กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 33
โดย saradio
ในตอนรุ่งเช้า เมื่อผมกับม้าเท้งมาเจอหน้ากันในห้องโถงเพื่อรับประทานอาหาร ม้าเท้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังยิ้มแย้มพูดจากับผมเป็นปกติ ผมเห็นมันเดินขากระเผลก คล้ายคนได้รับบาดเจ็บที่ฝ่าเท้า ก็แอบนึกหัวร่อ แต่แสร้งตกใจตีหน้าตายถามว่า
“อ้า พี่ม้าเท้ง พี่ได้รับบาดเจ็บมารึ ไม่ทราบว่าไปโดนอะไรมา”
( ก็เพราะมึงนั่นแหละ ไอ้เดรัจฉาน ) ม้าเท้ง สบถด่าในใจอย่างเคืองโกรธ แต่แย้มยิ้มตอบว่า
“อ้อ เพียงโดนก้อนหินบาด เจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เป็นอันใดมาก น้องเซี่ยงอย่าได้ใส่ใจเลย”
( ควายแท้ๆเลยมึง เย็ดไม่เสร็จดันเจ็บตัวอีก ) ผมนึกหัวร่อสมน้ำหน้า แต่แสร้งปั้นหน้าเป็นห่วง พูดว่า
“เมื่อท่านไม่เป็นอะไรมาก ข้าพเจ้าก็เบาใจ”
หลังจากรับประทานอาหารพูดคุยกันสักครู่ มาเท้งก็อ้างว่ามีธุระต้องไปสะสาง จึงจะเดินทางกลับจวน ผมกับฮูหยินรองจึงเดินออกไปส่งที่หน้าประตูตามมารยาท
ทันใดนั้นเอง พ่อบ้านก็วิ่งหน้าตาตื่นมาหาฮูหยินรอง แจ้งว่า คุณหนูงิวเกิดไม่สบาย เป็นอันใดไม่ทราบ ดูท่าทางอาการหนัก ให้รีบไปดู
ฮูหยินรองแตกตื่นสงสัย จึงรีบเร่งรุดไปดู ยามนั้นม้าเท้งจะกลับแล้ว เพียงแต่เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะไปดูด้วย เนื่องเพราะ คุณหนูงิวก็เป็นว่าที่ลูกสะใภ้ตนเอง ผมเองก็จะตามไปอีกคน ฮูหยินรองไม่สะดวกกับการบ่ายเบี่ยง จึงไม่ได้กล่าวห้ามกระไร
เมื่อไปถึงเรือนที่กักขังงิวอี้หลาง ห้องที่ถูกคล้องกุญแจ ตอนนี้เปิดประตูอ้าไว้อยู่เห็น ภายในห้องมองเข้าไป เห็นงิวอี้หลางนอนซมอยู่บนเตียง ที่หน้าและแขนเต็มไปด้วยผื่นแดงหนาเป็นพืด ดูแล้วน่าสยดสยองใจ
ตอนนั้นเสี่ยวถิง ยืนอยู่กลางห้อง พอเห็นฮูหยินรองเข้ามา จะเข้าไปดูงิวอี้หลางใกล้ๆ เสี่ยวถิงรีบห้ามว่า
“นายหญิง อย่าได้เข้าไป เกรงว่า คุณหนูจะเป็นโรคติดต่อ”
ฮูหยินรองถึงกับชะงักเท้า ลังเลไม่กล้าเข้าไป หันมาด่าเสี่ยวถิงว่า
“เอียเท้า(คำด่าสตรีที่ยังไม่แต่งงาน) เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด ไฉนงิวอี้หลางถึงกลายเป็นโรคติดต่อ”
ตอนนั้นทุกคนมาร่วมกันอยู่ในห้อง พอฟังว่าเป็นโรคติดต่อก็ไม่มีผู้ใด กล้าเข้าใกล้งิวอี้หลางสักคน ม้าเท้งนึกสงสัยถามว่า
“นางเป็นโรคติดต่ออันใด”
เสี่ยวถิงตอบว่า
“บ่าวไม่ทราบ เพียงแต่ในวัยเด็กก่อนถูกนำมาขายเป็นทาส หมู่บ้านที่เคยอยู่อาศัย เคยเกิดโรคลักษณะนี้ขึ้น ทำให้คนตายไปหลายคน ที่ติดโรคแล้วไม่ตายก็พิกลพิการอัปลักษณ์”
ผมฟังดูแล้วต้องแอบลอบยิ้ม เพราะรู้สึกเสี่ยวถิงผู้นี้ ฉลาดแต่งเรื่องได้น่าฟังยิ่ง ผมไม่ได้เตี้ยมกันกับนาง นางเพียงรู้ว่า ยาที่ผมให้งิวอี้หลางกินจะทำให้ดูเหมือนโรคติดต่อ นางก็พลันแสดงเสริมแต่งให้ดูน่าเชื่อถือขึ้นไปอีก นับว่าเป็นเด็กสาวที่มีไหวพริบจริงๆ
ม้าเท้งพอฟังว่า เป็นแล้วตาย หากไม่ตายก็อัปลักษณ์ พลันกลัดกลุ่มใจ เค้นเสียงดัง เฮอะ โพล่งขึ้นว่า
“นางเมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วงานแต่งงานจะทำอย่างไร คงต้องล้มเลิกกันไปแล้ว”
ฮูหยินรองพอฟังว่างานแต่งงานจะล้มเลิก ก็หวั่นใจ เลยแย้งว่า
“ท่านอย่าเพิ่งด่วนสรุป ไม่แน่ว่านางอาจไม่ได้เป็นดังที่กล่าว ควรให้หมอมาตรวจดูก่อน”
ผมเลยแทรกขึ้นมาว่า
“ตรวจไปก็เท่านั้น.. ภรรยาข้าก็เป็นหมอ นางเองเมื่อเจอโรคนี้ก็ยังไม่กล้ารักษาไม่กล้าเข้าใกล้ เพราะรู้ว่าอย่างไรก็รักษาไม่หาย ดีไม่ดีจะติดโรคมาเสียเอง คุณหนูงิวเมื่อเป็นโรคนี้แล้ว คงได้แต่ทำใจ”
คำพูดผมยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีก ฮูหยินรองถึงกับมืดแปดด้าน พูดอันใดไม่ออก ถึงกับนิ่งเงียบไป ม้าเท้งพลันตัดสินใจพูดว่า
“ถ้าเช่นนั้น สมควรจัดการเรื่องนี้แต่โดยเร็ว อย่าให้โรคระบาดมาแพร่ในเมือง สมควรเผานางพร้อมเรือนหลังนี้เสีย”
ทุกคนฟังก็ตกใจ ผมต้องลอบคิดด่ามันในใจว่า มึงนี่โหดสัด จริงๆ เลยรีบเสนอทางออกให้ว่า
“เรื่องนี้คงไม่ต้องถึงขั้นนั้น มิฉะนั้นจะเป็นเรื่องแตกตื่นตกใจกันไปเปล่าๆ ทางที่ดีควรนำนางใส่รถม้า แล้วพาไปทิ้งไว้ที่รกร้างนอกเมือง เพียงเท่านี้โรคก็ไม่สามารถระบาดได้แล้ว”
ม้าเท้งยังไม่เห็นด้วย เลยพูดว่า
“เมื่อนางเป็นโรคติดต่อเช่นนี้ ผู้ใดกล้าเข้าใกล้เคลื่อนย้ายนาง ดีไม่ดีคนที่พานางไปจะติดโรคกลับมาด้วย”
ผมจึงบอกว่า
“เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ขอเพียงเราแต่งชุดรัดกุม ไม่ให้สัมผัสตัวนางโดยตรง ก็ไม่ติดโรคแล้ว”
ม้าเท้งพอฟังก็ครุ่นคิดลังเลใจ พลันฮูหยินรองที่เงียบงันมานาน กลับพูดขึ้นมาว่า
“เรื่องนี้ ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่านกาเซี่ยง จะอย่างไรนางก็เป็นลูกเลี้ยงข้าพเจ้า และข้าพเจ้าเองก็เห็นนางเติมโตมาแต่เล็ก ครั้นจะเผานางทั้งเป็นนั้น ข้าพเจ้ากลับไม่เห็นด้วย ทางที่ดีก็แล้วแต่เวรแต่กรรม นำพานางไปทิ้งไว้เสียกลางป่าเถิด”
ฮูหยินรองกลับแลดูเปลี่ยนไป แววตาที่มองดูงิวอี้หลาง ดูมีความเวทนาสงสารอยู่มาก ความจริงนางก็มิได้โหดร้ายกับงิวอี้หลางเสียทุกเรื่อง แม้จะแย่งความครอบครองบ้านตระกูลงิวมาจากงิวอี้หลาง แต่ก็ยังเลี้ยงดูงิวอี้หลางอย่างมีเกียรติ ยังคงให้เป็นคุณหนูงิวอยู่ เพียงแต่ที่จับนางมาขังเพราะขัดแย้งกันที่งิวอี้หลางไม่ยอมแต่งงานกับม้าเฉียว และงิวอี้หลางคิดจะหลบหนี เลยต้องจับมาขัง
ยามนี้เห็นงิวอี้หลางล่อแลเจียนตาย เป็นโรคร้ายรักษาไม่หาย ก็อดสะท้อนใจนึกสงสารไม่ได้ ดังนั้นหากงิวอี้หลางจะตาย ก็ไม่ควรต้องตายอย่างทรมานด้วยการเผาทั้งเป็น ควรให้โอกาสนางไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า
ม้าเท้งเห็นฮูหยินรองตัดสินใจเยี่ยงนี้แล้ว ก็ไม่สะดวกกับการขัดแย้งกันต่อหน้ากาเซี่ยง จึงพูดว่า
“ถ้าท่านคิดเช่นนั้น ก็รีบเร่งจัดการเถอะ ข้าเองก็ต้องไปแล้ว”
ม้าเท้งกล่าวจบ ก็สะบัดตัวออกจากห้อง ในใจนึกน้อยใจ ที่ฮูหยินรองตอนนี้ดูเข้าข้างกาเซี่ยงมากกว่าตน พลันให้คิดว่า ฮูหยินรองนี่ชักเริ่มไว้ใจไม่ได้เสียแล้ว
เมื่อม้าเท้งไปแล้ว ฮูหยินรองก็สั่งให้เตรียมการ ให้บ่าวทาสนำรถม้ามา จัดแต่งภายในให้เป็นห้องหับ และจัดเสบียงพอเลี้ยงคนได้ 10วันไว้ในรถม้า จากนั้นก็ให้บ่าวทาสแต่งกายด้วยชุดมิดชิด เอาแคร่ไปแบกห้าม งิวอี้หลางออกมานอนในห้องหับของรถม้าที่เตรียมไว้
เมื่อปิดประตูรถม้าแล้ว ฮูหยินรองก็เดินไปข้างรถม้า พูดกับงิวอี้หลางว่า
“หลางเอ๋อ เจ้าอย่าได้โทษว่ากล่าวเรา ที่บังคับกักขังเจ้า เราเพียงคิดให้เจ้าได้แต่งงานกับคนที่เหมาะสมและใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเท่านั้น ไหนเลยคิดมุ่งหมาย ให้เจ้ามีจุบจบชีวิตเช่นนี้”
งิวอี้หลางกลับตอบน้ำเสียงแหบแห้งมาว่า
“ฮูหยินรอง ข้าพเจ้าไม่โทษว่ากล่าวท่าน อาจเพราะข้าพเจ้าอายุสั้นเพราะสวรรค์ลิขิตไว้เช่นนี้ ท่านก็อย่าได้ลำบากใจไปเลย”
ขณะที่ยืนอยู่ข้างรถม้าพูดคุยกับงิวอี้หลางนั้น ผมกลับเห็นสิ่งไม่คาดคิด ฮูหยินรองคล้ายกับกำลังหลั่งน้ำตา ภาพที่เห็นนี้ทำให้ผมต้องคิดใหม่ว่า ฮูหยินรองแท้จริงแล้ว ก็อาจยังไม่ถึงกับเลวร้ายจนไร้ความเป็นมนุษย์ เพียงแต่อาจจะเห็นแก่ตัวไปมากเท่านั้น
ในตอนนั้นเสี่ยวถิงมีหน้าที่ต้องไปส่งงิวอี้หลางทิ้งไว้กลางป่าอีกผู้หนึ่ง ผมได้แอบพูดคุยบอกนางไว้แล้ว ว่าเมื่อออกไปต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง ดังนั้นงิวอี้หลางจะปลอดภัย หายห่วง เมื่อได้อยู่ในการดูแลของเหล่าภรรยาผม
เมื่อถึงเวลา เสี่ยวถิงก็ขึ้นไปนั่งคู่กับ สารถีขับรถม้า เพื่อจะนำพางิวอี้หลางออกไป ไม่คาดว่า รถม้ายังไม่ทันได้เคลื่อนตัว ก็มีบุรุษผู้หนึ่งควบขี่ม้ามาถึงอย่างเร่งรีบมาหยุดขว้างหน้าประตูไว้ มันผู้นั้นก็คือม้าเฉียว
พอมันมาถึงก็ตะโกนบอกว่า อย่าเพิ่ง แล้วรีบกระโจนลงจากหลังม้า มาเปิดประตูรถม้า เพื่อพบหน้างิวอี้หลาง มันคงได้ข่าวจากม้าเท้งจึงรีบรุดมาดูให้เห็นกับตาว่าเป็นจริงหรือไม่ เมื่อเปิดประตูรถม้า เห็นสภาพงิวอี้หลางแล้ว ถึงกับผงะถอยหลังออกมาหลายก้าว จนแทบเข่าทรุด
รู้สึกราวกับสูญเสียคนรักไปแล้ว พลันสับสนเดือดดาล เดินเข้าไปตบหน้า ฮูหยินรอง พร้อมชีหน้าตวาดว่า
“ท่านดูแลนางอย่างไร ถึงปล่อยให้นางเป็นโรคร้ายเช่นนี้”
ฮูหยินรองจูๆ โดนตบหน้าโดยไม่ทันคาดคิด ถึงกับตกใจมึนงง พอตั้งสติได้ ก็ขึ้นเสียงกร้าว ว่า
“นี่มากไปแล้ว เจ้ากล้าตบหน้าข้าเชียวรึ”
ม้าเฉียวกับสวนว่า
“นี่นับว่าน้อยไป หากไม่เกรงใจบิดา คงจับเจ้ายัดใส่ไปในรถม้า ให้ติดโรคไปพร้อมกับงิวอี้หลางแล้ว”
ผมเห็นม้าเฉียวอารมณ์ร้อนวู่วาม เกรงว่า หากฮูหยินต่อปากต่อคำอีก คงจะเจ็บตัวอีกไม่น้อย จึงแทรกเข้ามาห้ามปรามว่า
“ใจเย็นก่อนเถอะ เรื่องนี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ยากจะกล่าวโทษผู้ใด ทางที่ดีตอนนี้มีแต่ต้องทำใจเท่านั้น”
งิวอี้หลางในรถม้า ก็ช่วยพูดขึ้นว่า
“ท่านม้าเฉียว ข้าพเจ้าขอบใจในน้ำใจรักของท่าน แต่ชาตินี้เราคงไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะฟ้าลิขิต ท่านก็อย่าได้โทษทำร้ายผู้อื่นเลย ทางที่ดีท่านควรทำใจ แล้วกลับไปเสียเถอะ ข้าพเจ้าจะได้ไปอย่างสบายใจ”
ม้าเฉียวถึงกับเศร้าสะเทือนใจอับจนปัญญา ถึงจะรักนางมากแค่ไหนก็ไม่อาจแต่งงานกับคนเป็นโรคร้ายได้ ทั้งยังมิรู้ว่าจะช่วยเหลือนางได้อย่างไร คงมีแต่ยอมให้นางจากไปในลักษณะนี้ พลันกู่ร้องคำรามก้อง ระบายความอัดอั้นตันใจ แล้วกระโจนตัวขึ้นหลังม้าควบขี่หนีไป เพราะไม่อยากให้ผู้ใด เห็นน้ำตา
ผมเห็นแล้วต้องอุทานในใจว่า มันมาไวไปไวจริงๆ จากนั้นก็เข้าไปดูอาการฮูหยินรองว่าเป็นอย่างไรบ้าง พบว่านางถูกตบด้วยความรุนแรงอยู่ไม่น้อย ถึงกับ แก้มบวมแดง มีเลือดหลั่งไหลออกมาจากปาก สีหน้านางทั้งเจ็บปวดทั้งคับแค้น ผมจึงประคองนางเข้าไปรักษาตัวในบ้านก่อน
ฮูหยินรองพลันครุ่นคิดแค้นใจว่า ม้าเฉียวรู้ทั้งรู้ว่าตนเป็นอันใดกับม้าเท้งบิดามัน มันยังกล้าลงมือตบตีเราถึงเพียงนี้ แสดงที่ผ่านมามันไม่เคยคิดนับถือเราเลยแม้แต่น้อย ครุ่นคิดถึงตอนนี้ไม่มีงิวอี้หลางแล้ว ก็ยากที่จะยึดเหนี่ยวสัมพันธ์กับตะกูลม้าไว้ได้ ลำพังอาศัยสัมพันธ์สวาทที่มีกับม้าเท้ง มันก็หาจริงใจไม่ มิเช่นนั้นมันคงตบแต่งเราไปเป็นฮูหยินนานแล้ว คงไม่มาลักแอบซ่อนกินเราอยู่อย่างนี้ ถึงต่อไปมันยึดเมืองหลวงได้ มันก็คงไม่เหลียวเรา มิสู้เราเอาใจใส่กาเซี่ยง ยึดถือมันเป็นเสาหลักไปอาศัยอยู่กับมันที่เตียนอันไม่ดีกว่าหรือ เพราะดูมันหลุมหลงงมงายเราอยู่ไม่น้อย
ความคิดนี้พอบังเกิดขึ้น ฮูหยินรองจึงคิดเอาใจออกห่างม้าเท้ง เอนเอียงมาทางผม โดยหาโอกาสพูดยุยงเกลี่ยกล่อมผมว่า ม้าเท้งนั้นหาได้มีความจริงใจในการคบหา แท้จริงแล้วคิดจะหลอกใช้ผมเพื่อยึดเมืองเตียนอัน จากนั้นเมื่อหมดประโยชน์แล้วก็จะฆ่าทิ้ง
ผมทำเป็นงงงายหลงเชื่อ แสร้งตกใจไม่น้อย กล่าวถามนางว่า แล้วจะทำอย่างไร ฮูหยินรองจึงว่า
“ท่านอย่าได้เข้าพวกกับม้าเท้ง แค่ให้คงอยู่กับลิฉุยเช่นเดิม ท่านควรหนีกลับเมืองเตียนอันโดยเร็ว แล้วแจ้งข่าวต่อลิฉุย ว่าม้าเท้งคิดไม่ซื่อ จะตีเมืองเตียนอัน”
ฮูหยินรองคิดเช่นนี้ เพราะมั่นใจว่า ผมนั่นหลุ่มหลงในตัวนางแล้ว ดังนั้นหากไม่ได้ผูกสัมพันธ์กับตระกูลม้า ก็ควรไปเป็นฮูหยินขุนนางใหญ่ในเมืองเตียนอันเสียจะดีกว่า ตอนนี้จึงไม่อยากให้ม้าเท้งตีเมืองเตียนอันได้
ผมแอบทึ่งในความเจ้าเล่ห์เพทุบายของนาง สตรีนางนี้นับว่าอันตรายยิ่ง เลยแสร้งทำเป็นเห็นด้วย ฮูหยินรองจึงชักชวนให้คิดอ่านหนทางหลบหนีกันเสียแต่ตอนนี้ หาไม่อาจจะไม่ทันการ เพราะหากม้าเท้งเคลื่อนทัพแล้ว เตียนอันก็อาจจะถูกม้าเท้งตีเมืองแตกได้
ความจริงเรื่องการหลบหนีผมคิดไว้ตั้งแต่เสี่ยวถิงออกไปแล้ว เพราะเสี่ยวถิงไปแล้วจะไม่กลับมาอีก ที่เหลือผมก็แค่นำพาเสี่ยวจูออกไป เพียงแต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากหลบหนี เพราะผมต้องการให้ม้าเท้งตายใจ และส่งกองเสบียงของมันออกจากเมืองไปไกลเสียก่อนถึงจะหลบหนีได้ เพราะถ้าหากผมหลบหนีไปก่อน ม้าเท้งก็จะรู้ตัวไม่ส่งเสบียงนำหน้าไป แผนผมก็จะเสียหาย ดังนั้น จึงปลอบฮูหยินรองให้ใจเย็น อธิบายว่า
“ถ้าจะหนีไม่อาจหนีคงไม่ใช่เร็ววันนี้ มิเช่นนั้นคงจะหนีไม่พ้น สมควรติดต่อเตียวสิ้วให้ช่วยเหลือก่อน เตียวสิ้วนั้นมีกำลังทหารสามพันกว่าคนอยู่นอกเมือง กำลังเตรียมเดินทางกลับเตียนอัน หากได้มันช่วยเหลือ เราก็จะถึงเตียนอันได้อย่างปลอดภัย ตอนนี้พวกเราอย่าได้ทำอันใดมีพิรุธให้ม้าเท้งสงสัย ควรทำไปอย่างปกติ แล้วพรุ่งนี้ ข้าจะไปพบเตียวสิ้วขอความช่วยเหลือจากมัน”
ฮูหยินรองเชื่อสนิทใจ จึงพยักหน้าเห็นด้วย