กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 1
โดย saradio
ผมชื่อ เจ๋ง เป็นเด็กหนุ่มวัย 20 ปี เป็นคนไทยแต่ได้มาเรียนต่อในคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่มหาลัยในประเทศจีน ผมอยู่และเรียนที่จีนมา 2 ปีกว่าแล้ว การใช้ชีวิตในประเทศนี้ของผมไม่มีปัญหาอะไร เพราะผมเองก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีน รูปร่างหน้าตาผมจึงกลมกลืนไปกับพวกเขา และอยู่ได้สบายโดยไม่รู้สึกแปลกแยก
ในประเทศจีนผมชอบอยู่หลายอย่าง แต่ที่ชอบที่สุดที่ได้มาเรียนทีนี่ คือสาวสวยหน้าหมวยจิ้มลิ้มเยอะมาก เลือกจีบกันไม่หวาดไม่ไหว และสังคมที่จีนเดี๋ยวนี้ค่อนข้างจะเปิด วัยรุ่นหนุ่มสาวกล้าแสดงออกมาก บางทีมากกว่าคนไทยด้วยซ้ำ เพราะเห็นนักศึกษาบางคู่ก็ยืนจูบกันอย่างไม่อายใคร และชายหญิงหลายคนก็เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ ผมเองมาเรียนที่นี่แค่ 2 ปี ฟาดหมวยจีนแบบวันไนท์แสตนด์ไป 10กว่าคนแล้ว นี่มันสวรรค์ชัดๆ
แต่ไม่รับประกันนะว่า ใครมาเรียนที่จีนแล้วจะได้อย่างผม เพราะมันขึ้นอยู่กับบุคลิกหน้าตาและคารมด้วย แต่ก็ขอแนะนำว่า มุกเสี่ยวไทย ทำผู้หญิงจีนใจสั่นได้ หากรู้จักนำไปประยุกต์ให้เข้ากับภาษาสำนวนบ้านเขานะ แล้วคุณก็จะเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาอาหมวย เพราะเธอจะขำและเขินอายทุกทีที่คุณยิงมุก ผมจึงค่อนข้างจะเพลย์บอยนิดหน่อยเมื่ออยู่ที่นี่ แต่ชีวิตผมก็ต้องผจญกับความอัศจรรย์อย่างคาดคิดไม่ถึง
เมื่อวันหนึ่งในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน เพื่อนชาวจีนของผม ชวนผมมาเที่ยวป่าปีนเขาทางตอนเหนือของประเทศ ที่เมือง อู๋เหว่ย
ผมก็ตกลงไปกับพวกเขา ระหว่างที่เดินเข้าไปในป่าเพื่อไปยังจุดปีนหน้าผาและตั้งแคมป์ ผมรู้สึกปวดเยี่ยว เลยแวะหลบข้างทางยืนปลดทุกข์ ไม่คาดว่าเพื่อนผมก็ไม่ได้หยุดรอเพราะไม่รู้ เมื่อผมปลดทุกข์เสร็จ ก็ไม่เจอเพื่อนแล้ว ผมคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแค่เดินตรงไปข้างหน้าก็น่าจะเจอ แต่ปรากฏว่าผมดันหลงทาง และก้าวพลาดตกลงไปในหลุมอะไรบางอย่าง
มันเป็นหลุมที่ลึกมาก แต่โชคดีที่ข้างล่างเป็นแอ่งน้ำลึก มันรองรับตัวผมไว้ไม่ให้ผมตกลงไปกระแทกพื้นคอหักตาย แต่กระนั้นผมก็จมดิ่งลงไปในน้ำ เพราะเป้หลังของผมมันเป็นตัวถ่วงหลังลากผมลงไป ผมต้องตระเกลียดตระกายถอดปลดเป้หลังออก แล้วทิ้งมันไป พร้อมกับดีดตัวว่ายกลับมาบนผิวน้ำ แล้วเมื่อผมว่ายมาเกาะขอบแอ่นที่เป็นแท่นหิน ผมก็ดันตัวขึ้นไปทิ้งตัวนอนหอบหายใจอย่างใจหาย ที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด
สักพักผมถึงเริ่มได้ตั้งสติ มองสำรวจไปในช่องโพล่งที่ผมตกลงมา พบว่ามันเป็นโพล่งหินกว้างสูงขึ้นไปหลายสิบเมตร ด้านบนเห็นเป็นรูโหว่กว้างและชั้นดินบางๆยึดติดกันด้วยรากหญ้าและแตกห้อยติดกับรากหญ้าออกมาเป็นแผ่นๆ ที่แท้ปากหลุดโพล่งนี้มันถูกหญ้าและชั้นดินบางๆ ปกคลุมมานานแสนนาน ทำให้มันดูเหมือนพื้นดินธรรมดา เมื่อผมไปเหยียบมันก็ทรุดตัวแตกออกและพาผมร่วงลงมา นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ซวยสุดๆจริงๆ
ในตอนนั้นผมเริ่มที่จะหวาดหวั่น เพราะไม่รู้ผมจะกลับขึ้นไปยังไง เพราะเท่าที่สำรวจดู ต่อให้ผมไปงมเอาเป้หลังที่มีอุปกรณ์ปีนเขาที่จมอยู่ในน้ำ ก็ไม่คิดว่าจะใช้มันปีนกลับขึ้นไปได้ เพราะลักษณะช่วงหนึ่งที่จะเข้าโพล่งไปปากปล่องมันเป็นคอขวด ผมจะต้องไปติดแหงกอยู่ตรงนั้นแน่ๆ เรื่องที่ผมจะปีนกลับขึ้นไปตรงช่องที่ผมตกลงมานี่ลืมไปได้เลย แต่ยังไงผมก็ต้องลงน้ำไปงมเอาเป้ของผมคืนมาอยู่ดี เพราะอย่างน้อยในเป้นั้นนอกจากอุปกรณ์การปีนเขาแล้ว มันยังมีโทรศัพท์มือถือที่จะใช้โทรขอความช่วยเหลือ หากมันยังไม่พังเพราะจมน้ำเสียก่อน
ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะงมเป้ขึ้นมาได้ และเมื่อผมเอาโทรศัพท์ออกมาจากเป้ ความหวังของผมก็พังไปพร้อมกับโทรศัพท์ที่ใช้การไม่ได้
มันดับสนิทชนิดที่เปิดยังไงก็ไม่ติด สถานการณ์ของผมเริ่มจะไม่ดีแล้ว เมื่ออาหารในเป้มันมีกินอยู่ได้แค่วันเดียว ถ้าผมยังหาทางออกไปจากทีนี่ไม่ได้ผมคงต้องอดตายแน่ๆ
ผมเลยเริ่มจะมองหาทางออกใหม่ โดยใช้ไฟฉายที่ได้จากเป้ส่องสำรวจไปรอบๆ แล้วผมก็พบโพล่งถ้ำเป็นทางลึกเข้าไป
ข้างในมันมืดมาก ผมต้องชั่งใจอยู่นานว่าจะเข้าไปดีหรือไม่เข้าไปดี เพราะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น แต่แล้วผมก็ต้องตัดสินใจเดินเข้าไปอย่างไม่มีทางเลือก เพราะมันอาจจะเป็นทางนำไปสู่ทางออกก็ได้
การก้าวเดินในทางถ้ำใต้ดินที่มืดมิดและอับชื้นแถมมีเพียงแสงไฟฉายเล็กๆส่องนำทาง มันช่างกดดันผมเหลือเกิน แต่ละก้าวย่างของผมทำเอาผมใจเต้นละทึกไม่เป็นส่ำ เพราะไม่รู้จะเจออะไรข้างหน้า ผมจึงค่อยๆก้าวเดินไปทีละน้อยและช้าๆ จนเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ
จวบจนกระทั้งผมได้มาพบกับบางสิ่งที่ไม่คิดว่ามันจะมาอยู่ที่นี่ นั้นคือกำแพงที่ถูกสร้างจากหินและมีประตูหินทางเข้า ลักษณะกำแพงหินและประตูของมันนั้น ผมเคยเห็นทั้งในหนังและในสารคดี ดูป๊าดเดียวก็รู้ว่ามันเป็นสุสาน
“เหี้ยแล้วกู ลำพังมาติดในทีนี้ก็ว่าแย่สุดๆแล้ว ยังเสือกจะเป็นสุสานอีก”
ผมสบถอย่างคนใจหวาดระแวง และรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา แต่ยังไงผมก็ต้องก้าวเท้าเดินเข้าไป แล้วสิ่งที่ผมพบเห็นก็ทำเอาผมต้องบ่นอุทาน
“น่าน..ไง. โลง กูว่าแล้ว”
ผมต้องหยุดชะงักและสาดแสงไฟฉายมองไปทั่วห้องโถงสุสานนี้ ก็พบโลงศพหินวางเรียงเป็นครึ่งวงกลมเหมือนเข็มนาฬิกา ล้อมรอบโลงศพใหญ่ที่ดูโอ่อ่าอยู่ตรงกลางโลงหนึ่ง เหนือทางด้านหัวโลงศพใหญ่นั้น มีแท่นหินขนาดใหญ่วางอยู่ และเหนือแท่นหินขึ้นไป มีสถาปัตย์การก่อสร้างทำเป็นรูปกรอบขอบวงกลมตั้งตระหง่านอยู่ ผมยังไม่ได้ให้ความสนใจกับไอ้กรอบวงกลมนั้น แต่ผมมองโลงศพและนับมัน
“สัด…โลง ก็เสียวจะแย่อยู่แล้ว มึงจะเอามายัดกันทำห่าอะไรตั้ง 7 โลง กะร่วมญาติกันหลอกกูเลยหรือไง”
ผมพูดบ่นระบายความรู้สึกและให้เสียงของผมทำลายความเงียบเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ จริงๆแล้วผมก็เป็นคนที่ไม่กลัวผีมากนักหรอก แต่เมื่อตกอยู่ในบรรยากาศแบบนี้แล้ว ก็อดที่จะหวั่นไหวให้คิดกลัวไม่ได้ แต่กระนั้นก็ยังพยายามทำใจสู้ เดินเข้าไปสำรวจเพื่อหวังจะเจอทางออก
ภายในห้องโถงนี้ นอกจากโลงศพแล้ว ก็ยังมีข้าวของเครื่องใช้โบราญ วางเรียงรายอยู่บนชั้นไม้ บางชั้นไม้มันผุพังตามกาลเวลา ส่งผลให้ข้าวของที่เคยจัดวางไว้บนนั้นตกลงมาแตกกระจายเกลื่อนพื้น ดูจากข้าวของเครื่องใช้พวกนี้ มันเก่าแก่กว่าราชวงศ์ ชิง เสียอีก ไม่รู้ว่ามันอยู่ในยุคสมัยใด นี่ถ้าผมเป็นนักศึกษาภาควิชาประวัติศาสตร์ผมคงดีใจจนเนื้อเต้นแน่ๆ ที่มาเจอสุสานเก่าแก่แบบนี้ และคงรู้ประวัติที่มาของมันได้
แต่เผอิญผมไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ และไม่อยากรู้ด้วยว่ามันจะอยู่ในยุคสมัยใด ที่ผมต้องการตอนนี้คือทางออก ผมจึงเดินคว้านหาทางออกไปทั่วทั้งกำแพงทั้งสี่ด้านของห้องหวังว่ามันจะมีประตูลับพาออกไปจากทีนี่ แต่มันตันทึบไปทั้งหมด ผมถึงได้รู้ว่าสุสานนี้เป็นสุสานที่ถูกสร้างให้ปิดตาย ทางออกเดียวที่ผมจะออกไปได้ก็คือทางที่ผมตกลงมานั้นแหละ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมจะทำได้ต่อไปก็คือ รอให้มีคนมาช่วยเหลือหากว่าเขาหาผมเจอ ช่วงเวลาที่ต้องรอคอยนั้น ผมเลยมีเวลามาดูเจ้าสิ่งก่อสร้างที่เป็นกรอบวงกลมใหญ่ที่อยู่บนแท่นหิน ตอนนั้นผมถึงได้สังเกตว่ามันเป็นโลหะประกอบกันอย่างซับซ้อนเป็นรูปกรอบวงกลมขนาดใหญ่ ผมรู้สึกฉงน ที่ในยุคโบราญจะสร้างอะไรแบบนี้ได้ มันเต็มไปด้วยทรงเลขาคณิตและดูไม่เหมือนสถาปัตยกรรมของจีนแม้แต่น้อย และกรอบวงกลมของมันมีการสลักรูปต่างๆนาๆ ดูไปเหมือนพวกอักษรภาพอียิปต์โบราญ ผมก็ไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ด้วยจึงไม่อาจไขความกระจ่างของมันได้
แต่ใต้ฐานแท่นหินนั้นมีสลักอักษรจีนเขียนไว้ว่า
“หากเจ้าคิดว่าต้องตายในทีนี้ จงก้าวข้ามประตูยามมันเกิดแสง เจ้าจะมีหนทางดำเนินชีวิตต่อ”
คำจาลึกนี้ทำเอาผมตื่นตัว เพราะมันเหมือนคำบอกใบ้ทางลับออกจากทีนี่ มันพูดถึงประตู มันต้องมีประตูลับซ่อนอยู่ที่ไหนสักที่หนึ่ง ผมอาจจะตกหล่นอะไรไปตอนหาครั้งแรก ทำให้ผมต้องไปคว้านหาประตูอีกทีหนึ่ง แต่หลังจากที่สำรวจอีกรอบแล้ว ประตูที่ผมเห็นมันก็มีแค่ประตูเดียว คือประตูที่เข้าห้องนี้ ทางอื่นมันทึบตันทั้งหมด ผมจึงไปสำรวจประตูนั้นอย่างละเอียดอีกทีแต่ก็ไม่พบอะไร
“อะไรวะ มันจะมีประตูไหนว่ะ หรือต้องรอให้มันมีแสงส่องออกมาถึงจะรู้”
ผมบ่นและถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เมื่อหาประตูไม่เจอ สุดท้ายผมก็ทำได้แค่นั่งรออีกแล้ว
5 วัน 5วันเต็มๆที่ผมติดอยู่ในนั้น ไม่มีคนมาช่วย ไม่มีประตูบ้าอะไรนั้น อาหารผมที่ติดตัวมาหมดไปตั้งแต่วันแรก 4วันที่เหลือผมกินน้ำในแอ่งน้ำรองท้อง ผมว่าผมคงไม่รอดและคงอดตายในทีนี่แน่ๆ
แต่แล้วเมื่อถึงวันที่เจ็ด ขณะที่ผมหิวโหยและสิ้นหวัง ไร้เรียวแรงจะขยับไปไหน ก็เกิดแสงสว่างส่องมาจากห้องสุสาน ผมที่อยู่ในสภาพสะลึมสะลือและอ่อนแรง แต่ก็ยังรวบร่วมเรี่ยวแรงเดินตามแสงนั้นไป เพราะอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เมื่อถึงห้องสุสาน เจ้าวัตถุกรอบวงกลมมีการเรืองแสงออกมา ตรงกลางของมันตอนนี้ ปรากฏแสงฉาบเป็นม่านกั้น ส่องแสงนวลออกมา
“ประตูเหรอ นี่คือประตูใช่มั๊ย”
ผมพูดและบอกตัวเอง อย่างสงสัย ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมเดินผ่านเข้าไปในแสงนั้น แต่ผมกำลังจะอดตาย ถ้าไหนๆผมจะตายแล้ว ทำไมผมจะไม่เสี่ยงดู
เท้าของผมค่อยพาผมเดินเข้าไปตรงแท่นหิน อย่างโซวัดโซเซ และตัดสินใจจะเดินเข้าไปในวงกลมของแสง
วูบบบบบบบบบบ
ทุกอย่างมืดมิดและผมรู้สึกว่าตัวเองลอยคว้างหัวหมุน จนผมเวียนหัวจนต้องหลับตา มันนานอยู่พอควรกว่าทุกอย่างจะเริ่มสงบ ผมรู้สึกผมได้เหยียบยืนบนพื้นอีกครั้ง รู้สึกถึงลมและแสงแดดที่กระทบเปลือกตา
ผมจึงลืมตาขึ้นมา และพบว่า ผมยืนอยู่บนไหล่เขา สภาพรอบๆ เป็นป่าโปร่ง หิน และหญ้า เหมือนภูมิประเทศที่ผมมาเที่ยวปีนเขาก่อนหน้านี้ ผมออกมาแล้ว ผมออกมาข้างนอกได้แล้ว ผมไม่รู้ว่าเป็นไปได้ยังไง แต่ผมออกมาแล้วจริงๆ
ตอนนั้นผมแม้ดีใจอย่างที่สุด แต่ผมก็อ่อนแรงและวิงเวียนหัวจนทรงตัวไม่อยู่ จากที่ผมอดอาหารมาหลายวันทำให้สภาพร่างกายผมไม่ไหว และเป็นลมหมดสติไป
ผมไม่รู้ว่าผมหมดสติไปนานเท่าไหร่ มารู้สึกตัวอีกทีก็มีผู้หญิงแก่ๆมาปลุกผม และป้อนข้าวต้มเข้าปากผม
“เหวินเหอ ทานเข้าไปให้มากๆ เจ้าจะได้กลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม มารดารอคอยเจ้ามาหลายปีแล้ว ในที่สุดเจ้าก็กลับมา”
หญิงชราพูดพร้อมป้อนข้าวต้มให้ผมกิน ผมยังสะลึมสะลือสติยังไม่เข้าที ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร และพูดถึงอะไร แต่ผมหิวเมื่อมีอาหารเข้าปากผมจึงรีบกลืนมันลงท้อง และรีบกินจนสำลัก ไอโขลกๆ
“ไม่ต้องรีบ ค่อยๆทาน… อาเจิน เจ้าไปเอาน้ำมา”
ผมเห็นเงาหญิงสาวคนหนึ่ง ลุกไปเอาน้ำตามคำบอกของหญิงชรา แล้วมาป้อนให้ผม จากนั้นหญิงชราก็ป้อนข้าวต้มผมต่อจนผมรู้สึกอิ่ม แต่ผมก็ยังเพลียและอยากจะนอนจึงหลับตานอนต่อ แต่ตอนนั้นผมยังไม่หลับดียังได้ยินเสียงสนทนาของหญิงชรากับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง
“อาเจิน เจ้าดูสิ เหวินเหอ อาการดีขึ้นแล้ว อีกไม่กี่วันก็คงจะลุกขึ้นได้”
หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า อาเจินกลับพูดว่า
“มารดา บุรุษผู้นี้มิใช่ท่านพี่เหวินเหอ.”
“เหลวไหล เจ้ากล่าวกระไร เราเป็นแม่แท้ๆ มีหรือจะจำบุตรตนเองผิดไป เจ้าเองก็เถอะ เหวินเหอ เป็นสามีเจ้าแท้ๆ เจ้ากลับจำไม่ได้.”
น้ำเสียงของหญิงชราฟังดูดุดันเอาเรื่องจนหญิงสาวไม่กล้าโต้แย้ง แต่สักพักหญิงชราก็น้ำเสียงอ่อนลงพูดต่อว่า
“เหอะ..แต่เอาเถอะ เรื่องนี้จะโทษเจ้าก็ไม่ถูก เหวินเหอแต่งงานอยู่กินกับเจ้าไม่ถึงเดือน มันเดินทางไปค้าขายก็ถูกโจรจับไป เวลาที่มันได้อยู่กับเจ้านั้นน้อยนิดนัก มันสาบสูญไปถึง 5 ปี เจ้าจำมันไม่ได้ ก็ไม่น่าแปลกใจ แต่เราผู้เป็นมารดามันอยู่กับมันมาค่อนขีวิต เมื่อบอกต่อเจ้า ไฉนเจ้าจึงยังไม่ยินยอมเชื่อ หึ ..นับต่อจากนี้ไป ห้ามเจ้าบอกว่าชายผู้นี้มิใช่เหวินเหออีก”
หญิงสาวอาเจินได้แต่ถอนหายใจส่ายศีรษะ ไม่อยากโต้แย้งใดๆ จึงพูดตัดบทว่า
“มารดา ข้าพเจ้าต้มยาไว้ เกรงว่าใกล้เดือดแล้ว ควรรีบไปดูก่อน”
แล้วเธอก็ออกไปจากห้อง
ผมรู้สึกว่าจะมีการเข้าใจผิดเกี่ยวกับผมเข้าให้แล้ว แต่ตอนนั้นผมไม่มีเรียวแรงจะลุกขึ้นอธิบาย คิดว่ารอให้หายดีก่อน แล้วจึงค่อยพูดคุยกับพวกเขา
เวลาผ่านไปอีก 2 วันผมอาการดีขึ้นเรื่อยๆ จนผมเริ่มจะมีสติสัมปชัญญะกลับคืนมา เมื่อผมลืมตาสิ่งแรกที่ผมจำแนกเห็นได้คือผมอยู่ในบ้านเก่าๆ ที่ปลูกสร้างด้วยดินและไม้ จากนั้นก็ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆมันดูโบราญอย่างหลุดโลก แล้วผมก็นอนอยู่บนฟูกเสื่อหนาที่ทำจากฟางปูลงบนเตียงไม้ขนาดใหญ่
“มันที่ไหนกันวะ”
ผมถามตัวเอง และใช้สายตาสำรวจโดยรอบอย่างฉงนสงสัย แล้วผมก็เห็นหญิงสาวชาวจีนอยู่ในชุดจีนแบบชาวบ้านโบราญที่เคยเห็นในหนัง นั่งเก้าอี้ไม้ฟุบหน้าหลับกับท่อนแขนอยู่ข้างเตียงตรงปลายเท้าผม
“คุณ…คุณ…คุณครับ”
ผมส่งเสียงเรียกอย่างเกรงใจ ปลุกเธอเบาๆ เพราะผมต้องการเข้าห้องน้ำ เสียงของผมทำให้เธอรู้สึกตัว และตื่นขึ้นมาดูผม
“คือผม อยากจะเข้าห้องน้ำนะครับ”
ผมบอกพร้อมยิ้มเจื่อยๆ อย่างเป็นมิตร เธอมองผมอย่างฉงน และขมวดคิ้วจนแถบชนกัน เหมือนกับงงในคำพูดของผม ผมเลยต้องพูดย้ำอีกทีว่า
.”ห้องน้ำครับ ผมอยากเข้าห้องน้ำ”
เธอรู้สึกพอจะเข้าใจ พูดตอบผมว่า
“ห้องน้ำรึ ท่านอยากปลดทุกข์ใช่หรือไม่”
“อ่า..ใช่ ห้องน้ำ ส้วมหนะ ส้วม”
ผมว่าผมพูดจีนชัดนะ ผมพูดได้เหมือนคนจีนเลยหละ แต่เหมือนเธอไม่คุ้นกับสำเนียงศัพท์ภาษาผมเท่าไหร่ แถมเธอเองก็พูดสำนวนศัพท์โบราญเหมือนในหนังจีนกำลังภายในเลย แต่ก็ไม่อยากที่เราจะทำการสื่อสารกัน
เมื่อเธอเข้าใจแล้วเธอก็พยักหน้า พูดว่า
“ท่านพอมีเรียวแรงลุกขึ้นหรือไม่”
ผมจึงพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง และลงจากเตียง ตอนนี้เองผมถึงเห็นว่าผมเองก็ใส่ชุดเหมือนคนจีนโบราญ โดยเป็นชุดผ้าดิบสีขาว ที่ในหนังจีนโบราญชอบใส่กันตอนนอนหรือตอนป่วยนั่นแหละ ผมซวนเซเล็กน้อยเพราะรางกายยังไม่ฟื้นดี แต่ก็พอที่จะทรงตัวเดินได้
เธอเห็นแบบนั้น ก็เดินนำทางไปยังห้องน้ำ ซึ่งมันอยู่นอกบ้าน ทันทีที่ผมเปิดประตูห้องน้ำเข้าไป ผมถึงกับต้องกลืนน้ำลายกันเลยที่เดียว ผมเคยได้ยินว่า ประเทศจีนตอนนี้แม้จะเป็นมหาอำนาจ และมีเศรษฐกิจที่เฟืองฟู แต่หลายพื้นที่ตามชนบทที่ห่างไกลยังมีความกันดารและห่างไกลจากความเจริญมากนัก แต่ผมก็ไม่คิดว่าที่นี่จะกันดารมากขนาดนี้
ที่เห็นอยู่นี่มันอะไร ส้วมเหรอเนี่ย นี่ กู ต้องขี้ในส้วมหลุม ที่ข้างล่างเป็นถังไม้ แล้วข้างบนมีไม้กระดานให้เหยียบนั่ง นี่ถ้าตอนขี้อยู่ผมเกิดหน้ามืด ไถลตกจากไม้เหยียบ ตูดจุ่มถังขี้ได้เลยนะนั่น
ตอนนั้นไม่มีเวลาให้คิดอะไรอีกแล้ว ผมนอนไม่รู้ตัวไม่ได้ขี้มาหลายวัน ตอนนี้มันพร้อมจะทะลวงปราการออกมาอยู่แล้ว จำเป็นต้องใช้มันไปก่อน ผมจึงขึ้นไปนั่งและปล่อยออกไปจนหมดไส้หมดพุ่ง
มันช่างเป็นอะไรที่มีความสุขเหลือเกินที่ได้ปล่อยออกจนโล่งขนาดนี้ จนลืมเรื่องส้วมอนาถานี่ไปเลยแต่แล้วผมก็พบวิบากกรรมครั้งใหญ่ เมื่อปลดทุกข์เสร็จแล้ว
สาด…แม่งไม่มีน้ำล้างตูด แม่งรู้ไหมว่าคนไทยต้องใช้น้ำล้างตูดหลังจากขี้เสร็จแล้ว ผมมองไปรอบๆ โดยไม่เห็นถังน้ำหรือตุ่มใส่น้ำ แต่กลับเห็นใบไม้ร้อยกับเชือกไว้เป็นพวง
อย่าบอกนะกูต้องใช้ไอ้นี่ ผมดึงใบ้ไม้มาอย่างไม่มีทางเลือก และใช้มันอย่างทุลักทุเล และแม่งสากตูดได้ใจ
นานกว่าผมจะออกจากห้องน้ำ เพราะต้องจัดการตัวเองให้สะอาดเรียบร้อย การที่ขี้แล้วตูดไม่ได้ล้างน้ำนี่ มันรู้สึกไม่ฉวีวรรณเอาเสียเลย
เมื่อออกจากห้องน้ำได้ คราวนี้ไม่ได้มีแต่หญิงสาวที่ยืนรออยู่ กลับเพิ่มหญิงชราขึ้นมาอีกคน
หญิงชราคนนั้นพอเห็นผมออกจากห้องน้ำ ด้วยท่าทางแข็งแรงดี เธอก็โถมเข้ามากอดผมร้องไห้พูดว่า
“เหวินเหอ เจ้าฟื้นคืนแข็งแรงดีแล้วสินะ สวรรค์ทรงโปรดให้เจ้าปลอดภัยกลับมา มาๆ เราเข้าไปในบ้านพูดคุยกันให้หายคิดถึงเถอะ”
ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร หญิงชราก็จูงมือผมเข้าไปในบ้าน และบอกหญิงสาวที่ชื่ออาเจิน ตั้งสำรับอาหาร เมื่อหญิงชราจูงผมมานั่งโต๊ะได้ เธอก็พูดพล่ามไม่หยุด คิดว่าผมเป็นลูกของเธอจริง ผมพยายามจะหาจังหวะพูดแทรกอธิบาย แต่เธอก็เหมือนไม่ได้รับฟัง เอาแต่พร่ำพูดเรื่องเก่าๆระหว่างเธอกับลูกของเธอ ซึ่งผมไม่ได้รู้เรื่อง
จนในที่สุด ผมรู้สึกหญิงชราจะเข้าใจผิดบานปลายไปกันใหญ่ ผมจึงต้องขึ้นเสียงกลบเสียงเธอ พูดแทรกว่า
“ป้า เดี๋ยว ฟังก่อน..ผมไม่ใช่เหวินเหอลูกป้านะ ผมชื่อ เจ๋ง เป็นแค่คนหลงทางผ่านมา”
“ไม่ใช่ เจ้าคือเหวินเหอ เจ้าจำมารดาเจ้าไม่ได้แล้วหรือ…”
ท่าทางของหญิงชราเลิกลัก และมีอาการหวาดหวั่น นัยตาสั่นระริก ก่อนจะชี้นิ้วไปที่หญิงสาวที่กำลังยกสำรับกับข้าวมา พูดต่อว่า
“และนั้น.อาเจิน ภรรยาของเจ้า หรือเจ้าก็จำนางไม่ได้”
“ไม่ใช่ ผมยังไม่มีเมีย และผมก็ยังไม่รู้จักพวกคุณด้วยซ้ำ แล้วผมจะเป็นลูกและเป็นสามีเธอได้ยังไง…นี่คุณช่วยพูดอะไรหน่อยสิ คุณก็รู้ใช้มั๊ยว่าผมไม่ใช่สามีคุณ ช่วยอธิบายให้เธอเข้าใจหน่อย”
ผมหันไปบอกหญิงสาวที่ชื่ออาเจินให้ช่วยพูด เพราะเธอก็คงรู้ว่าผมไม่ใช่สามีเธอ เธอจึงพูดกับหญิงชราว่า
“มารดา ที่นี่ท่านเห็นหรือยัง ว่าเขามิใช่เหวินเหอ ท่านอย่าได้ดึงดันอีกต่อไปเลย เหวินเหอเสียชีวิตไปนานแล้ว ท่านเองก็ทราบ ไฉนจึงไม่ยอมรับความจริง”
หญิงชราพอฟังก็เหมือนคนสติแตก ทั้งส่ายหน้าทั้งกัดฟัน ก่อนจะกรีดร้อง พูดว่า
“ไม่จริง เหวินเหอยังไม่ตายเขานี่แหละคือเหวินเหอ เหวินเหอลูกของข้า พวกเจ้าโกหก พวกเจ้าโกหก”
หญิงชราเกิดอาการท่าทางคลุ้มคลั่งขึ้นมา จนหญิงสาวต้องไปกอดรัดตัวไว้ แล้วลากพาเข้าไปในห้องแล้วขังเธอเอาไว้ในนั้น ผมเลยได้แต่ยืนงงไม่รู้จะทำยังไง ดูแล้วท่าทางหญิงชราคนนี้จะเสียสติ ปักใจเชื่อว่าผมเป็นลูกของเธอ
อาเจินเมื่อจัดการกับหญิงชราเสร็จแล้ว เธอก็กลับมาหาผม พูดว่า
“ท่านอย่าได้หวั่นวิตกไปเลย ไม่นานนางก็จะสงบลง ตอนนี้รับประทานข้าวเถอะ”
ผมนั่งลงอย่างเงอะงะทำอะไรไม่ถูก แล้วเธอก็นั่งลงทานข้าวร่วมกับผมด้วย บรรยากาศผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ต่างคนต่างกินโดยไม่มีใครพูดอะไร จนผมอดได้ต้องถามว่า
“คุณป้าคนนั้นเขาไสบายเหรอ”
เธอขมวดคิ้วเหมือนคิดเรียบเรียงคำศัพท์ความหมายของผม ก่อนจะพูดว่า
“ท่านเป็นคนต่างเมืองหรือ คำพูดคำจา ฟังแล้วประหลาดนัก”
ผมคิดในใจว่า พวกคุณดูประหลาดกว่าอีก คำพูดคำจาอย่างกับหลุดมาจากหนังจีนยุคโบราญแต่เธอก็เล่าให้ฟังว่า คุณป้าคนนั้นหรือแม่ผัวของเธอ มีสติฟั่นเฟือน เนื่องจากเสียลูกชายไป ซึ่งก็คือสามีของเธอ
เหวินเหอนั้นหลังจากแต่งงานกับเธอได้ไม่นาน เพื่อนของเขาก็ชวนไปทำการค้าต่างเมืองโดยการค้าหนังสัตว์ เหวินเหอเห็นว่ากำไรดี และเป็นช่องทางตั้งตัวได้ จึงตัดสินใจร่วมคณะเดินทางไปด้วยทั้งที่เพิ่งแต่งงาน แต่โชคร้ายคณะเดินทางของเขาถูกโจมตีจากโจรภูเขา หนังสัตว์ทั้งหมดถูกชิงไป และเหวินเหอก็เสียชีวิตจากการถูกปล้นครั้งนั้น เพื่อนของเขาที่รอดตายมาได้ ได้มาส่งข่าว ทำให้หญิงชราแม่ของเหวินเหอนั้นเสียใจจนเสียสติ และคิดว่าลูกตัวเองยังไม่ตาย และเฝ้าแต่รอวันที่เหวินเหอจะกลับมาหา กระทั้งสามวันก่อน อาเจินไปหาเห็ดและสมุนไพรบนภูเขา ไปเจอผมหมดสติอยู่ เธอจึงพาผมกลับมารักษา เมื่อหญิงชราเห็นผม หน้าตาผมเหมือนเหวินเหอมาก เธอก็คิดว่า เหวินเหอกลับมาแล้ว นั้นคือเหตุที่ทำให้หญิงชราคิดว่าผมเป็นลูกของเธอ
“ผมเหมือนเหวินเหอ มากเลยเหรอ”
ผมถามอย่างสงสัย อาเจินยิ้มและตอบว่า
“มีส่วนคล้าย ทีแรกข้าพเจ้าเจอท่านนั้น ยังตกใจ แต่เมื่อดูไปก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะเหวินเหอสามีข้าพเจ้านั้น ตอนที่เสียชีวิตเขาเข้าวัย 35 แล้ว แต่ท่านดูอ่อนเยาว์กว่ามากนัก”
โอ้วแก่กว่ากูตั้ง 15 ปี ถ้าเหวินเหออายุ 35 แล้วผู้หญิงคนนี้อายุเท่าไหร่วะ ผมนึกคิดในใจและอดที่จะมองสำรวจใบหน้าของเธอไม่ได้ ตอนนั้นเองผมถึงได้เห็นว่าเธอเป็นคนสวยน่ารักเลยทีเดียว ดูแล้วอายุไม่น่าเกิน 20ต้นๆ แหนะ แบบนี้เหวินเหอมันก็วัวแก่เคี้ยวหญ้าอ่อนนี่หว่า แต่แปลกที่เธอยังสาวยังสวย ทำไมถึงไม่หาผัวใหม่ มาจมปรักอยู่แบบนี้ทำไม
ตอนนั้นอาเจินเห็นผมเอาแต่จ้องมองหน้าเธอไม่วางตา เธอต้องแสดงอาการบูดบึ้งและพูดว่า
“ท่านเสียมารยาทแล้ว ข้าพเจ้าช่วยชีวิตท่าน ท่านควรสำรวมและอย่าได้จ้องมองหน้าข้าพเจ้าเยี่ยงนั้น”
ผมถึงได้รู้สึกตัวต้องรีบขอโทษ และก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ นึกในใจว่า อะไรวะมองหน้าก็ไม่ได้ ที่นี่รู้สึกจะเคร่งธรรมเนียมกันเหลือเกิน
กับข้าวที่กินตอนนั้นก็นี่ไม่มีอะไรมาก แค่ต้มเห็ดและผัดผักเท่านั้น แต่สำหรับผมก็ถือว่าดีมากแล้ว ผมกินข้าวไปสองชามซัดจนอิ่มแปร่ ก่อนจะชวนอาเจินพูดคุยสอบถามถึงสถานที่ที่ผมอยู่นี่
“เออ อาเจิน ที่เนี่ยมันที่ไหนเหรอ”
อาเจิน มีสีหน้าไม่พอใจอีก เธอพูดว่า
“ท่าน ดูจะไม่มีมารยาทเอาจริงๆ ผู้ใดให้ท่านเรียกข้าพเจ้าว่าอาเจินอย่างสนิทสนม ท่านเองก็ทราบว่าข้าพเจ้าแต่งงานกับคนแซ่กา แล้ว ดังนั้นท่านต้องเรียกต้องข้าพเจ้าว่า กาฮูหยิน จึงถูกต้อง”
“ห๊า…ก…ก็ได้ กาฮูหยิน ก็กาฮูหยิน เออคือกาฮูหญินพอจะบอกผม เอ้ย ข้า ได้ไหม พะยะค่ะ เอ้ย ไม่พะยะค่ะสิ อ้อ ได้หรือไม่ ใช่แล้ว เอาใหม่นะ กาฮูหยิน.พอ.จะบอก ข้า พะ เจ้า ได้หรือไม่ ว่า ที่ แห่งนี่ มันคือ ที่ใด”
ผมพูดช้าๆอย่างอยากเย็น เพื่อพยายามนึกเรียงคำศัพท์โบราญ มาพูดกับเธอ เพราะกลัวโดนด่าเสียมารยาทอีก แต่ท่าทางของผมกลับทำอาเจินหลุดหัวเราะคิก ผมเลยแกล้งทำเป็นโกรธพูดตัดพ้อว่า
“เห็นมั๊ย คุณ เอ้ย ท่านก็เสียมารยาทเหมือนกัน คนกำลังพูดอย่างตั้งใจ มาหัวเราะเยาะกันได้ยังไง”
อาเจินหน้าเสียสำนึกผิด รีบกล่าวคำขอโทษ ผมจึงยิ้มให้รู้ว่าผมล้อเล่น ก่อนจะพูดว่า
“ช่างมันเถอะ ผมเป็นคนต่างบ้านต่างเมือง พูดไม่ถนัดเท่าไหร่ อาจจะเสียมารยารทไปบ้าง ก็อย่าถือสากันเลยนะ พรีส ขอร้อง”
อาเจินเผลอยิ้มหัวเราะน้อย เมื่อเห็นผมยกมือไหว้พนมขอร้องด้วยแววตาท่าทางอ้อนวอน เธอจึงไม่ถือสาเรื่องมารยารทกับผมอีก แล้วบอกผมว่าที่นี่มันคือที่ไหน
ที่นี่ก็ยังอยู่ในเขตเมือง อู๋เหว่ยนั่นแหละ แต่ทำไมผมยิ่งฟัง ทำไมมันไม่เหมือนเมือง อู๋เหว่ยที่ผมรู้จักว่ะ สถานที่ที่เธอบอกมันไม่ตรงกับที่ผมรู้ก่อนมาเที่ยวเลย ผมพยายามถามถึงเมืองใหญ่ที่มีท่ารถ เพราะผมจะได้นั่งรถกลับไปบ้านได้ หรือไม่ก็สถานที่ใกล้ๆ ที่มีโทรศัพท์ให้ผมโทรติดต่อคนรู้จักเพื่อแจ้งข่าว
แต่เธอไม่เข้าใจว่าอะไรคือท่ารถ อะไรคือรถยนต์ อะไรคือโทรศัพท์ และไม่รู้จักอะไรเลยที่เป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทั้งไฟฟ้า หม้อหุ้งข้าว ทีวี ตู้เย็น
ที่นี่สันจรไปมาด้วยการขี้ม้าและเกวียน หุงข้าวทำอาหารกันด้วยฟืนและเตา และใช้แสงสว่างจากเทียนหรือตะเกียงในยามค่ำคืน ส่วนการติดต่อสื่อสารนั้นไม่ต้องพูดถึง คงต้องใช้นกพิราบหรือสัญญาณควันอะไรเทือกนั้น อะไรมันจะกันดารหลุดโลกปานนั้น ตอนนั้นผมกลับคิดว่า ไม่ใช่แค่หญิงชราหรอกที่สติฟั่นเฟือน อาเจินอาจจะมีปัญหาด้วย มันเป็นไปได้ยังไง ที่คนสมัยนี้ไม่รู้จักอะไรเลยอย่างน้อยๆ โทรศัพท์ หรือรถยนต์ก็ต้องรู้ เพราะมันเป็นพื้นฐานการเข้าถึงทุกพื้นที่ในโลก
เหี้ยแล้ว….กูหลุดมาที่ไหนว่ะ นั้นคือคำถามที่เกิดขึ้นมาในหัวผม