กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 5
โดย saradio
ผมถูกจับมัดทิ้งให้นั่งมุมบ้าน ฟังพวกมันปรึกษาว่าจะเอายังไงกับผม ผมกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว เพราะคิดว่า ตูตันเหล่ย ยังไงก็จะไม่ฆ่าผม เนื่องเพราะมันที่ตกอยู่ในสภาพเจียนตายนี้ ก็เพราะไม่ต้องเข่นฆ่าชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ แล้วจริงอย่างที่ผมคิด
ตูตันเหล่ย บอกกับคนของมันว่า
“ทิ้งมันไว้แบบนี้ เมื่อเราออกจากที่นี่ ค่อยปล่อยมันไป”
มันพูดกระท่อนกระแท่น อาการสาหัส แม้แต่อาหารก็กล้ำกลืนไม่ลง ดูแล้วไม่น่ารอดไปได้ถึงพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ ผมนึกถึงวีรกรรมของมันที่มันทำในหมู่บ้าน คิดอยากรู้ความคิดมัน จึงเอ่ยปากพูดว่า
“จอมยุทธ์ ตู ข้าพเจ้าเห็นสิ่งที่ท่านทำในหมูบ้านนั้น ท่านยอมที่จะแตกหักกับพวกพร้องถึงขั้นห้ำหั่นเป็นตาย แต่กลับไม่ยอมลงมือสังหารชาวบ้าน ข้าพเจ้าเห็นแล้ว ทำให้นับถือท่านนัก”
ทุกคนฟังต้องมองมาที่ผมเพียงจุดเดียว สาวน้อยเกราะหนังดำ ชี้ปลายทวนมาที่ผม พูดว่า
“เจ้าหนี มาจากหมู่บ้านนั่น รึ”
ผมพยักหน้ารับ พูดต่อว่า
“ข้าพเจ้าคือคนที่ร้องแหกปาก กุเรื่องบอกชาวบ้านว่าทหารมาแล้ว”
ทุกคนได้ฟังถึงกับมองหน้ากัน สีหน้าสับสนระคนกระดากอายตัวเองที่เสียรู้ สาวน้อยเกราะหนังดำนึกถึงตอนที่ตัวเองพาพวกพร้องรีบเร่งหนีทหารอย่างหัวซุกหัวซุน พลันนึกขายหน้าจนพาลโมโห เงื้อทวนในมือขึ้นหมายลงมือสั่งสอน แต่ตูตันเหล่ย รีบห้ามว่า
“ช้าก่อน คนผู้นี้ แม้จะกุเรื่องหลอกลวงพวกเรา แต่ก็ช่วยให้เรารอดพ้นจากเอียดปิด เรื่องที่มันทำกลับส่งผลช่วยเราเอาไว้ เจ้าอย่าได้ทำร้ายมัน”
มันพูดจบก็ สำลักไอโขรกๆไม่หยุด สาวน้อยเกราะหนังดำจึงไม่ได้ฟาดทวนลงมา แต่กลับไปรีบดูอาการของตูตันเหล่ยแทน
“ท่านพ่อ ท่านอย่าเพิ่งได้กล่าวมาก ทางที่ดีควรพักผ่อน เรื่องคนๆ นี้ปล่อยให้ข้าพเจ้าจัดการเอง”
ตูตันเหล่ย โบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร และพูดกับผมต่อไปว่า
“พ่อหนุ่ม เจ้าเรียกว่า กระไร”
“ข้าพเจ้า แซ่กา เรียกว่าเหวินเหอ”
“เหวินเหอรึ.. ดูท่าทางเจ้าฉลาดมีภูมิความรู้อย่างกับบัณฑิต ไฉนจึงมาอยู่ที่หมูบ้านกันดารที่นั่น”
ตูตันเหล่ย ชวนคุยสอบถาม คล้ายสงสัยอยากรู้ในตัวผม ผมจึงบอกว่า
“บอกตามความสัตย์ ข้าพเจ้าแท้จริงไม่ใช่คนในหมู่บ้านนั้น เพียงแต่ผ่านทางมาเห็นเหตุการณ์ เห็นวีรกรรมที่ท่านทำ นึกศรัทธาในตัวท่าน เลยคิดอุบายช่วยเหลือ”
ผมบอกตามความจริง แต่พูดด้วยความนอบน้อม ยกยอปอปั้นมันนิดหน่อย ทวงบุญคุณมันเล็กน้อย บอกให้รู้ว่าแผนนั้นเจตนาช่วยเหลือมัน นั่นอาจจะทำให้ ตูตันเหล่ยสำนึกบุญคุณ จนยอมปล่อยผมไปได้เร็วขึ้น
และมันได้ผล ตูตันเหล่ย หลับตาทบทวนเหตุการณ์คำพูดผม ก่อนจะเผยยิ้ม กับผม และบอกกับสาวน้อยเกราะหนังดำว่า
“ที่แท้ คุณชายท่านนี้ ต้องการช่วยเหลือเรา ตูตู้หลุน เจ้ารีบไปแก้มัดให้เขา อย่าให้เขาได้รับความลำบาก”
สายน้อยเกราะหนังดำ นามตูตู้หลุน ก็รีบมาแก้มัด พร้อมกล่าวขออภัยว่า
“ข้าพเจ้า ขออภัยที่ล่วงเกินท่าน”
ผมแอบซ่อนยิ้มในใจ เช่นนี้เท่ากับว่าผมสามารถอยู่กับคนพวกนี้ได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล เลยบอกสาวน้อยตูตู้หลุนว่า
“ไม่เป็นไรๆ แต่คราวหลังครั้งหน้าหากเจอกัน ก็ทักทายด้วยรอยยิ้มของเจ้าแทนคมทวนแล้วกัน ไม่อย่างนั้นมันทำให้เสียวคอหอย”
นิสัยเดิมผมโผล่อย่างไม่ทันระวัง เมื่อเจอสาวสวยมักจะอดพูดจายิ้มเย้าแหย่ไม่ได้ ตูตู้หลุน ดูจะปั้นหน้ารับได้ยากยิ่ง จะยิ้มก็ไม่ยิ้มจะขรึมก็ไม่ขรึม ดูกระอักกระอวนวางสีหน้าไม่ถูก คล้ายกับไม่เคยถูกบุรุษหยอกเย้ามาก่อน เลยรีบถอยออกไปอยู่ข้างกายตูตันเหล่ย
ตูตันเหล่ยก็เชิญให้ผมนั่งบนเกาอี้แทนที่จากที่นั่งพื้นในตอนแรก แล้วสั่งบริวารให้เอาถุงผ้าของผมมาคืน จากนั้นก็กล่าวว่า
“คุณชายกา คนของข้าริบของของท่านมา เพราะความไม่รู้ ขอให้ท่านอย่าถือสา ในห่อผ้านี้ นอกจากอาหารที่เอามาแบ่งปันกันทานแล้ว นอกนั้นยังอยู่ครบ ข้าพเจ้าขอคืนให้แก่ท่าน”
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ท่านเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง ยามเดือดร้อน ข้าพเจ้าก็ย่อยยินดีช่วยเหลือ อาหารเพียงเล็กน้อยนี้ ไม่อาจนับเป็นอย่างไรได้”
ตูตันเหล่ย ยิ้มอย่างพึงพอใจ มันรู้สึกภาคภูมิ เมื่อฟังคำผม เพราะผมมักยกย่อว่ามันเป็นผู้มีคุณธรรม คนในยุทธจักรมักพึงพอใจกับคำนี่ที่สุด มันจึงพูดคุยกับผมได้ถูกคอ ชักชวนผมพูดคุยไม่หยุด ทั้งที่มันบาดเจ็บเจียนตาย แล้วมันก็สอบถามว่าผมจะไปยังที่ใด ผมบอกว่าจะไปเมือง อู๋เหว่ย และถามกลับมันไป ว่าพวกมันกำลังจะไปไหน
ตูตันเหล่ยกลับมีสีหน้าสลดหดหู่ พูดตัดพ้อระบายความในใจว่า
“แผ่นดินกว้างใหญ่ แต่ตอนนี้ ไม่มีที่ให้ข้าตูตันเหล่ยเหยียบยืน แต่ก่อนเข้าใจว่า จะช่วยกอบกู้บ้านเมืองช่วยเหลือประชาชน แต่กลับหลงทางช่วยสร้างภัยพิบัติใหญ่หลวง การก่อกบฏครั้งนี้สร้างความเดือดร้อนให้อาณาประชาราชหนักกว่าเดิม ทั้งยังมิเห็นแสงแห่งความหวัง อุดมการณ์ของพลพรรคโพกผ้าเหลือง เป็นเพียงตัวอักษรทีไม่สามารถปฏิบัติได้จริง เขาตีชิงเมืองสำเร็จก็ไม่สามารถบริหารจัดการได้ ยังต้องใช้วิธีปล้นสะดม ชิงทรัพย์สินจากประชาชน เข้าทำสงคราม ข้าตูตันเหล่ยนึกสาปแช่งตัวเองนัก ตายไปก็ไม่มีหน้าไปพบบรรพชน”
มันพูดจบก็น้ำตาหลั่งไหล รันทดใจถึงที่สุด พาให้บรรดาบริวารของมัน ร่วมถึง ตูตู้หลุนหลั่งน้ำตาตาม ฟังดูแล้วตอนนี้ เหมือนพวกมันไม่มีที่ไป เพราะทางหนึ่งก็เพิ่งเป็นศัตรูกับพวกโจรผ้าเหลือง อีกทางหนึ่งก็เป็นศัตรูทหารราชสำนัก ลองเป็นอีแบบนี้ก็มีแต่ตายแหงแก๋
ผมจึงรู้สึกหดหู่ตามไปด้วย ในทีแรกยังนึกคำพูดอะไรไม่ออก แต่สักพักคิดได้ จึงพูดว่า
“ท่าน ตูตันเหล่ย อย่าได้เสียใจไป การที่ท่านแยกตัวจากกบฏโจรผ้าเหลืองเป็นเรื่องที่ดีแล้ว เพราะต่อไปไม่นานกบฏผ้าเหลืองจะถูกปราบจนราบคราบ อุดมการณ์เตียวก๊กจะสูญสิ้น เมื่อท่านถอนตัวตอนนี้ ก็ไม่ต้องตายอย่างหน้าอนาถ แถมยังถูกตราหน้าว่าเป็นโจรขบถ”
ตูตันเหล่ย ขมวดคิ้วสงสัย ถามว่า
“ท่านทราบได้อย่างไรว่า พลพรรคผ้าเหลืองจะพ่ายแพ้ หึ หึ ท่านไม่ทราบหรอกรึ ตอนนี้ เตียวก๊ก เข้ายึดภาคกลางได้สามสี่หัวเมืองแล้ว มีกำลังทหารนับสิบหมื่น ทหารราชสำนักรบแพ้ต่อเนื่อง ไม่นานเตียวก๊กก็คงพิชิตลั่วหยางได้”
ผมจึงยิ้มพูดว่า
“เตียวก๊ก ต่อให้มีกำลังมากกว่าเดิมถึงสองเท่า ก็ไม่สามารถทำการได้สำเร็จหรอก ที่ตอนนี้เตียวก๊กดูแข็มแข็งกว่าเอาชนะทหารฮั่นได้ เพราะแผ่นดินฮั่นเว้นว้างสงครามมานาน ทหารขาดการซ้อมรบ ย่อมไม่อาจต้านทานทัพเตียวก๊กที่มีความฮึกเหิมได้
แต่รากฐานทั้งสองฝ่ายต่างกัน ทหารเตียวก๊กแม้มีใจฮึกเหิม แต่ล้วนเป็นชาวบ้าน ชาวนา หรือไม่ก็โจร ที่ไร้ระเบียบวินัย ผิดกับทหารราชสำนัก มีกฎระเบียบวินัยชัดเจน มีการฝึกทหารเป็นขั้นเป็นตอน แม้ตอนนี้อาจจะพ่ายแพ้ แต่ไม่นานก็ฟื้นฟูได้ อีกทั้งราชสำนักจะประกาศหาคนดีมีฝีมือมาช่วย บุคคลที่อยากสร้างชื่อในแผ่นดินนี้มีมากหลาย คนดีมีฝีมือจะเข้าเสริมกองทัพ เมื่อเป็นเช่นนี้ เตียวก๊กก็ต้านทานไม่ได้แล้ว”
ตูตันเหล่ยฟังผมวิเคราะห์จนอึ้ง ในตากรอกขยับเหมือนคิดตาม ยามกะทันหัน ยังพูดสิ่งใดไม่ออก ผมจึงบอกต่อไปว่า
“ท่านเองก็เช่นกัน หากคิดว่าตนเองไม่มีที่ไป แผ่นดินไร้ที่เหยียบยืน ไฉนจึงไม่เข้าร่วมกับราชสำนักปราบปรามโจรกบฏ สร้างชื่อหาที่เหยียบยืนให้กับตนเอง”
ตูตันเหล่ย คิดแล้วพูดว่า
“ท่านวิเคราะห์ได้ทะลุปรุโปร่งราวกับตาเห็น ข้าพเจ้าเลื่อมใสยิ่งนัก แต่ติดที่ว่าพวกเราล้วนมีคดีติดตัว ทางการไหนเลยรับไว้ มีแต่จำจองจำขังคุก หรือไม่ก็โดนโทษประหาร”
ผมจะไม่วิเคราะห์ ราวกับตาเห็นได้ยังไง ก็ในเมื่อพอรู้เรื่องนี้ผ่านๆมาบ้าง ซึ่งรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว ว่าโจรผ้าเหลืองแพ้ ผมก็แค่พูดจับโน้นจับนี่มาประติดประต่อกันให้สมเหตุสมผลก็เท่านั้น ผมจึงบอกไปว่า
“ตอนนี้ ทางการต้องการคน ขอเพียงช่วยกันร่วมปราบขบถ ย่อมไม่สนอดีตที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเคยช่วยเหลือชีวิตนายทหารท่านหนึ่ง คงพอช่วยพูดคุยกับมันได้”
ตูตันเหล่ยพอฟังแล้วตาเป็นประกาย พยายามลุกขึ้นคุกเข่า ทุกคนร่วมทั้งผมเห็นแล้ว พยายามห้ามไว้ แต่ตูต้นเหล่ยก็ยังคุกเข่าลงไปอยู่ดี ประสานมือคาราวะต่อผมพูดว่า
“หาก คุณชายกา ยินยอมช่วย เหลือข้าพเจ้าจะสำนึกบุญคุณยิ่ง ลำพังตัวเองไม่เท่าไหร่ รู้ตัวว่าอยู่ได้ไม่เกินมะรื่น แต่กับบุตรตรีและบริวารของข้าพเจ้านี้ หากได้ชีวิตใหม่ไม่ต้องหลบหนีคดี สามารถช่วยเหลือทางการ สร้างชื่อเสียงให้กับพวกมันได้ ข้าพเจ้าก็นอนตายตาหลับแล้ว”
ตูตันเหล่ย กล่าวด้วยความจริงใจน้ำตาหลั่งไหล พร้อมกับบอกให้ ตูตู้หลุนและลูกน้องบริวาร อีก 3 คน ประกอบไปด้วย เตียนเข๋ง อุ้ยกัง อุ้ยกี สองพี่น้อง ทั้งสามคนเป็นบริวารที่พักดีกับตูตันเหล่ย แม้ตูตันเหล่ยจะบาดเจ็บเจียนตายก็ไม่ทอดทิ้ง ตูตันเหล่ยสำนึกขอบคุณพวกมัน ดังนั้นเป็นห่วงว่าเมื่อมันตายไปแล้ว คนพวกนี้และบุตรสาวตัวเองจะไม่มีที่พึง ตอนนี้คำกล่าวผมเหมือนเห็นแสงสว่างชี้นำทาง จึงฝากชีวิตคนพวกนี้ไว้กับผม
ผมคิดว่าผมทำได้และไม่เหลือบ่ากว่าแรง ที่จะไปพูดกับเตียวสิ้วให้รับคนพวกนี้เข้าเป็นทหาร ปัญหาอย่างเดียวคือต้องหาเตียวสิ้วให้เจอเพราะอาเจินก็อยู่กับมัน ถ้าได้คนพวกนี้เดินทางร่วมไปกับผมคงปลอดภัยกว่าเดินทางตัวคนเดียว เพราะพวกมันก็ดูมีฝีมือกันไม่น้อย โดยเฉพาะสาวน้อย ตูตู้หลุน ทำให้ผมมีโอกาสมีชีวิตรอดที่จะไปตามหาเตียวสิ้วจนเจอ ก็ถือว่าสมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ผมจึงตกปากรับคำ
ตูตันเหล่ยขอบคุณไม่ขาดปาก แต่มันก็มีอีกเรื่องที่จะขอร้อง พูดกับผมว่า
“ข้าพเจ้ามีเรื่องรบกวนคุณชายอีกเรื่อง ไม่ทราบท่านพอจะรับปากได้หรือไม่”
ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ก็พยักหน้าให้มันพูดออกมาก่อน ตูตันเหล่ย ชี้ไปทีตูตู้หลุน พร้อมพูดว่า
“ข้าพเจ้า มีบุตรสาวเพียงคนเดียว นางเป็นสาวบ้านป่า เติบโตมากับคมหอกคมดาบ พูดจาห้วนไม่ใคร่หวานหูนัก แถมมิได้มีความเป็นกุลสตรีเพียบพร้อม ปีนี้นางอายุ 16 เป็นวัยที่ควรออกเรือนได้ หากท่านไม่รังเกียจ ก็ช่วยรับนางเป็นภรรยาด้วยเถิด”
คำขอนี้ทำเอาผมอ้าปากตาค้าง ตูตู้หลุนเองก็เช่นเดียวกัน นางทั้งอายทั้งหวาดหวั่น เอ่ยเสียงตัดพ้อว่า
“ท่านพ่อ ท่าน…. ข้าพเจ้าจะไม่แต่งงานไปไหน ข้าพเจ้าจะอยู่กับท่าน”
นางพูดเท่านี้ก็หลั่งน้ำตาร่ำไห้ หมดสภาพความแข็งแกร่งที่เคยเห็น ตูตันเหล่ยกลับยิ้มปลอบ พูดว่า
“เด็กโง่ เรารู้ตัวว่าใกล้ตายแล้ว เจ้าจะอยู่กับเราได้อย่างไร คุณชายท่านนี้ มีรูปลักษณ์สง่างาม อีกทั่งมีความฉลาดหลักแหลมความรู้กว้างขวาง หากเจ้าได้เขาเป็นสามีภายภาคหน้าย่อมสุขสบาย เราก็เบาใจได้ตายตาหลับอย่างหมดห่วง หากเจ้ามิยอม บิดานั้นก็ยากจะเดินทางสูปรโลกได้อย่างสบายใจ หรือเจ้าอยากให้ข้าทุกข์ทนเป็นผีเร่รอนอยู่อย่างนั้นหรือ”
ตูตู้หลุนสะอึกสะอื้น ไม่ได้พูดอะไรได้แต่ส่ายศีรษะเร้าๆ ไม่รู้ว่าไม่อยากแต่งงาน หรือไม่อยากให้พ่อตัวเองเป็นผีเร่ร่อนกันแน่ แต่ตูตันเหล่ยนั้นตัดสินใจแล้ว ไม่คิดเปลี่ยนแปลง จึงหันมาพูดกับผมว่า
“คุณชาย นี่ถือเป็นคำขอสุดท้าย ข้าพเจ้าขอฝากฝังนางไว้กับท่าน หวังว่าท่านคงเห็นแกข้าพเจ้าที่ใกล้ตาย รับปากจะดูแลนางในเรื่องนี้”
ผมรู้สึกอึดอัดใจ ยังไม่ได้ตอบไปในทันที มิใช่ว่าไม่ชอบตูตู้หลุน ถึงนางจะไม่ใช่สาวน้อยรูปกายอ้อนแอ้นอ่อนหวาน แต่นางก็สวยน่ารักดูมีเสน่ห์แบบธรรมชาติ แถมบุคลิกยังดูอาจหาญงามสง่าน่าหลงใหล ยามนางเคลื่อนไหวร่ายรำทวนหรือเดินเหิน มันดูมีทั้งความเข้มแข็งของผู้ชายและสรีระอ่อนไหวของผู้หญิงมาผสานรวมกัน นับว่าเป็นบุคลิกที่หาได้ยากยิ่ง และที่สำคัญนางอายุก็แค่ 16 มันจะมีใครบ้างไม่อยากได้นางเป็นเมีย แต่ติดที่ว่าผมมีอาเจินเป็นเมียอยู่แล้ว
ถึงแม้ในยุคสามก๊กนี้ผู้ชายมีเมียมากกว่าหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำคัญจะต้องมีปัญญาหาเลี้ยงเมียให้ได้ด้วย เราจึงเห็นบรรดาเศรษฐีผู้มีอำนาจในยุคนี้ มีเมียมากมาย แต่ทางกลับกัน คนจนนั่นกลับมีเมียแค่คนเดียว ผมคิดว่า ตูตันเหล่ยเห็นผมเป็นบัณฑิต มีภูมิความรู้ คงคิดว่าผมมาจากต้นตระกูลสูงส่ง เลยคิดจะยกลูกสาวให้ หารู้ไม่ผมเป็นแค่คนขายผ้าทอขนเกะ ซึ่งตอนนี้ แกะก็ไม่เหลือให้ถอนขนแล้ว กลับไปยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรหาเลี้ยงเมีย หากเพิ่มอีกคน คงต้องได้กัดก้อนเกลือกิน และที่สำคัญอาเจินจะคิดยังไงกับเรื่องนี้
ตูตันเหล่ย เห็นผมอ่ำอึ้งลำบากใจ เนินนานยังไม่ได้รับปาก กลับคิดว่าผมไม่ชมชอบ ตูตู้หลุน เพราะคงเห็นนางไม่มีเสน่ห์อ่อนหวานเหมือนหญิงสาวทั่วไป พลันแสดงสีหน้าผิดหวัง แต่ก็ไม่บีบบังคับ พลางถอนหายใจแล้วพูดว่า
“หากท่านลำบากใจ ก็ไม่เป็นไร ข้าพเจ้าเองก็ไม่อยากบังคับท่าน ถือว่าเรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่ได้พูดก็แล้วกัน”
ฟังตูตันเหล่ยพูดแบบนี้ ผมพลันรู้สึกใจหาย นึกเสียดายขึ้นมา เลยรีบพูดว่า
“ท่านอย่าได้เข้าใจผิด แต่ข้าพเจ้าไม่ได้รับปาก เพราะตกใจในวาสนาตนเอง หากท่านเห็นว่าข้าพเจ้าสามารถดูแลลูกสาวท่านได้ ข้าพเจ้าก็ยินดี พร้อมจะทำตามนั้น”
แล้วผมก็รีบคุกเข่าลง ประสานมือคาราวะ เรียกว่า
“ท่านพ่อ” เพราะกลัวมันเปลี่ยนใจ
ตูตันเหล่ยเห็นแบบนี้ ก็เผยยิ้มหัวเราะชอบใจ มันหัวเราะมากไปหน่อย จนไอกระอักอีกครั้ง เมื่อพอหยุดหายไอ ก็พูดอย่างยินดีว่า
“ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็แต่งงานกันเลย”
คำกล่าวนี้ ทำให้ เตียนเข๋ง และอุ้ยกัง อุ้ยกี สองพี่น้อง ต่างส่งเสียงเชียร์ เพราะเห็นเป็นเรื่องดี ทำเอาตูตู้หลุน อายจนโมโห หน้าบูดบึง ตวาดว่า สามคนนั้น
แต่ตูตันเหล่ย กับว่าลูกสาวตัวเองว่า
“เจ้าจะแต่งงานมีสามีอยู่รอมร่อ ยังแสดงกริยาเป็นม้าดีดกะโหลกอีก ยังไม่รีบไปคุกเข่าข้างสามีเจ้าแล้วกราบไหว้ฟ้าดิน”
ตูตู้หลุนถึงกับกระทืบเท้าแง่งอน ตัดพ้อบิดา พูดจาบ่ายเบี่ยงไม่ยอมแต่ง แต่ตูตันเหล่ย ก็ใช้ความเป็นพ่อบวกกับความใกล้จะตาย บีบบังคับให้นางยอมจนได้ ตูตู้หลุนจึงต้องมานั่งคุกเข่าข้างผม แล้วก้มกราบฟ้าดินพร้อม แล้วคำนับกันและกันประกาศเป็นสามีภรรยา
จากนั้นเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อตูตันเหล่ย คิดอยากให้เข้าหอในคืนนี้ โดยสั่งให้ เตียนเข๋ง อุ้ยกัง อุ้ยกี ทั้งสามคนไปส่งตัวบ่าวสาวเข้าหอ ที่ห้องว่างในบ้าน
เมื่อประตูห้องปิดลง เหลือผมกับ ตูตู้หลุนเพียงลำพังกันสองคน ความรู้สึกมันช่างวาบหวิว ตื่นเต้นจนใจสั่น พอผมขยับตัว ตูตู้หลุนก็ตกใจ ถลันตัวหลบไปถึงมุมห้อง แล้วชักมีดสั้นออกมา กล่าวขู่ว่า
“ท่านอย่าได้เข้ามา หาไม่แล้ว ข้าพเจ้าจะฆ่าท่าน”
ผมกลับไม่กลัว เพราะคิดว่า ตูตู้หลุนไม่กล้าทำจริง แต่คิดในใจว่า เมื่อนางไม่พร้อมก็ไม่ควรไปบีบบังคับหักหาญน้ำใจ หาไม่แล้วแทนที่มันจะเป็นความสุขมันจะเป็นความทุกข์แทน จะอย่างไรตอนนี้ก็มีพันธะผูกพันกันแล้ว ตูตู้หลุน ก็เหมือนลูกไก่ในกำมือ ผมจึงไม่ต้องเร่งรีบ จะค่อยๆใช้วิธีซื้อใจนางไปทีละน้อย ให้นางได้ซึมซับและยอมรับในตัวผม
ผมจึงยิ้มพูดว่า
“เจ้าอย่ากลัวไปเลย ข้าไม่ทำอะไรหรอก ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจ ที่ทำไปเพราะเห็นแก่พ่อที่กำลังจะตาย ข้าเข้าใจดี เจ้าเก็บมีดเถอะ”
ตูตู้หลุดพอฟัง ก็น้ำตาหลั่งไหล เหมือนคำพูดผมไปตอกย้ำจิตใจนาง ถึงกลับหลุดปากเรียก ท่านพ่อ ออกมา ผมเห็นแล้วนึกเวทนาพัดพาอารมณ์หื่นหายไป พลางถอนหายใจ พูดปลอบว่า
“เฮ้อ คนเราเกิดมาก็ต้องตาย เจ้าก็ทำใจเถอะ เจ้ายังดียังมีโอกาศได้ล่ำลาฟังคำสั่งเสีย ได้ทำในสิ่งที่ท่านต้องการในวาระสุดท้ายของชีวิต แต่ข้านี่สิ แค่คำรำลาสั่งคำก็ยังไม่ได้เอ่ย…”
ตูตู้หลุน ฟังแล้วก็รู้ว่า ผมเพิ่งเสียคนอันเป็นที่รักไป ต้องถามอย่างอยากรู้ว่า
“ท่านก็เพิ่งเสียบิดาไปอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่บิดา หากแต่เป็นมารดา นางถูกยิงด้วยธนู ขณะพวกเรากำลังหนีพวกโจร ก่อนที่ข้าพเจ้าจะซัดเซหนีมาที่นี่”
ผมบอกน้ำตาคลอ เมื่อนึกถึงการตายของกาฮูหยิน ตูตู้หลุนต้องสลดเสียใจตาม และไม่กล้าสบตาผม เพราะนึกถึงตัวเองก็เป็นกลุ่มโจรเช่นเดียวกันกับคนพวกนั้น
ผมเห็นนางมีท่าทีที่อ่อนลง จึงพูดว่า
“เดี๋ยวเรานอนกันที่นี่ เจ้านอนข้างบน ข้านอนบนพื้น สักสองชั่วยามเราค่อยลงไป จะได้ไม่สร้างความสงสัยให้กับพ่อเจ้า”
พร้อมกับพูด ผมก็ไปหาของพอที่จะหนุนหัวได้มาหนุนนอนกับพื้น ทำเป็นจะหลับ โดยไม่สนใจตูตู้หลุนอีก ตูตู้หลุนจึงเก็บมีดสั้น แล้วไปนั่งบนเตียงเพียงเดียวดาย สภาพบรรยากาศที่ต้องอยู่ตามลำพังกับบุรุษที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีนั้น ทำให้นางใจตุ่มๆต่อมๆ หลับลงได้ยาก บางครั้งรู้สึกวาบหวิว บางครั้งก็รู้สึกอึดอัดทำอะไรไม่ถูก นางจึงนอนกระสับกระส่ายไปมา และรอเวลาให้ถึงสองชั่วยาม บางครั้งก็ชะโงกมาแอบมองดูผม ว่าผมหลับไปหรือยัง พอผมขยับตัว นางก็รีบทำเป็นนอน
จนถึงสองชั่วยาม นางก็รีบมาปลุกผม
“คุณชาย สองชั่วยามแล้ว ท่านตื่นเถอะ”
ผมดันเผลอหลับไปจริง และตื่นขึ้นมาอย่างงั่วเงีย ตูตู้หลุน รีบจะออกจากห้อง ผมบอกว่าเดี๋ยว แล้วเรียกนางเข้ามา ตูตู้หลุน ไม่รู้ว่าอะไร แต่ก็เดินมาหา ผมเอามือยี้หัวนางให้เรือนผมยุ่ง นางตกใจถามว่า
“ท่านทำกระไร”
“ก็ทำให้เจ้าดูเหมือนเพิ่งผ่านการเข้าหออย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนมายังไง”
ตูตู้หลุนพอนึกได้ ก็หน้าแดงซ่าน ตีหน้าขรึมไม่พูดอะไร ผมดูแล้วรู้สึกชอบสาวจีนสมัยก่อนอยู่อย่าง อะไรที่ผมพูดฟังสองแง่สองง่าม พวกนางจะมีปติกริยาเขินอายอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนึกภาพตาม แต่หากเป็นสมัยที่ผมอยู่ ผู้หญิงก็แค่หัวเราะเห็นเป็นเรื่องปกติ ซึ่งผมชอบปติกิริยาตอบรับของหญิงสาวสมัยสามก๊กมากกว่า มันดูเย้ายวนดี
เมื่อเรียบร้อยแล้ว ตูตู้หลุนกับผม ก็พากันลงไปข้างล่าง ตูตันเหล่ย แม้นอนบอดเจ็บร่อแร่ เมื่อเห็นผมเผ้าลูกสาวตัวเอง ก็อดหัวเราะชอบใจไม่ได้ ถึงกับยิ้มแย้มมีเลศนัย พูดกับพวกผมว่า
“พวกเจ้าลงมากันทำไม เหตุไฉนไม่อยู่ต่อ”
“พวกเราเป็นห่วงท่านพ่อ ตูตู้หลุนอยากจะมาดูแล ข้าเลยพาลงมา”
ตูตันเหล่ยมองลูกสาวอย่างเอ็นดูซาบซึ้ง พูดว่า
“เด็กโง่ วันนี้เป็นวันมงคลของเจ้า เจ้าควรอยู่กับสามีจึงถูก”
ตูตู้หลุนน้ำตาไหลไม่พูดอะไร เอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ เนื่องเพราะตอนนี้ ตูตันเหล่ยไข้ขึ้นสูง จากพิษบาดแผลติดเชื้อ จนแผลเป็นสีม่วงคล้ำ ผมดูแล้วตูตันเหล่ยถ้าจะรอดได้ยาก และเป็นจริงตามนั้น
วันรุ่งขึ้น ตูตันเหล่ยตัวร้อนดังไฟ พร่ำเพ้อ ไม่เป็นศัพท์ สติสัมปชัญญะเริ่มเลือนหายไป พอเข้าอีกวันตอนตกเย็นก็หมดลมหายใจไปอย่างสงบ
ตูตู้หลุน จัดการฝังศพ พ่อของเธออย่างเรียบง่าย จากนั้นทั้งหมดก็ออกเดินทางติดตามผมไปเมือง อู๋เหว่ย
———————————————-