ ข้าหยิบเอง ”
นางตรงไปหยิบยาในขวดที่นางจำได้ว่า หมอวิปลาสหยิบให้นางกินทุกครั้ง
นางหยิบเม็ดยาใส่ปากแล้วเดินตรงมาหาหมอวิปลาสแล้วพูดขึ้นว่า
“ข้าขอขอบคุณในความรักที่ท่านมีต่อข้า แต่ข้ายังทำใจไม่ได้ที่จะมีสามีอีก
ขอท่านโปรดเข้าใจข้าด้วย”
ลิ่มบ้อฮวย และหมอวิปลาส หาได้รู้ตัวเลยซักนิดว่า ยาบำรุงที่ลิ่มบ้อฮวยกินเข้าไป
กลับกลายเป็นยา เหมยฟ้ารัญจวน เพราะความสะเพร่าของ เฟยอี้ที่ทำไว้
ก่อนจะออกเดินทางนั่นเอง เวลาผ่านไปได้ไม่นานขณะที่ลิ่มบ้อฮวย กำลังปลอบใจหมอวิปลาส
ที่กำลังเซื่องซึมอยู่นั้น พลันลิ่มบ้อฮวยก็เกิดกำหนัดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
นางพยายามสกัดกั้นอารมณ์ตนเองทุกวิธี แต่มันกลับพุ่งสูงขึ้นจนนาง
มิอาจต้านได้อีกต่อไป นางถอดเสื้อที่นางใส่กลับไป ออกอีกครั้ง
“โอว…ท่านหมอ..ท่าน..ช่วยข้าด้วย”
หมอวิปลาสเห็นอาการของนางที่เปลี่ยนไป ก็รู้ได้ทันทีว่า เป็นเพราะ
ยา เหมยฟ้ารัญจวนของมันเป็นแน่ แต่เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว
มันก็ยินดีที่จะสนองให้นางแล้ว
หมอวิปลาสเดินตรงเข้าไปช้อนร่างของนางขึ้นมาบนเตียงอีกครั้ง
มันก้มหน้าลง ที่ทรวงอกของลิ่มบ้อฮวย แล้วดูดกินยอดถันของนาง
อย่างหื่นกระหาย มือของมันบดบี้ คลึงเค้นถันกลมกลึงทั้งสองข้างของนาง
อย่างสาแก่อารมณ์ของมัน
ลิ่มบ้อฮวย เกิดอาการอ่อนระทวย แอ่นอกอย่างสุดเสียว ร่างของนางขยับไปมา
ด้วยความเสียวซ่านไม่หยุด
“ซี๊ดด……ซี๊ดด….ซี๊ดด….ซี๊ดด”
มือของหมอวิปลาสเลื่อนลงไปเกาะกุมเนินสาวาทของนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้
มันสอดมือเข้าไปสัมผัสเนินเนื้อแท้ๆของนาง มันรับรู้ถึงความอ่อนนุ่ม โหนกนูน
และชื้นแฉะ มือของมันลูบไล้สัมผัสไปทุกอณูของนางอย่างหลงไหล
หมอวิปลาสเลื่อนใบหน้าต่ำลงมา แล้วรูดกางเกงของลิ่มบ้อฮวยออก มันต้องการ
ยลความงามของนางให้ประจักษ์กับสายตาของมัน ทันทีที่กางเกงของนางหลุดออก
เนินสวาทที่อวบอิ่ม และ กว้างขวางของ ลิ่มบ้อฮวยก็ปรากฎแก่สายของมันทันที
มันจ้องมองแล้วยิ้มอย่างพึงพอใจ
“อู้ว..เรือนร่างของเจ้าช่างสวยงามแท้ๆ”
หมอวิปลาสดึงหมอนที่ใช้หนุนศรีษะคนไข้มาสอดใต้สะโพกของลิ่มบ้อฮวย
ส่งผลให้ เนินสวาทของนางยิ่งผงาดง้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หมอวิปลาส
มองดูแล้ว อดใจไม่ไหว จรดริมฝีปากของมันโลมไล้ไปทั่วเนินสล้างนั้นทันที
“อูยยยยย……ข้าเสียว ….เสียว ..ท่านหมอ …อูยยย”
และแล้ว ลิ่มบ้อฮวยก็ส่งเสียงดังลั่นไปทั้งห้อง เมื่อหมอวิปลาสใช้ปากดูดซด
ติ่งสวาทของนางอย่างรุนแรง
“ซู้ด….ซู้ด…ซู้ด…ซู้ด…แผล็บ..แผล็บ..แผล็บ”
“อ๊ายยยย….อ๊ายย…ข้าเสียว….ข้าไม่ไหวแล้ว….อ๊ายย”
ลิ่มบ้อฮวย ทนต่ออาการเสียวไม่ไหว ร่างของสั่นกระตุกไปทั้งร่าง ดวงตา
เคลิบเคลิ้มล่องลอยไปกับความสุขที่พุ่งแล่นเข้ามา
“โอ้ะ…โอ้ว…..ฮ่าาา………”
แต่หมอวิปลาสไม่หยุดแค่นั้น มันยังคงดูดกินอย่างไม่รู้อิ่ม พลางสอดลิ้นของมัน
แทงเข้า แทงเข้า ในหลืบสวาทของนางจนนางต้อง ร้องครวญครางอย่างสุดเสียวอีกครั้ง
“อ๊ายยยย….อ๊ายย…อ๊ายย…อู้ววว…….”
ร่างของนางสั่นกระตุกสามสี่ครั้ง แล้วทิ้งร่างลงอย่างเหนื่อยอ่อน
นางถูกหมอวิปลาสกลั่นแกล้งให้มีความสุขอย่างเหนื่อยอ่อนเช่นนี้ถึงสี่ครั้ง
จนนางไร้เรี่ยวแรงนอนหอบระทวยอยู่ หมอวิปลาสถึงคราวแสดงบทโหด
มันก็หามีความปราณีไม่ มันจับร่างของนางหงายหน้าขึ้น แล้วเปลื้องผ้าของมัน
ออก จนมองเห็นแก่นกายที่ยาวใหญ่ของมันประดุจกระบองของมัน จนลิ่มบ้อฮวย
เห็นแล้วถึงกับเสียววูบไปทั้งช่องท้อง มันจับกระบองของมันถูไถไปตามร่องสวาท
แล้วดันส่วนหัวเข้าไป แล้วคาไว้อยู่เช่นนั้น มันก้มลงจูบปากกับลิ่มบ้อฮวย
แล้วค่อยๆขยับบั้นเอวของมันควงไปมาอย่างชำนาญ จนเนินสวาทของนางเปิดอ้าออก
รับขนาดกระบองของมัน แล้วมันก็ดันพรวดเข้าไป จนลิ่มบ่อฮวยผวาเฮือก
จากนั้นบทรักของทั้งคู่ก็สอดประสานไปด้วยเสียงครวญครางของคนทั้งคู่
กระบองอันใหญ่โตของหมอวิปลาส กระแทกกระทั้นอย่างรุนแรง
และสาสมแก่อารมณ์ของมันที่ไม่ได้ใช้งานมาอย่างยาวนาน
ส่วนลิ่มบ้อฮวยก็ดุจเดียวกัน หลืบสวาทของนาง ไม่เคยถูกชายใดล่วงล้ำ
มานานนับสิบปี ตั้งแต่สามีของนางตายไป มันจึงทั้งบีบรัด และหนึบแน่น
ประดุจหญิงในวัยสาว นางยอมรับว่า บทรักของหมอวิปลาสสร้างความ
สุขให้นางมาก อย่างที่ไม่เคยได้รับจากสามีของนางมาก่อน
ความเสียวซ่านที่นางได้รับเริ่มพุ่งขึ้นอีกครั้งตามจังหวะที่กระบองยักษ์
ของมันโหมกระหน่ำลงมา เร็วขึ้น และเร็วขึ้น ความเสียวซ่านของนางก็พุ่งมากขึ้น
จนต้องผ่อนคลายด้วยเสียงครวญคราง
โอ้ว…โอ้ว…โอ้ว…โอ้ว.โอ้ว.โอ้ว.โอ้ว.โอ้ววววว………”
น้ำรักจากกระบองยักษ์ของหมอวิปลาส พุ่งสาดกระจายเข้าไปในโพรงสวาทของ
ลิ่มบ้อฮวย มันครางออกมาอย่างสุขสม เช่นเดียวกับลิ่มบ้อฮวย ที่แอ่นเนินสวาท
ค้างนิ่งอย่างสุดเสียว พร้อมกับปล่อยเสียงครางอย่างสุขสมออกมาเช่นกัน
ทั้งคู่ล้มพับลงด้วยความเหน็ดเหนื่อย และหลับผล็อยไปอย่างมีความสุข