กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 21
โดย saradio
อ่องอุ้นเมื่อหนีเข้าไปในตำหนักพระเจ้าเหี้ยนเต้ ลิฉุย กุยกี หวนเตียวและเตียวเจ ก็ไม่กล้านำทหารบุกเข้าไป ได้แต่ล้อมไว้ เนินนานยังทำอะไรไม่ได้ กุยกีจึงนึกรำคาญใจ พูดกับลิฉุยว่า
“เราทำการมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าอย่างไรเสีย ก็บุกเข้าตำหนัก จับทั้งอ่องอุ้นและพระเจ้าเหี้ยนเต้ฆ่าเสีย แล้วตั้งตัวเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้เถอะ”
ผมได้ยินจึงรีบห้ามว่า
“นั้นทำไม่ได้ พวกท่านไม่เห็นตัวอย่างเมื่อครั้งตั๋งโต๊ะปลดฮ่องเต้หองจูเปียนหรอกรึ หากพวกเรากระการทำร้ายฮ่องเต้ พวกหัวเมืองอื่นๆ ก็จะใช้เป็นข้ออ้างบุกโจมตีเรา”
ลิฉุยคิดตามและเห็นด้วย แต่ยังไงใจก็รุ่มร้อน ที่ยังจัดการอ่องอุ้นไม่ได้ จึงถามว่า
“แล้วนี่เราจะทำอย่างไร บุกก็ไม่ได้ หรือว่าต้องล้อมอยู่อย่างนี้”
ผมจึงพูดว่า
“ก็ต้องอดทนรอ ข้าพเจ้าคิดว่า จะอย่างไร อ่องอุ้นและขุนนางข้าราชบริพารพระเจ้าเหี้ยนเต้ ก็ทนแรงกดดันนี้ไม่ได้”
แล้วก็จริงดังคาด ไม่นานพวกขันทีและข้าราชบริพาร ก็พาอ่องอุ้นกับพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกมาบนยอดหอพระตำหนัก ลิฉุย กุยกี และพวกเมื่อเห็นดังนั้น ก็กราบถวายบังคม
พระเจ้าเหี้ยนเต้ในวัย 12 พรรษาก็ตรัสถามว่า
“อันพวกท่าน ยกทหารมาล้อมตำหนักเราไว้เยี่ยงนี้ คิดประสงค์ร้ายกับเราหรือ”
ลิฉุยจึงรีบพูดว่า
“หามิได้ ข้าพระเจ้าไหนเลยกล้าคิดคดเป็นขบถ เพียงแต่อ่องอุ้นกับลิโป้ สมคบคิดกันสังหารท่านมหาอุปราชตั๋งโต๊ะ ข้าพเจ้าเห็นว่า ท่านมหาอุปราชตั๋งโต๊ะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน กลับถูกลอบสังหารให้ตายเยี่ยงนี้เป็นเรื่องอยุติธรรม จึงนำกำลังเข้ามาจับตัวอ่องอุ้นไปสำเร็จโทษ หากพระองค์ทรงเมตรา ก็ส่งตัวอ่องอุ้นให้กับข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะยกทหารออกไป”
อ่องอุ้นได้ฟัง ถึงกับแค่นหัวร่อ จากนั้นทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ว่า
“อันที่ข้าพเจ้าคิดการสังหารตั๋งโต๊ะนั้น เพื่อขจัดภัยราชสมบัติ และมีใจสุจริตต่อแผ่นดิน หากลิฉุยกล่าวอ้างเยี่ยงนี้ จะเอาชีวิตข้าพเจ้าให้จงได้ หากข้าพเจ้ายังบิดพลิ้ว ก็เกรงจะเป็นอันตรายต่อพระราชฐาน ดังนั้นก็จะขอใช้ชีวิตนี้ตอบสนองคุณแผ่นดินเถิด”
อ่องอุ้นกล่าวจบ ก็วิ่งลงจากหอ ออกมาหน้าพระตำหนัก กล่าวอย่างองอาจว่า
“ตัวกูอยู่นี่แล้ว พวกมึงอยากทำอะไรก็เข้ามา”
ลิฉุยจึงเอาดาบชี้หน้า ถามว่า
“ท่านมหาอุปราชตั๋งโต๊ะ มีความผิดใด ท่านจึงได้ร่วมมือกับลิโป้ฆ่าเสีย”
อ่องอุ้นตอบว่า
“ไอ้ตั๋งโต๊ะ กระทำการหยาบช้า ทำตัวเป็นศัตรูราชสมบัติ กูจึงฆ่ามันเสีย”
ลิฉุยจึงพูดอีกว่า
“อันตั๋งโต๊ะนั่นมีความผิดจริงอยู่ แต่พวกเราหาได้มีความผิดไม่ ไฉนเมื่อพวกเรายอมจำนนขอเข้าทำราชการด้วย ท่านจึงไม่รับ”
อ่องอุ้นตอบว่า
“ที่ตั๋งโต๊ะ กระทำการหยาบช้าได้นั้นเพราะมีคนอย่างพวกมึงหนุนหลังเป็นมือเป็นตีนให้ พวกมึงก็มีความผิดเดียวกันไม่ต่างจากตั๋งโต๊ะ กูจึงไม่คิดเลี้ยงไว้ หากมีโอกาสกูก็จะฆ่าให้สิ้น”
แล้วอ่องอุ้นก็หัวเราะ ลิฉุยเดือดดาลโมโห จึงฟันดาบตัดคออ่องอุ้นในบัดดล จากนั้นลิฉุยก็ชวนพรรคพวกเข้าเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ บีบบังคับขอพระราชทานตำแหน่ง ลิฉุยจึงได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน พร้อมตำแหน่งขุนพลทหารกองใน กุยกีได้เป็นขุนพลทหารกองหลัง หวนเตียวกับเตียวเจได้เป็นขุนพลทหารกองซ้ายและขวา และลิบ้อง อ่องหอง สองคนที่ช่วยก่อการเปิดประตูเมืองให้ ก็ได้รับตำแหน่งขุนนางใหญ่
และทั้งสี่คนเห็นว่า การที่พวกมันแต่เดิมเป็นเพียงขุนศึกบ้านนอก และเป็นทหารแตกทัพ ความจริงคิดหนีเตลิดเปิดเปิงไปแล้ว แต่กลับมีวาสนาได้เข้ามาเป็นขุนนางในเมืองหลวงตำแหน่งใหญ่โต เพราะการช่วยเหลือของผม
ลิฉุยจึงคิดยกตำแหน่งเจ้าเมืองผิงอี้ให้ ทั้งยังให้มีอำนาจบัญชาการทหารหัวเมืองโดยรอบ ซึ่งความจริงที่ผมช่วยพวกมันก็ไม่ได้อยากได้ตำแหน่งใหญ่โตอะไร ที่ทำไปก็เพราะหาที่ยืนให้ตัวเอง หากอ่องอุ้นไม่บีบคั้นจนผมจนไม่มีทางเดิน ผมก็คงกลับไปทำไร่ไถ่นาแล้ว ดังนั้นตำแหน่งที่พวกมันยกให้นั้นดูจะใหญ่โตวุ่นวายเกินไปสำหรับผม
ผมจึงขอแค่ตำแหน่งเดิมที่เคยทำ คือหน้าที่คัดกรองบุคลากรเข้าทำงาน คนพวกนั้นเห็นตำแหน่งมันเล็กน้อยเกินไป กลัวผมนึกน้อยใจภายหลัง จึงตั้งให้เป็นเลขาธิการราชสำนัก มีอำนาจควบคุมดูแลขุนนางในวัง
ครั้งนี้พวกมันคะยั้นคะยอหนัก จนผมขัดไม่ได้ จึงต้องยอมรับไว้ แล้วผมก็เสนอให้ ทั้งสี่คนเรียนรู้บทเรียนจากตั๋งโต๊ะ ให้ควรทำในสิ่งที่ควรทำ คือให้เกียรติขุนนางที่ดี ไม่ใช้กำลังข่มเหงประชาชน หาคนเก่งๆมาช่วยบริหารทำนุบำรุงบ้านเมือง และต้องสามัคคีกันอย่าได้ชิงดีชิงเด่นแก่งแย่งอำนาจ พวกแม่ทัพทั้งสี่ ก็พยักหน้ารับฟัง แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกมันจะทำได้ดีมากน้อยกันแค่ไหน
ตั๋งไป่นั้นพอกลับเข้ามาในเมืองหลวง ได้ยินว่า ศพของตั๋งโต๊ะนั้น ถูกมัดติดไม้ตั้งประจานอยู่กลางเมืองหลวง ก็อดไม่ได้ที่จะต้องรีบไปดู เมื่อไปเห็นสภาพศพนั้น นางถึงกับทรุดลงร่ำไห้ ศพของตั๋งโต๊ะนั่นเละเทะ จนเห็นเป็นก้อนเนื้อติดกระดูก ส่งกลิ่นเหม็นคลุ้ง
นางเป็นสาวน้อยตัวคนเดียว ที่ตอนนี้ไร้อำนาจวาสนา กระทั้งเงินติดตัวก็ไม่มี คิดจะนำศพผู้เป็นปู่ไปกลบฝังก็ไม่มีปัญญา จึงได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั่น ผมเมื่อตามไปเห็นก็รู้สึกเวทนา คิดว่า ตั๋งโต๊ะจะดีจะชั่วอย่างไร มันก็ไม่เลวร้ายกับผมมากเท่าไหร่ จะอย่างไรก็เคยเกื้อหนุนกันมา จึงสั่งให้ทหารไปหาโลกศพมาใส่ แล้วจัดพิธีกลบฝั่ง
ตั๋งไป่เห็นดังนั้น ก็สำนึกตื้นตันเข้ามากอดผมร้องไห้ไม่หยุด ผมต้องปลอบอยู่นานกว่านางจะข่มสะอื้นได้ ตูตู้หลุนพลันปลายหางตามองสีหน้าไม่ค่อยพึงพอใจเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ได้เอ่ยกล่าวอันใด
ตอนนั้นตั๋งไป่ถึงจะได้กลับมาในเมืองหลวงแล้ว แต่ญาติสนิทมิตรสหายถูกอ่องอุ้นกวาดล้างตายไปหมด เลยเหลือตัวคนเดียวไม่มีที่ไป ผมจึงต้องให้อยู่กับผมไปก่อน ไว้เรื่องราวต่างๆเรียบร้อยแล้วค่อยส่งนางเดินทางไปหางิวอี้หลาง
ลิฉุยเมื่อได้เป็นผู้สำเร็จราชการ ก็สั่งเรียกประชุมขุนนางในวันรุ่งขึ้น มันทำตามที่ผมบอก ให้ขุนนางดำรงตำแหน่งเดิมไว้ และให้มีอำนาจบริหารราชการตามเดิมโดยไม่เข้าไปก้าวก่าย ทั้งยังบอกให้เยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามครั้งนี้
ขุนนางทั้งหลายรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย เพราะทีแรกคิดว่ามันเป็นลูกน้องตั๋งโต๊ะ เมื่อขึ้นมามีอำนาจแล้วก็คงจะไม่ต่างจากตั๋งโต๊ะเท่าไหร่ แต่ลิฉุยคนนี้กลับมีความคิดที่ดีผิดจากผู้เป็นนายมัน ดังนั้นจึงรับคำไปปฏิบัติ
เมื่อว่าราชการเสร็จสิ้น ลิฉุยก็สั่งให้แต่งเลี้ยงโต๊ะบรรดาขุนนาง เพื่อทำความรู้จักสนิทสนม ทำให้เหล่าขุนนางคลายความหวาดกลัวพวกลิฉุยกับกุยกีลง ทั้งหมดนี้ถือว่าทำได้ดีในการซื้อใจพวกเหล่าขุนนาง
พอถึงแกเวลาเหล่าขุนนางลากลับ ผมเองก็ลากลับด้วย ตอนนั้นตูตู้หลุนกับตั๋งไป่ยืนห่างออกไป เตียวเจเห็นโอกาสเหมาะ จึงลากผมไปกระซิบพูดว่า
“หลานเซียง ไหนๆ ตั๋งไป่ก็อยู่กับเจ้าแล้ว ไฉนเจ้าไม่รับนางเป็นอนุไปเสีย ให้นางอยู่แบบนี้ คนอื่นก็จะครหานางเอาได้ นางจะเสื่อมเสียไปป่าวๆ”
เตียวเจนั้นเป็นคนที่มีจิตใจดีอยู่ แม้จะไม่ชอบตั๋งไป่เป็นการส่วนตัว แต่จะอย่างไรนางก็เป็นลูกหลานเจ้านายเก่า เห็นตกยากเช่นนี้ก็คิดส่งเสริมให้นางได้สามีดีเป็นที่พึง
ผมฟังแล้วถึงกับอึ้ง คิดหาคำตอบไม่ทัน เลยพูดไปว่า
“นางมิได้ชอบพอข้าพเจ้า ไหนเลยข้าพเจ้ารับนางมาเป็นอนุได้ อีทั้งข้าพเจ้ายังมีภรรยาอยู่แล้ว ทั้งสองคน เกรงพวกนางจะไม่ยินยอม”
เตียวเจฟังแล้ว ต้องหัวเราะร้อง เพ้ย
“เจ้าเป็นถึงขุนนางใหญ่โต มีเมียมากเป็นเรื่องปกติ ต่อให้เจ้ามีทั้งอนุทั้งนางบำเรอ เมียที่ไหนกล้าเอ่ยปากว่า ส่วนตั๋งไป่นั้น ด้วยประสบการณ์ของข้า ข้าว่านางมีใจให้เจ้าอยู่ เพียงแต่นางถือดียึดติดศักดิ์ศรี จึงมิกล้าแสดงออก เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ เพียงเจ้ารวบหัวรวบหาง นางก็จะไม่ปริปากร้อง”
ตอนนี้ไม่ใช่ผมไม่รู้ว่า ตั๋งไป่ชอบผม เพราะตั้งแต่เข้าเมืองมานางดูสงบเสงี่ยมกับผมลง ดูจะเชื่อฟังมากขึ้น ที่ตอบไปเพราะต้องการบ่ายเบี่ยง เพราะผมเกรงใจอาเจินกับตูตู้หลุน หากจะรับนางมาเป็นเมียอีกคน
แต่คำพูดเตียวเจทำให้ผมต้องคิดในสิ่งที่ลืมไป ว่า คนในอดีตนั้นวัฒนธรรมความคิดไม่เหมือนคนปัจจุบัน ยิ่งในอดีตเกือบสองพันปีอย่างตอนนี้ด้วยแล้ว สิทธิสตรีนั้นมีน้อยนิด ยิ่งสตรีที่แต่งงานแล้ว ย่อมไม่กล้าเรียกร้องอะไรมากมายกับสามี เพราะหากทำให้สามีโกรธจนโดนทอดทิ้ง พวกนางก็กลายเป็นคนไร้ค่าทันที ทั้งยังโดนดูหมิ่นดูแคลนจากชาวบ้าน
แต่ตอนนั้นผมยังไม่อยากพูดอะไรมากมาย จึงพูดตัดบทว่า
“เรื่องที่ท่านอาเตียวแนะนำ ข้าพเจ้าคงต้องขอคิดดูก่อน”
แล้วผมก็น้อมคาราวะ กล่าวคำอำลา
ระหว่างเดินทางกลับจวนประจำตำแหน่ง เห็นตั๋งไป่ขี้ม้าอยู่ข้างหน้า รูปร่างนางที่ขย่มบนหลังม้า พาผมคิดไปไกล ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยจะคิด นั่นเพราะผลคำพูดของท่านอาเตียวเจแท้ๆ ที่ชี้ช่อง
เมื่อกลับมาถึงจวน ผมเข้าห้องนอนพร้อมตูตู้หลุน ยามเมาฤทธิ์สุราพอประมาณ เมื่อถึงห้องก็ล้มตัวลงนอน
ตูตู้หลุนก็เข้ามาถอดรองเท้าให้ นางตอนนี้ไม่เพียงทำหน้าทีเป็นองค์รักษ์ ยังทำหน้าทีภรรยาที่ดีอีก ผมพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงจะลองใจนาง แสร้งทำเป็นกลุ่มใจ ถอนหายใจบ่อยๆ
ตูตู้หลุ่นนึกสงสัย จึงถามว่า
“พี่เจ๋ง พี่มีอะไรไม่สบายใจหรือไม่”
ผมจึงแสร้งมึนสุราระบายความในใจว่า
“วันนี้ นั่งคุยกับพวกขุนนาง พวกนั้นอวดคุยเรื่องภรรยากับอนุ และนางบำเรอ มันบอกว่าภรรยามันดีแค่ไหน จัดหาเมียน้อยและนางบำเรอให้มันยังไง และถามข้าว่า ข้ามีภรรยากี่คน ข้าก็บอกว่าสองคน พวกนั้นกับหัวเราะ มองข้าเหมือนดูถูก หาว่าเมียข้าไม่ส่งเสริมสามี ขุนนางมีเมียมากก็มีหน้ามีตา ข้าก็เลยโมโหว่ากลับพวกมัน พวกมันหารู้ เมียข้าสองคนเก่งจะตาย คนหนึ่งเป็นหมอรักษาคนได้ เจ้าก็มีวรยุทธสูงส่ง เหอะ เหอะ เทียบกับเมียพวกมันแล้ว เมียข้ายังดีกว่ามากนัก พวกมันก็เลยลุกหนีไม่คุยกับข้า… ข้าอยากจะเตะพวกมันนัก”
ตูตู้หลุนฟังจนเงียบ สีหน้าดูสลดลงเล็กน้อย แววตาเหมือนมีอะไรคิดอยู่ในใจ สักพัก ก็พูดขึ้นว่า
“ถ้าพี่เจ๋งไม่สบายใจ พวกเราก็กลับไปที่หมู่บ้านเรากันเถอะ”
ผมขัดใจเล็กน้อย ที่นางคิดไม่ตรงแผนในใจผม จึงพูดต่อว่า
“เฮ้อ คิดว่าข้าไม่อยากกลับรึ งานเพิ่งจะเริ่ม ไหนเลยกลับไปได้ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องปักหลักลงฐานที่นี่ แล้วให้เจ้าไปรับอาเจินมา เฮ้อ คิดแล้วก็คงต้องอยู่ทนสายตาพวกมัน”
ตูตู้หลุนหลุบตาลง เหมือนคิดอีกที ก่อนพูดว่า
“ถ้าเช่นนั้น ท่านก็หาอนุหรือนางบำเรอเถอะ จะได้ไต้องทนให้เขาดูถูก”
นี่แหละที่กูต้องการ ผมร้องในใจ ก่อนแสร้งทำเป็นตกใจ ดีดตัวลุกขึ้น พูดว่า
“เจ้าพูดอะไรนะ”
“ถ้า.ถ้ามันเป็นความต้องการของพี่เจ๋ง หรือทำให้พี่ไม่โดนดูถูกละก็ ท่านก็มีเถอะ”
“แล้วเจ้าไม่ว่ารึ”
“ข้าไหนเลยกล้าว่าพี่ ทุกวันนี้พี่กับพี่เจินเมตราข้า ข้าก็ดีใจมากแล้ว”
“โอ้ว หลุนเอ๋อ เจ้าน่ารักกันเหลือเกิน ข้าไม่เสียชาติเกิดเลยจริง ที่มีเจ้าเป็นเมีย ต่อไปข้าก็คงไม่ต้องโดนพวกมันดูถูกอีกแล้ว”
ผมพูดทำหน้าซาบซึ่งใจสุดชีวิต แต่ในใจนี่ลิงโลดยินดี แล้วก็ดึงตูตู้หลุนเข้ามากอด ระดมหอมแก้มทั้งสองข้าง เป็นการขอบคุณ จากนั้นก็กระซิบบอกนางว่า
“ท่านอาเตียวเจ บอกข้าว่า ข้าควรจะรับตั๋งไป่เป็นอนุ เพราะนางเข้ามาอยู่ใต้ชายคาบ้านเดียวกัน จนถูกคนอื่นครหาจนเสื่อมเสียแล้ว อีกทั้งนางยังเคยมีตำแหน่งเป็นถึงท่านหญิงอาจช่วยเชิดหน้าชูตาข้าได้ เจ้าเห็นวว่าอย่างไร”
ตูตู้หลุน ขมวดคิ้วเหมือนไม่เห็นด้วย พูดว่า
“นางนิสัยดื้อรั้นขนาดนั้น มิทำพี่ปวดหัวรึ”
“นั่นไม่น่าเป็นปัญหา หากนางดื้อรั้นมากนัก ข้าจะให้เจ้าอบรมสั่งสอน”
ตูตู้หลุนพลางถอนหายใจเล็กน้อย ดูนางมิใครชอบพอตั๋งไป่เท่าใดนัก แต่ก็ไม่อยากขัดใจผม จึงพูดว่า
“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่พี่เถอะ”
————————————————————–