กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 31
โดย saradio
ตูตู้หลุนพูดจาอากัปกิริยาแบบนี้ ไม่บอกก็คงรู้ ว่าอาเจินคงเล่าให้นางฟังแล้ว เรื่องผมมีอะไรกับฮูหยินรอง
ยามนั้นเหลือบตาแลมองดูนาง เห็นนางยามแสดงความหึงหวงนั้นอากัปกิริยากลับน่าดูไม่น้อย จะว่าไป ตูตู้หลุนนั้น ไม่เคยแสดงจริตผู้หญิงมากมายนัก เนื่องเพราะนางเป็นชาวยุทธจักรหยาบกระด้าง เติบโตมากับเหล่าบุรุษ ครั้งเจอนางใหม่ๆ อุปนิสัยบุคลิกในยามนั้น ก็ไม่ต่างจากทอมบอยในยุคปัจจุบัน
แต่หลังจากได้นางเป็นเมียแล้ว นางอยู่คลุกคลีตีโมงกับอาเจินมานาน จึงซึมซับความเป็นอิสตรีขึ้นมาบ้าง พลันจะเห็นชัดในตอนนี้ ที่นางแสดงความหึงหวงผ่านทางอากัปกิริยาและคำพูด ผมรู้สึกว่านางดูน่ารัก จนอดไม่ได้ที่จะยิ้มมอง แม้ไม่ได้เห็นสีหน้านาง แต่อากัปกิริยา ก็น่าดูยิ่ง
ตูตู้หลุนเข้าใจว่าผม ยังยิ้มหยอกล้อก่อกวน นางมีอารมณ์เง้างอนขุ่นใจอยู่แล้ว พลันนึกโมโหมันไส้ จึงทำเป็นยกกระบี่จะแทงจริงๆ
ผมรู้ว่านางเพียงแต่ทำท่าทีข่มขู่ มิกล้าแทงจริง แต่ก็อดหวาดเสียวมิได้ รีบกระโดดถอยให้พ้นรัศมี ร้องห้ามว่า
“อย่าได้เล่นแบบนี้ เดี๋ยวผีผลัก เจ้าจะเป็นม่ายเอา”
ตูตู้หลุนจึงเก็บกระบี่คืนฝักอย่างเสียมิได้ ยามนั้นผมจึงได้สังเกตเห็น สิ่งผิดปกติบนใบหน้าที่โผล่พ้นผ้าคลุมหน้าของนาง รู้สึกขนคิ้วนางเรียงเป็นรุปสวยกว่าแต่ก่อน ขอบตามีสีสันดังฉาดแต้ม ยามนึกสงสัยจึงเข้าไปกระตุกดึงผ้าคลุมหน้าของนางออก
ตูตู้หลุนมิทันได้ระวัง จึงไม่ได้ปัดป้อง พลันได้เห็นหน้าของนางที่เติมแต่งไปด้วยเครื่องสำอางอย่างจัดเต็ม ผมถึงกับปล่อย หัวเราะดังคริก ที่หัวเราะมิใช่ว่านางไม่สวย นางดูสวยงามยิ่ง เพียงแต่ว่า ยามปกตินางมิเคยแต่งหน้า ยิ่งตอนนี้ ต้องทำตัวเป็นโจรลักลอบเข้าบ้านผู้อื่น จะแต่งหน้ามาเพื่อการใด
ตูตู้หลุนเห็นผมพอเห็นหน้านางแล้ว ก็หัวเราะ พลันรู้สึกอับอายจนฉุนเฉียว ตวาดเสียงขบเขี้ยวในลำคอ ว่า
“ท่าน หัวรออันใด ข้าพเจ้าตลกนักหรือ”
พลันรีบคว้าผ้าคลุมหน้าในมือผม ไปมัดคลุมเหมือนเดิม ผมว่าการนี้ตูตู้หลุนคงไมได้เป็นคนคิดเอง ย่อมต้องมีคนยุยงส่งเสริม จึงถามว่า
“ผู้ใด แนะนำให้เจ้า ทำเช่นนี้”
คราวนี้ตูตู้หลุนถึงได้บ่นระบายตัดพ้อ ว่า
“ก็พี่เจิน บังคับจับข้าพเจ้าแต่ง ข้าพเจ้าบอกแล้วว่าไม่แต่ง นางก็ไม่ยินยอม ภายหลังจับข้าพเจ้านั่งแต่งหน้าทาปากเสียครึ่งชั่วยาม จึงค่อยได้ออกมา”
ผมฟังจนกลั่นหัวร่อ เข้าใจดีว่าอาเจินทำเช่นนี้ทำไม นางกลัวผมจะเผลอไผลหลงไปกับเสน่ห์ฮูหยินรอง เมื่อตูตู้หลุนจะมาพบผม จึงจับนางแต่งหน้าทาปาก เติมแต่งเสียจนงดงามผุดผ่อง เผื่อเตือนใจให้ผมรู้ว่า เมียตัวเองก็มีดีกว่าเป็นไหนๆ
นับว่าความคิดของอาเจินนั่นได้ผล ความจริงตูตู้หลุนแม้ไม่ได้แต่งหน้าก็เป็นสาวสวยหน้าตาคมคายอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่ออยู่ด้วยกันนานๆอาจจะดูชินตาไป พอนางแต่งหน้าทาปากแล้วจึงดูสวยผิดแปลกไปจากเดิม เมื่อมองแล้ว มีความรู้สึกไม่ต่างจากได้เมียใหม่
นางเมื่อเห็นผมหัวเราะ ก็เข้าใจผิดคิดว่าตนเองไม่เหมาะกับรูปลักษณะเช่นนี้ จึงเอาผ้าคลุมหน้าไปผูกโพกปิดไว้เช่นเดิม ท่าทีของนางบูดบึ้งคล้ายกับไม่พอใจ ผมเห็นดังนั้น จึงเดินเข้าไปสวมกอดด้านหลัง เอาตัวแนบประกบ แก้มแนบแก้ม พูดกระซิบเบาๆ ว่า
“ข้าหัวเราะ เจ้าโกรธหรือ”
ตูตู้หลุน ไม่ตอบเพียงแต่ส่งเสียง ดัง ชิ ผมจึงพูดเสียงออดอ้อนว่า
“ที่ข้าหัวเราะ มิใช่ว่าตลก หากแต่ชมชอบ และเจ้าก็ดูงดงามยิ่ง”
พลันหอมแก้มนางฟอดใหญ่ผ่านผ้าปิดคลุมหน้าของนาง ตูตู้หลุนพอโดนง้อเช่นนี้ก็ค่อยหายโกรธ ถึงกลับเผยยิ้มภายใต้ผ้าคลุมหน้า เมื่อนางพลันอารมณ์ดีแล้ว ก็นึกขึ้นมาได้ รีบล้วงเข้าไปในอกเสื้อ หยิบยาผง ห่อใส่ซองกระดาษสีเหลืองออกมา แล้วพูดว่า
“ยานี้ พี่เจินฝากมาให้ นางบอกว่า ผลของมันเป็นพิษ แต่ไม่อันตรายถึงตาย เมื่อกินแล้ว จะมีไข้ตัวร้อนและผดผื่นคันขึ้นเต็มตัว จะทำให้คุณหนูงิวดูเหมือนไม่สบาย เป็นเหมือนโรคติดต่อ พี่เจ๋งก็เอาไปให้คุณหนูงิวกินเถอะ”
ผมพยักหน้า แล้วพาตูตู้หลุนออกจากห้อง ลักลอบย่องเบาหลบเลี่ยงคนตรงไปยังเรือนที่กักขัง งิวอี้หลาง
ระหว่างทางผ่านหน้าลานบริเวณด้านหน้าประตู ตูตู้หลุนตาพลันเห็นม้าเท้งกับม้าเฉียว กำลังเดินมาด้วยกัน จึงดึงผมให้หลบอยู่หลังพุ่มไม้ประดับ เมื่อทั้งสองเดินมาใกล้ ได้ยินเสียงม้าเท้งบอกม้าเฉียว ว่า
“เจ้ารีบกลับไปจัดเตรียมเสบียง แล้วส่งพวกมันล่วงหน้าไปก่อน อย่าลืมให้พวกมันปลอบตัวเป็นกองคาราวานพ่อค้าให้แนบเนียน อย่าให้ใครเห็นพิรุธ มิเช่นนั้นทางเตียนอันจะรู้ว่าเรากำลังจะเคลื่อนทัพ”
ม้าเฉียว พยักหน้าเข้าใจ ก่อนถามกลับว่า
“บิดา แล้วท่านอาหันซุย เล่า จะใช้วิธีเดินทัพเช่นนี้หรือไม่”
“สิ่งสำคัญในการศึกครั้งนี้คือความรวดเร็ว ข้าก็แนะนำให้หันซุย เดินทัพเช่นเดียวกันนี้ รายละเอียดทั้งหมด ข้าเขียนอธิบายไว้ในจดหมายแล้ว เจ้าก็รีบใช้ม้าเร็วนำไปส่งข่าวให้หันซุยโดยด่วน”
ทั้งคู่เดินผ่านมาแล้วผ่านไป เสียงก็ค่อยๆเบาลงไปตามระยะ เมื่อแอบลอบมองดู เห็นม้าเท้งส่งม้าเฉียวที่หน้าประตูบ้าน ให้มันขึ้นม้าขี่ออกไป เมื่อม้าเฉียวไปแล้ว ม้าเท้งก็เดินกลับเข้าบ้าน ตอนนั้น ผมพอได้ฟังสิ่งที่พวกมันพูดคุยกัน ก็นึกเดาได้ถึงกับตกใจไม่น้อย นี่แสดงว่ามันคิดจะเตรียมการตั้งแต่วันนี้ แถมมันยังพูดถึงหันซุย คงจะเป็นหันซุยเจ้าเมืองเปงจิ๋วเป็นแน่ ถ้าอย่างนั้นม้าเท้งก็ไม่ได้บุกเตียนอัน เพียงทัพเดียว ยังจะมีหันซุยจากเมืองเปงจิ๋ว ยกมาช่วยอีกทัพหนึ่ง
ทีแรกนึกกังวลใจ กลัวแผนการจะไม่สำเร็จ เกรงว่าพวกมันจะบุกตีเตียนอันได้ แต่คิดมาคิดไป หากเล่นงานม้าเท้งได้ หันซุยก็ไม่ใช่ปัญหา ดีไม่ดีมันจะพากันฉิบหายทั้งสองทัพ
เพราะอันที่จริงแล้ว แผนการเดินทัพที่ผมแนะนำม้าเท้งไปนั้น ก็เพื่อหลอกปล้นเสบียงม้าเท้งนั่นเอง เมื่อม้าเท้งมันอยากเคลื่อนทัพเร็ว ก็เลยหลอกให้มันเอากองเสบียงนำหน้าไปก่อน แล้วผมจะให้เตียวสิ้วตามไปปล้นเสบียงมัน ก่อนที่กองทัพมันจะเคลื่อนไปถึง ถึงตอนนั้นม้าเท้งก็ไม่มีเสบียงเหลือพอที่จะบุกถึงเตียนอันได้ แต่ทางหันซุยนั้นมันไม่มีใครไปปล้นเสบียงมัน มันอาจประสบความสำเร็จในการเดินทัพเร็วจนทันถึงเสบียงที่ล่วงหน้าไปก่อน หากแต่เมื่อบรรจบทัพกับม้าเท้งแล้ว ยังไงก็ต้องเสบียงให้ม้าเท้งเพราะต้องลงเรือลำเดียวกัน คิดว่ายังไงเสบียงของหันซุยคงไม่พอเลี้ยงทั้งสองกองทัพได้นาน จะอย่างไรเสียก็ตีเตียนอันไม่แตก เมื่อคิดได้ดังนี้จึงเบาใจ
ยามนั้นเมื่อม้าเท้งเดินเข้าบ้านผ่านห้องโถง ลับสายตาไปแล้ว ผมจึงบอกตูตู้หลุนว่า
“หลุนเอ๋อ เรื่องทางนี้ไว้ข้าจัดการเอง ส่วนเจ้าข้ามีเรื่องด่วนให้รีบไปทำก่อน”
ตูตู้หลุนงุงงงเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้า ผมจึงบอกแผนการอธิบายให้นางฟังทั้งหมด เพื่อให้นางเข้าใจ จากนั้นก็ให้นางรีบไปแจ้งข่าวให้เตียวสิ้วที่ยังตั้งค่ายทหารของมันอยู่นอกเมืองเสเหลียง บอกให้มันจับตาดูกองคาราวานที่บรรทุกเสบียงออกจากเมืองเสเหลียงขบวนใหญ่ หากพบเห็นเมื่อใด ให้ส่งคนสะกดรอยตามไปทันที
ตูตู้หลุนเมื่อเข้าใจทั้งหมดแล้ว ก็พยักหน้ารับ แล้วขยับตัวกำลังจะไป ผมจึงดึงแขนนางไว้แล้วพูดว่า เดี๋ยว พลันกระดิกนิ้วให้นางเอียงหน้ามาใกล้ๆ นางคิดว่าผมมีสิ่งใดจะบอกอีก จึงเอียงหน้ามาถามว่า
“มีอะไรอีกรึ”
ผมยิ้มแล้วดึงผ้าคลุมหน้าของนางออก พร้อมหอมแก้มนางไปอีกทีหนึ่ง แล้วจึงปล่อยแขนนาง พูดว่า
“ไปได้แล้ว”
ตูตู้หลุนพอรู้ว่าถูกหลอกหอมแก้ม รู้สึกอายจนกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เค้นเสียงดัง ชิ แต่แทนที่นางจะไป กลับชิงหอมแก้มผมคืน แล้วรีบถอยตัวออกห่าง ไปยืนยิ้มยักคิ้ว คล้ายเล่นหยอกและไม่ต้องการให้ผมเอาคืน จากนั้นนางก็ไปโดยไม่รั้งรอ
ผมเลยได้แต่มองเงาหลังนาง ที่วิ่งไปยังกำแพงบ้าน แล้วกระโดด ใช้เท้าไต่เหยียบกำแพงส่งตัวข้ามกำแพงหายไป ครุ่นคิดในใจว่า เดี๋ยวนี้รู้จักหยอก คอยดูเหอะเสร็จงานว่างเมื่อไร เป็นโดนหลายน้ำแน่
พอตูตู้หลุนไปแล้ว ผมก็แอบไปยังเรือนที่ขัง งิวอี้หลาง เพื่อเอายาไปให้นางกิน ไม่คาดว่าพอไปถึงหน้าเรือน ก็เห็นเสี่ยวถิง กำลังเข้าไปที่เรือนนี้เหมือนกัน นางท่าทางลับๆล่อๆ ดูมีพิรุธน่าสงสัย ผมจึงแอบย่องเดินตามหลังนางไป
เมื่อนางเข้าไปในเรือนแล้ว ก็ไปหยุดหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง หน้าห้องคล้องไว้ด้วยโซ่ใส่กุญแจ ผมเห็นก็เดาออกได้ทันที ว่าห้องนั้นคงจะเป็นห้องที่ขังงิวอี้หลางเอาไว้
เสี่ยวถิงพอไปหยุดหน้าประตูแล้ว ก็พูดว่า
“คุณหนู เป็นบ่าวเอง”
พลันเสียงในห้องตอบกลับมาอย่างตื่นเต้นยินดี ว่า
“เสี่ยวถิง เจ้ามาแล้วหรือ เจ้าส่งข่าวให้อาจารย์ข้า เขาว่าอย่างไรบ้าง”
เสี่ยวถิงอ้ำอึ้งมิกล้าตอบ พอเสียงข้างในถามเร่งเร้ามาอีกที จึงตัดสินใจตอบว่า
“บ่าว บ่าวส่งข่าวแล้ว เพียงแต่ท่าน ท่านกาเซี่ยง มิได้สนใจ อีกทั้ง ทั้ง….”
“อีกทั้งอะไรรึ”
“อีกทั้งตอนนี้ ท่านกาเซี่ยงรับฮูหยินรองเป็นภรรยาแล้ว”
เสี่ยวถิงตอบไปตามที่เห็นและรู้สึก เพราะตั้งแต่นางส่งข่าวให้ผม ผมก็ไม่ได้บอกนางว่า จะช่วยงิวอี้หลางประการใดบ้าง อีกทั้งนางยังเห็นว่า ตอนนี้ผมไปเป็นสามีฮูหยินรองแล้ว คงไม่คิดจะช่วยงิวอี้หลางเป็นแน่ เลยตอบไปตามจริง เพื่อให้ คุณหนูงิวตัดใจ
งิวอี้หลาง สะทกสะเทือนใจ แต่คิดแล้วยังมิใครเชื่อ กล่าวว่า
“เจ้าพูดมาจริงหรือเท็จประการใด หรือคิดหลอกลวงข้า ให้ข้าตัดใจ เพื่อจะได้แต่งงานกับม้าเฉียว”
“บ่าว…บ่าว พูดความจริง”
เสียงงิวอี้หลางพลันเงียบไปพักใหญ่ เสี่ยวถิงเรียกอย่างไรก็มิขาดตอบ จนเสี่ยวถิงตกใจจนคิดว่านางอาจคิดสั้น จึงร้องเรียกเป็นการใหญ่ จึงได้ยินเสียงงิวอี้หลางตอบมาว่า
“เจ้าไปเถอะ ข้าไม่เป็นอะไร”
เสี่ยวถิง รับคำ แต่ลังเลที่จะไป เพราะในใจนึกเป็นห่วง ผมเห็นว่าปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ดีแน่ เห็นที่ต้องแสดงตน จึงเดินโผล่มาให้เห็น
เสี่ยวถิงพอเห็น ก็ตกใจเบิ่งตาค้าง หลุดปากเรียก นายท่านคำหนึ่งก็กล่าวอันใดไม่ออก
งิวอี้หลางได้ยินนึกสงสัย เพราะคำว่านายท่านในบ้านหลังนี้ หมายถึง งิวฮู บิดาตนเอง แต่ตอนนี้งิวฮูเสียชีวิตไปนานแล้ว คำว่านายท่านในบ้านหลังนี้ ก็ไม่มีให้ใครเรียกขานอีก ดังนั้น จึงถามเสี่ยวถิงว่า
“เจ้าเรียกผู้ใดว่านายท่าน เป็นผู้ใดมา”
ปากแม้ถามออกไป แต่ในใจนึกหวั่นไหว เพราะพลันนึกได้ว่า หากกาเซี่ยงแต่งงานกับฮูหยินรอง มันเองก็จะเป็นนายท่านในบ้านนี้
ผมเมื่อเดินไปถึงหน้าประตู ก็พูดว่า
“อี้หลาง นี่ข้าเอง กาเซี่ยง”
งิวอี้หลาง พอฟังว่าเป็นผมจริงๆ ก็ตรงกับที่คาดคิดไว้ พลันบังเกิดความดีใจและรันทดใจในเวลาเดียวกัน ใจหนึ่งแม้อยากเอ่ยทักทายอยากเห็นหน้า แต่อีกใจหนึ่งกลับไม่กล้าเอื้อนเอย พลันสับสนลังเลไปหมด
ผมเห็นนางเงียบไม่ตอบ คิดแล้วพอจะเดาออกว่าเพราะเหตุใด เพราะได้แอบฟังมาตั้งแต่ต้น แต่ตอนนั้นยังไม่อยากอธิบายว่าเหตุใดถึงรับฮูหยินรองเป็นภรรยา จึงพูดว่า
“เอาละ เจ้าจะไม่ตอบก็ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าเจ้าฟังอยู่ ฟังให้ดีนะ ข้ามาที่นี่ก็เพื่อช่วยเจ้า ข้ามียามาห่อหนึ่ง ยาห่อนี้เมื่อกินเข้าไปแล้ว จะทำให้ไม่สบาย มีผดผื่นขึ้นเต็มตัว ดูเหมือนเป็นโรคติดต่อร้ายแรง เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว ถึงเจ้าอยากจะแต่งงาน ม้าเฉียวก็คงไม่กล้าแต่งกับเจ้า”
ผมพูดจบ ก็เอี้ยวหูฟังรอคำตอบ แต่นางก็ยังเงียบอยู่ ผมจึงนำยาสอดเข้าไปทางพื้นช่องประตู แล้วพูดว่า
“ข้ามาเพื่อช่วยเจ้าแท้ๆ แต่เจ้าก็มิพูดกับข้าสักครึ่งคำ เอาเถอะ จะกินไม่กินก็แล้วแต่เจ้าก็แล้ว ข้าต้องไปแล้ว”
พอพูดจบผมทำเป็นเดินยำเท้า เหมือนว่ากำลังจะไป ยามนั้นเอง งิวอี้หลางถึงได้พูดออกมาว่า
“ท่านอาจารย์ ขอถามท่าน เหตุใดจึงรับฮูหยินรองเป็นภรรยา”
ผมจึงตอบว่า
“ถ้าข้าบอกว่า ข้ารับนางเป็นภรรยา ก็เพราะต้องการช่วยเจ้า เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
พลันคิดว่า คำพูดผม พระเอกพอแล้ว สมควรไปในทันที จึงสาวเท้าเดินออกไป โดยไม่รอให้นนางถามต่อ
เมื่อเดินออกมาถึงนอกเรือน ก็เห็นเสี่ยวถิงกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามมา แล้วมาดักหน้าผม ย่อตัวคาราวะ พูดว่า
“บ่าวไม่รู้ความ เข้าใจนายท่านผิด จึงได้บอกคุณหนูไปเยี่ยงนั้น ขอนายท่านโปรดให้อภัย”
ผมวางสีหน้าเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย บอกนางว่า
“คนเข้าใจผิดในตัวข้า มีเยอะแยะตะแป๊ะไก่ เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย ตอนนี้เจ้าถือว่าเป็นพวกข้า หากเจ้าต้องการช่วยงิวอี้หลาง เจ้าก็ต้องช่วยข้าด้วย”
เสี่ยวถิงดีใจ ยิ้มขึ้นแล้วรีบรับคำ ตอนนั้นผมออกมานานแล้ว เลยรู้สึกหวั่นใจว่า ฮูหยินรองจะไปหาผมที่ห้อง ที่ผมเมาหลับหรือเปล่า เพราะถ้าไปแล้วไม่เจอ ผมอาจต้องหาข้อแก้ตัว ดังนั้นจึงสอบถามความเคลื่อนไหวของฮูหญินรองกับเสี่ยวถิง
ที่แรกเสี่ยวถิงอ้ำอึ้งไม่กล้าตอบ แต่พอผมหว่านล้อมถามเข้า นางจึงยอมบอกออกมาว่า ฮูหยินรองกับเสี่ยวจู อยู่ในห้องนอนของนาง พร้อมกับม้าเท้ง
ผมฟังแล้วเบิ่งตาคิด พยักหน้ารับรู้ มิได้ตกใจอันใดนัก ถึงต่อให้เสี่ยวถิงจะไปอยู่รวมกับม้าเท้งในห้องนั้นด้วย ผมก็ยังไม่แปลกใจอะไร
เสี่ยวถิงเห็นผมไม่มีทีท่าโกรธ หรือตกใจ ก็แปลกใจถามว่า
“นายท่าน มิตกใจ มิหึงหวงหรือ”
ผมจึงหัวเราะเบาๆ ตอบกกลับว่า
“เรื่องนางกับม้าเท้งข้ารู้มาก่อนแล้ว ไยต้องตกใจ อีกทั้งข้าก็ไม่ได้คิดจะรับฮูหยินรองมาเป็นภรรยาจริงๆเสียหน่อย เหตุใดข้าต้องไปหึงหวงนาง พวกมันอยู่ด้วยกันตอนนี้ข้าไม่แปลกใจ แต่ที่แปลกใจคือเจ้ามาอยู่ที่นี่ต่างหาก แทนที่จะอยู่บนห้องร่วมกันกับพวกมัน ”
เสี่ยวถิงพอฟัง ถึงเพิ่งได้รู้ว่า ผมไม่ได้หลงใหลอันใดต่อฮูหยินรองเลยแม้แต่น้อย ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่บอกว่า รับฮูหยินรองเป็นภรรยา เพื่อช่วยคุณหนูงิว ก็คงเป็นความจริง แต่ฟังคำถามตอนท้ายก็รู้สึกกระดากอายที่จะตอบ แต่หากไม่ตอบก็กลัวผมจะระแวงสงสัย จึงตอบความจริงอย่างตะกุกตะกัก ว่า
“บ่าว…บ่าว เป็น ประจำเดือน”
โอ้วเช่นนี้นี่เอง ผมร้องในใจ คลายสงสัยในทันที เพียงแต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า ยังตีสีหน้าราบเรียบเป็นเรื่องสามัญปกติ ไม่ให้นางได้รับความกระดากอายเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
ยามนั้นพากันเงียบงันไปครู่หนึ่ง จู่ๆเสี่ยวถิงพลันตัดสินใจคุกเข่าลงกราบกรานกับพื้น แล้วพูดว่า
“นายท่าน บ่าวมีเรื่องขอร้อง ได้โปรดรับปากด้วย”
ผมตกใจไม่น้อยที่จู่ๆ นางทิ้งตัวลงไปคุกเข่ากราบกราน เลยรีบบอกให้นางลุกขึ้น แต่เสี่ยวถิงกลับไม่ยอมลุก พูดว่า
“หากนายท่านไม่รับปาก บ่าวก็จะไม่ลุกเป็นอันขาด”
ผมรู้สึกจนใจจึงพูดว่า
“เอาเถอะ งั้นเจ้าก็ว่ามาเรื่องอะไร หากข้าทำได้ก็จะรับปาก”
เสี่ยงถิงจึงว่า
“เมื่อนายท่านช่วยคุณหนูงิวจนนางไม่ต้องแต่งงานได้แล้ว แล้วคิดจะพานางหนีไปจากที่นี่ ขอนายท่าน โปรดพาบ่าวกับเสี่ยวจู ติดตามไปด้วย เราสองพี่น้องสัญญาว่า จะเป็นบ่าวรับใช้นายท่านไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่”
ผมรู้สึกแปลกใจที่นางขอร้องผมเรื่องนี้ แสดงว่านางคงมีเรื่องคับอกคับใจที่จะอยู่ที่นี่ จึงไล่เรียงสอบถาม ได้ความว่า แต่เดิมตอนที่พวกนางถูกนำมาขายให้เป็นทาสในบ้านหลังนี้ ฮูหยินใหญ่เป็นคนซื้อตัวพวกนางไว้ แล้วให้ทำหน้าที่เป็นบ่าวรับใช้ดูแลคุณหนูงิว แต่พอสิ้น งิวฮูกับฮูหยินใหญ่แล้ว ฮูหยินรองก็ขึ้นมาเป็นใหญ่ในบ้าน จึงจัดการหน้าที่บ่าวทาสภายในบ้านใหม่ พอเห็นเสี่ยวถิงเสี่ยวจูมีหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม ก็นำพวกนางไปฝึกเป็นนางทาสบำเรอ ความจริงพวกนางไม่ได้เต็มใจแต่ถูกบังคับขู่เข็ญ ใจจริงอยากจะพากันหนีไปนานแล้ว หากที่ติดที่ว่าพวกนางสำนึกในบุญคุณฮูหยินใหญ่ และคุณหนูงิว จึงจำใจทนอยู่ เพื่ออยู่เป็นเพื่อนคอยดูแลคุณหนูงิว หากคุณหนูงิวไปเสียจากที่นี่ พวกนางก็เลยอยากจะตามไปด้วย
ผมฟังแล้วก็เห็นว่าไม่ใช่เรื่องหนักหนา ก็เลยรับปาก เสี่ยวถิงดีใจยิ่งถึงกับน้ำตาไหล ก้มกราบกรานขอบคุณไม่ขาดปาก จนผมต้องบอกว่าพอแล้ว ไม่ต้องกราบแล้วนางถึงได้หยุด แล้วผมก็พยุงนางให้ลุกขึ้น จากนั้นก็แยกย้ายกัน
พอผมแยกมาจากเสี่ยวถิง ความจริงคิดจะกลับไปนอนยังห้องเดิมที่แสร้งเมาหลับ แต่ขณะเดินผ่านเรือนฮูหยินรอง กลับมีความคิดบางอย่างขึ้น
คิดว่า ม้าเท้งกับฮูหยินรองกำลังเสพสุขกันบนห้อง พวกมันเห็นผมโง่งมคิดหลอกใช้ สมควรกวนตีนมันเล่นดูสักหน่อย พลันเดินขึ้นเรือนฮูหยินรองไป แทนที่จะกลับไปนอนในที่ที่จากมา
พอไปถึงหน้าประตูห้องฮูหยินรอง ลองเอาหูแนบฟัง พลันได้ยินเสียงผู้หญิงร้อง ซีดส์ อาห์ ซีดส์ อาห์ มาไม่ขาด จีงฉีกยิ้ม คิดว่าฮูหยินรองคงไม่ได้ซีดปากเพราะซดมาม่าอย่างแน่นอน จึงแสร้งทำเสียงดังเมาโวยวายเคาะห้อง ร้องเรียกให้เปิด
“เมียจ๋า ข้ามาแล้ว เจ้าทำอะไรอยู่ถึงได้ลงกลอนประตู”
ผมพูดขณะเงี่ยหูฟัง เสียงซีดปากพลันชะงักหาย ภายในมีเสียงเคลื่อนไหวประดุจหนูวิ่งวุ่นบนเพดาน ผมแอบหัวร่อนึกขำในใจ นึกสภาพภายในคงวุ่นวายน่าดู พลันเขย่าประตูเร่ง ให้พวกมันรุ่มร้อนกันขึ้นไปอีก
มิคาดว่ากลอนประตูดันหลุดผั๊วะเปิดออก ยิ่งสร้างความแตกตื่นตกใจให้คนในห้องมากกว่าเดิม เรื่องนี้ผมก็ไม่คิดฝัน ว่าพวกมันจะลงกลอนประตูไม่สนิท ฮูหยินรองรีบร้องทัดทานว่า
“ท่านพี่ ท่านอย่าเพิ่งได้เข้ามา ข้าพเจ้ามีเรื่องแปลกใจให้ท่าน”
ผมเองก็ไมได้ต้องการจับได้คาหนังคาเขาอยู่แล้ว เพียงต้องการเหย้าแหย่ให้พวกมันวุ่นวาย ฟังจากที่นางร้องบอกมาแบบนี้ แสดงว่ากำลังหาที่ซุ่มซ่อนตัวม้าเท้งเป็นแน่
จึงพูดว่า
“เจ้ากำลังเล่นอันใด… ก็ได้ข้าจะรออยู่ตรงนี้ รอดูซิว่าเจ้ามีอันใดให้แปลกใจ”
ปากผมพูดว่ารอ แต่จริงๆแอบย่องเดินเรียบผนังห้องแอบชะเง้อดู จ้องมองผ่านผ้าม่านที่ถักทอแบบโป่รงบางให้พอมองผ่านทะลุได้ พลันเห็นฮูหยินรองกับเสี่ยวจูกำลังดันช่วยม้าเท้งให้มันมุดไปซ่อนใต้ตั่งเตียง ทั้งสามคนอยู่ในร่างเปลือยเปล่าไม่ทันแม้กระทั้งสวมใส่เสื้อผ้าสักชิ้นเดียว พริบตานั้นม้าเท้งมันก็มุดหายเข้าไป จากนั้นฮูหยินรองก็สะกิดเสี่ยวจูให้ขึ้นไปนอนรอบนเตียง ส่วนนางก็ตามขึ้นไปแล้วดึงผ้าห่มคลุมร่าง พร้อมเรียกว่า
“ท่านเข้ามาได้แล้ว”
ผมจึงทำทีเพิ่งเดินเข้าไป เมื่อเลิกผ้าม่านขึ้น มองเข้าไปบนเตียง เห็นทั้งคู่โพล่ร่างเปลือยมาครึ่งตัวพ้นผ้าห่ม นอนตะแคงก่ายกอดกัน โดยฮูหยินรองนอนตะแคงชันแขนเท้าศีรษะกอดเสี่ยวจูที่นอนตะแคงหนุนหน้ากับท่อนแขนตนเอง มือของฮูหยินรองนั้นยังลูบไล้นมของเสี่ยวจูบีบเค้นเล่น พร้อมมองผมด้วยสีหน้าแววตายั่วยวนสลับกับมองเสี่ยวจู คล้ายกับบ่งบอกว่าเสี่ยวจูคือของกำนัลพิเศษที่จัดเตรียมไว้ให้ในคืนนี้
แล้วนางก็พูดว่า
“ความจริงคิดให้คนไปตามพี่ท่านนานแล้ว หากแต่เห็นท่าน ดื่มสุราถูกคอกับท่านม้าเท้ง จึงได้แต่เฝ้ารอ มิกล้าไปรบกวน เมื่อรู้ว่าท่านขึ้นมาแล้ว จึงเตรียมของขวัญให้พิเศษ เตรียมพร้อมไว้รอรับท่าน”
ฮูหยินรองตอแหลอย่างลื่นไหล นับว่านางพลิกสถานการณ์ได้ชำชองร้ายกาจ หากผู้อื่นที่มิรู้ตื้นลึกหนาบางมาก่อน เมื่อได้เห็นได้ฟังอย่างนี้แล้ว คงมีแต่รีบแก้ผ้าขึ้นเตียงโดยไว แม้จะติดใจสงสัยแต่คงไม่มีเวลาครุ่นคิด
เมื่อนางเดินหมากแก้เช่นนี้ ผมก็จะน้อมสนองนางสักครา จะเอาให้สะเทือนเลื่อนลั่นไปถึงไอ้ม้าเท้งที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงเลยทีเดียวเชียว