กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 6

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 6

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 6
โดย saradio

หลังจากเดินทางรอนแรมได้สองอาทิตย์ ก็บรรลุถึงเมือง อู๋เหว่ย ตอนนี้เมืองทั้งเมืองมีแต่ซากบ้านเรือนถูกไฟเผา ศพทหาร ศพโจรกบฏ ตายเน่าเกลื่อนเมือง ดูเป็นที่น่าสยดสยอง ที่นี่คงผ่านการรบมาอย่างหนักหนาสาหัส จนมีสภาพเป็นไปเช่นนี้
ผมใจไม่ดี ไม่รู้ว่า เตียวสิ้ว จะพาอาเจินหนีมาที่นี่หรือไม่ ถ้าหากมาก็น่าหวั่นวิตก พวกเขาจะได้รับอันตรายหรือไม่ ขณะคิดหวั่นใจอยู่นั้น
เตียนเข๋ง ที่ขี่ม้านำอยู่ข้างหน้า ก็ขี่ม้าวิ่งกลับมา ร้องบอกหน้าตาตื่นว่า
“ข้างหน้ามีทหาร”
ทันใดนั้น เห็นทหารม้าสิบกว่าคนควบม้ากรูกันตรงมา ด้วยท่าทีประสงค์ร้าย แต่ละคนต่างเงื้ออาวุธ พร้อมฟาดฟันสังหาร เนื่องจากเห็นเตียนเข๋งมีพิรุธ เข้าใจว่าเป็นพวกสายลับโจรมาสืบเสาะข่าว จึงตามมาจับตัว ตูตู้หลุนและพรรคพวกเห็นดังนั้นก็ขยับอาวุธเตรียมพร้อม ทำให้ทหารพวกนั้นยังไม่กล้าลงมือในทันที่ ตีม้าโอบล้อมไว้
ทหารผู้หนึ่งตวาดกระชากเสียงว่า
“เจ้าพวกโจรกบฏ วางอาวุธแล้วยอมจำนน พวกเจ้าหนีไม่รอดแล้ว”
ผมเกรงว่าจะเป็นการเข้าใจผิด คิดพูดเจรจากับมัน จึงบอกให้ตูตู้หลุนลดอาวุธลง แล้วประสานมือ คำนับกับทหารที่ถาม พูดว่า
“ท่านนายกอง ข้าพเจ้า แซ่กา นามเหวินเหอ เป็นชาวบ้านที่กำลังลี้หนีภัยสงคราม หาใช่โจรกบฏไม่”
นายกองทหาร พอฟัง ก็ตาลุกเหมือนพบเจอสิ่งไม่คาดฝัน ถามย้ำว่า
“ว่ากระไรนะ ท่านคือ กาเหวินเหอ รึ..ท่านรู้จักท่านเตียวสิ้ว หรือไม่”
ผมพอฟัง ก็ตาลุกโพลง ด้วยความยินดี รีบพูดว่า
“ใช่แล้ว ข้าพเจ้ารู้จักท่านเตียวสิ้ว เขาอยู่ที่นี่รึ”
นายกองทหารหัวเราะอย่างยินดีพูดว่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า งานนี้ ข้าต้องได้รางวัลจากท่านเตียวสิ้ว…คุณชายกา ตามข้ามา”
พวกทหารตีขบวนม้าโอบล้อมขนาบ ชักนำให้ตามพวกมันไป พอออกจากเมือง อู๋เหว่ยไม่นานก็พบกับค่ายทหารใหญ่ ผมตื่นเต้นยินดีจนบอกไม่ถูก พวกทหารพาพวกผมเข้าไปในค่าย ให้ไปรออยู่ในกระโจมหลังหนึ่ง สักพัก ชายรูปร่างองอาจในชุดนายทหารยศขุนศึก ก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อน ด้วยรอยยิ้มยินดี คนผู้นี้ก็คือเตียวสิ้ว
มันเมื่อพบเห็นผม ก็ปรี่เข้ามาจับกุมมือทั้งสองของผมด้วยความยินดี พูดว่า
“เหวินเหอ เป็นท่าน จริงๆ ฮ่าฮ่า นึกแล้วว่าท่านต้องยังไม่ตาย”
ผมยิ้มอย่างตื่นตัน เพราะเจอมันก็เท่ากับได้เจออาเจิน เลยรีบถามว่า
“ท่านเตียวสิ้ว อาเจินภรรยาของข้าเล่า นางอยู่ที่ใด”
“ฮ่าฮ่า ท่านมาถึง ไม่ถามไถ่ทักทายข้าสักคำ พอเอ่ยปากพูดก็ถามหาภรรยา ทำเอาข้ารู้สึกน้อยใจนัก แต่เอาเถอะ นางสบายดี ตอนนี้ข้าให้คนไปส่งข่าวแล้ว เดี๋ยวนางก็ตามมา”
เตียวสิ้ว เพิ่งพูดจบไม่ทันไร ก็เห็นทหารตัวเล็กคนหนึ่ง ท่าทางปวกเปียกวิ่งกระตุงกะติ่งท่าทางดูน่ารักมากกว่าน่าเกรงขาม รีบร้อนมาที่กระโจม ชุดที่มันใส่ดูหลวมโครก แม้แต่หมวกทหารก็แทบจะหล่นปิดใบหน้า พอถึงหน้ากระโจมก็หยุดชะงัก ร้องเรียก ว่า พี่เจ๋ง เสียงสั่นเครือ
เสียงของมันดังอิสตรี ดูดีๆ นางก็คืออาเจินนั่นเอง นางรีบถอดหมวกทหารทิ้ง แล้ววิ่งตรงเข้ามากอดผมทั้งน้ำตา ยามกะทันหันนางถึงกับพูดอะไรไม่ออก ผมเองก็เช่นกันกอดรอบร่างนางไว้แน่น น้ำตาพลอยไหลออกมาด้วย
“ข้าเจอเจ้าแล้ว อาเจิน”
ผมพูดได้แค่นั้นก็พูดอะไรไม่ออก รู้สึกคิดถึงนางจับใจ ทั้งจูบหน้าผากทั้งหอมแก้มโดยไม่อายใคร จนคนในกระโจม รู้สึกกระอักกระอวนอายแทน พากันซ้อนยิ้มแสร้งเบือนหน้าหลบไปทางอื่นทำเป็นไม่เห็น แต่มีอยู่คน แม้จะหลุบสายตาทำไม่มอง แต่ก็ยังลอบชำเลืองมองอยู่เนื่องๆ คนๆนั้นก็คือ ตูตู้หลุน
ตูตู้หลุนตอนนั้น ไม่รู้ในใจตัวเองเป็นรสชาติใด รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก แววตาของนางดูเศร้าลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อผมกอดหอมอาเจินจนพอใจแล้ว ผมก็จับแก้มประคองหน้านาง พูดถามว่า
“ไฉน เจ้าจึงอยู่ในชุดทหาร”
เรื่องนี้ เตียวสิ้ง หัวเราะ ตอบแทนว่า
“ก็เมีย เจ้าดื้อรั้น อยากจะมาตามหาเจ้าด้วยตัวเอง ข้าให้รอฟังข่าวที่เมืองซีหลงก็ไม่ยอม อยากจะเดินทางมาด้วย ข้าเลยต้องยอมใจนาง ให้นางเดินทางรวมทัพมา ความจริงในกองทัพมีกฎห้ามนำพาสตรีร่วมทัพมาด้วย แต่ดีที่อาเจินมีความสามารถทางแพทย์ จึงใช้ข้ออ้างนี้ ยกเว้นให้นางเป็นกรณีพิเศษ ให้นางได้ใช้ความสามารถรักษาทหารที่บาดเจ็บสร้างคุณประโยชน์ให้กองทัพ จนตอนนี้นางเป็นขวัญกำลังใจของทหารในกองทัพข้าไปเรียบร้อยแล้ว”
ผมฟังแล้วรู้สึกน่ายินดี กอดเอวอาเจินมาแนบข้าง ยิ้มชื่นชมในตัวนาง พลันเตียวสิ้ว มองไปยังบรรดาคนที่มากับผม นึกสงสัยถามว่า
“แล้ว บรรดาจอมยุทธทั้งหลายนี้ เป็นท่านใดกันบ้าง”
เตียวสิ้วใช้คำเรียกว่าจอมยุทธ เพราะดูคนเหล่านั้น แต่งกายเหมือนชาวยุทธจักร ผมจึงนึกออกถึงเรื่องที่ ตูตันเหล่ยเคยขอร้องไว้ก่อนตาย จึงพูดว่า
“คนพวกนี้ เป็นผู้มีฝีมือ และมีคุณธรรม ช่วยเหลือพาข้าเดินทางมาที่นี่ สามท่านนี้ ต้องการรับใช้ราชการเป็นทหาร ข้าจึงคิดนำพามาฝากท่าน”
พูดจบ ผมก็เรียก เตียนเข๋ง อุ้ยกัง อุ้ยกี ทั้งสามคน มายืนข้างหน้า แต่ไม่ได้เรียก ตูตู้หลุนออกมา เตียวสิ้ว พิจารณาคนทั้งสาม เห็นหน่วยก้านไม่เลว ดูทั้งแข็งแรงทั้งอาจหาญ รู้สึกพอใจ ก็รับไว้ให้เป็นทหารในสังกัดตัวเอง ทั้งสามคนรีบคุกเข่าลงของคุณ เรียก เตียวสิ้วว่านายท่าน เตียวสิ้วจึงให้คน นำพาคนทั้งสามไปเข้าสังกัดกองทัพ
ตูตู้หลุน ตอนนั้นรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านใจ ที่ดูผมไม่พูดถึงและไม่แนะนำให้นางได้เป็นทหาร พยายามส่งสายตามองผมอยู่หลายครั้ง เหมือนต้องการถาม แต่ผมก็แสร้งเป็นมองไม่เห็น และพูดคุยกับเตียวสิ้ว ถามไถ่เหตุการณ์หลังจากที่แยกจากกัน
เตียวสิ้วนั้นหลังจากที่หนีไปได้ ก็กลับไปหาเตียวเจผู้เป็นอา ขอกำลังทหารกลับไปแก้มืออีกครั้ง เตียวเจก็ให้โอกาส ให้กำลังทหารหนึ่งพัน ไปปราบกบฏที่ยึดเมืองอู๋เหว่ย เตียวสิ้วเป็นคนที่เรียนรู้จากข้อผิดพลาด เป็นคนที่น้ำไม่เต็มแก้ว สามารถปรับตัวเรียนรู้อะไรเพิ่มเติมได้ง่าย เมื่อแก้ไขจุดบกพร่องของตัวเอง กลับมาครั้งนี้ก็รบชนะ ขับไล่โจรกบฏออกจากเมืองอู๋เหว่ยได้ แต่เมืองอู๋เหว่ยเสียหายหนักเกินไป เลยต้องพาชาวบ้านอพยพไปตั้งค่ายนอกเมือง ก็คือค่ายที่ตั้งอยู่ในตอนนี้ นั่นก็แสดงว่า เมืองอู๋เหว่ยที่อยู่ในสภาพที่เห็น ก็เพราะเพิ่งผ่านสงครามมาเร็วๆนี้ นี่เอง
แล้วเตียวสิ้วก็ถามผมว่า ผมจะทำอย่างไรต่อ ผมยังคิดไม่ออก เพราะจะไปเมืองซีหลงก็ไม่รู้ว่าจะไปเริ่มต้นทำอะไร สภาพบ้านเมืองที่เกิดสงครามเช่นนี้ จะทำมาหากินอะไรก็ยาก เตียวสิ้วจึงเสนอว่า ให้ผมอยู่ช่วยในกองทัพ ผมรู้สึกเสียวๆ ใจไม่ดี เพราะถ้าจะให้ผม ไปขี่ม้าควงอาวุธออกรบละก็ เกรงว่า ไม่นานหรอก อาเจินก็ต้องเป็นม่ายอีก แต่พอฟังสิ่งที่เตียวสิ้วเสนอค่อยใจชื้นมาหน่อย เพราะมันไม่ได้ให้ผมไปเป็นทหาร เพราะเห็นผมเป็นคนมีความรู้ จึงเสนอให้ผมทำงานด้าน พลาธิการ จัดการเสบียง อาวุธ ยุทโธปกรณ์ แทบไม่ต้องออกรบ ผมเห็นว่าดี ก็เลยรับปาก
ขณะพูดคุยตกลงกันเสร็จสรรพ เตียวสิ้วยังมีงานต้องทำ ก็ขอตัวไปก่อน บอกให้ผมพักผ่อนในกระโจมนี้ไปก่อน
จวบจนเตียวสิ้วออกไป ตูตู้หลุน เห็นไม่พูดถึงนางสักคำ พลันอดรนทนไม่ได้ เดินมาที่หน้าผม พูดกระชากเสียงตัดพ้อ ว่า
“คุณชายกา ท่านรับปากบิดาข้า ให้พาข้ามารับราชการเป็นทหาร ไฉนจึงไม่แนะนำพูดถึง ท่านคิดจะผิดคำพูดหรือ”
ผมต้องถอนหายใจ ก่อนพูดว่า
“บิดาเจ้าไม่ได้ฝากฝังเจ้ากับข้า เพื่อให้ข้าทำเช่นนั้น เจตนาบิดาเจ้า เจ้ายังดูไม่ออกอีกรึ”
ความจริงแล้ว เจตนานั้นของตูตันเหล่ย มันแจ่มชัด ถ้ามันอยากให้ลูกสาว เป็นทหารเพื่อหาทางให้นางสร้างชื่อเสียง คงไม่ยกให้แต่งงานกับผมในคืนนั้น ดังนั้นเจตนาของตูตันเหล่ย ก็คือไม่อยากให้ลูกสาวเข้าไปคลุกคลีกับการรบราฆ่าฟันอีก เพราะคิดว่าจะอย่างไรนางก็เป็นสตรี ควรได้มีชีวิตแบบสตรีทั่วๆไป
ตูตู้หลุน เหมือนไม่เข้าใจจริงๆ พลันกระชากเสียงว่า
“เพ้ย… คำคืนนั้นตกลงกันเป็นมั่นเหมาะ ได้ยินกันถ้วนทั่ว ว่าท่านจะนำพาพวกเราเข้ารับราชการทหาร ยังว่าข้าเข้าใจเจตนาผิดอีกหรือไร ก็ได้ หากท่านไม่แนะนำ ข้าจะไปสมัครด้วยตัวเอง”
พลันหุนหัน วิ่งออกไปนอกกระโจมไปหาเตียวสิ้ว ผมตกใจต้องรีบวิ่งตามออกไป อาเจินไม่รู้ว่าเรื่องอะไรก็วิ่งตามมาด้วย
ตอนนั้นเตียวสิ้วยังเดินไปไม่ได้ไกล ตูตู้หลุนรีบกระโจนทะยานวิ่งไปดักหน้า แล้วคุกเข่าลงคาราวะ สร้างความตกใจให้กับเตียวสิ้วยิ่ง ยามกะทันหันไม่รู้ว่าเรื่องอะไร แต่ไม่ทันได้ถาม ตูตู้หลุนก็ชิงพูดก่อนว่า
“ท่านเตียวสิ้ว ข้าพเจ้าอยากเป็นทหาร ดังนั้นขอให้ท่านรับข้าไว้ในสังกัดท่านด้วยเถิด”
เตียวสิ้วจำได้ว่าเป็นสตรีที่มากับผม ตอนอยู่ในกระโจมก็ไม่เห็นผมพูดถึงสตรีคนนี้ว่าอย่างไร จึงไม่ได้รีบร้อนตัดสินใจ พอเห็นผมวิ่งตามมาพร้อมกับอาเจิน ก็ดูผิดปกติ เลิกคิ้วเหมือนเป็นเชิงถามผมว่า นี่มันเรื่องอะไร
ผมจึงพูดกับตูตู้หลุนว่า
“เจ้าไฉนไม่ฟังคำ บิดาเจ้าไม่ต้องการให้เจ้าเป็นทหาร”
ตูตู้หลุนกลับร้องสวนว่า
“ชีวิตเป็นของข้า ข้าเป็นคนเลือกเอง ข้าอยากเป็นทหาร ท่านก็ไม่มีสิทธิ์มาห้าม…. ท่านเตียวสิ้วข้าพเจ้าอยากเป็นทหารจริงๆ ข้าสามารถออกรบได้ไม่แพ้บุรุษ ขอให้ท่านโปรดพิจารณาด้วย”
ผมรู้สึกขัดใจจนหงุดหงิด ที่ตูตู้หลุน ดื้อรั้นขนาดนี้ ยามนั้นนึกโมโห คิดว่านางอยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้นางทำไป เตียวสิ้วพอจะเดาเหตุการณ์ได้สามส่วน ตอนนี้การตัดสินใจขึ้นอยู่กับมัน มันมองตูตู้หลุนคราหนึ่ง แล้วสลับมองผมคราหนึ่ง ก่อนตัดสินใจพูดว่า
“ก็ได้ งั้นเจ้าก็ไปเป็นทหารกองพลาธิการ ก็แล้วกัน”
คำพูดของเตียวสิ้ว ทำเอาตูตู้หลุน สะอึกกระอัก พูดอะไรไม่ออก ผมถึงกับยิ้มหัวร่อในใจ ที่เตียวสิ้วมีไหวพริบตัดสินใจได้ดีขนาดนี้
ตูตู้หลุนยังพยายามแย้งว่า
“แต่ว่าข้าพเจ้า…”
“ไม่มีแต่ การเป็นทหาร ต้องยึดถือคำสั่งผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด หาไม่แล้วก็ถือว่าขัดคำสั่งต้องโทษถึงประหาร หากเรื่องแค่นี้เจ้าทำไม่ได้ ก็อย่าหมายเป็นทหารได้”
ตูตู้หลุนถึงกับพูดอะไรไม่ออก แต่ตอนนั้นนางก็ไม่ยอมลดละ จะอย่างไรต้องเป็นทหารให้ได้ จึงรับคำพูดว่า
“ข้าน้อยรับคำสั่ง”
เตียวสิ้วพอฟังก็ส่ายหัว รีบเดินไป รีบเร่งทำธุระของตัวเอง ตูตู้หลุน เลยต้องมาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของผม
คำคืนนั้นอาเจิน ผมพักอยู่ในกระโจมรับรองสองต่อสองกับอาเจิน อาเจินอยากรู้เกี่ยวกับเด็กสาวตูตู้หลุนคนนี้ ว่ามีความเป็นมาอย่างไร ผมจึงเล่าให้ฟังโดยไม่ปิดบัง อาเจินมีท่าทีแง่งอนเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าผมกราบไหว้ฟ้าดินกับตูตู้หลุนแล้ว แต่ดีที่ผมยังไม่มีอะไรกับตูตู้หลุน ทำให้ผมสามารถบอกอาเจินได้เต็มปากเต็มคำอย่างไม่ต้องโกหก และหยอดคำหวานว่า ที่ผมไม่มีอะไรกับตูตู้หลุน เพราะมีอาเจินเพียงคนเดียวในหัวใจ
อาเจินที่แรกแง่งอน พอหยอดคำนี้เข้าไปถึงกับยิ้มไม่หุบ แววตาแสดงออกถึงความซาบซึ้งที่ผมรักมั่นเธอถึงเพียงนี้ ทำให้อาเจินกลับนึกเห็นใจตูตู้หลุน นางนั้นอายุยังน้อยต้องมาประสบชะตากรรมเช่นนี้ พลางนึกถึงตัวเองที่เคยผ่านห้วงแบบนี้มาแล้ว เข้าใจหัวอกอย่างดี จึงพูดว่า
“พี่เจ๋ง แม้พวกท่านจะแสร้งกราบไหว้ฟ้าดิน เพื่อให้บิดานางตายตาหลับ แต่ถึงอย่างไรก็ถือว่านางได้ผ่านประเพณีนั้นมาแล้ว แถมยังมีการเข้าหอมีคนรับรู้ ถึงจะไม่มีอะไรกันก็ไม่อาจปฏิเสธว่านางไม่ใช่ภรรยาท่าน หาไม่แล้วนางก็จะเสื่อมเสียเกียรติ เป็นหญิงมีมลทินเสมือนหญิงม่าย ไม่อาจตบแต่งอย่างมีเกียรติได้อีก ข้าว่า จะอย่างไร ท่านก็ต้องรับนางไว้เป็นภรรยาแล้ว”
ผมฟังแล้วต้องหูพึงตาโต ถามว่า
“แล้วเจ้าไม่หึงรึ”
อาเจินกลับยิ้มแย้มตอบว่า
“ค่ำคืนนั้นในห้องหอ ท่านกลับไม่ทำอะไรนางทั้งที่นางสวยน่ารักปานนั้น กลับคิดถึงแต่ข้า ในเมื่อหัวใจท่านมีข้าอยู่ถึงเพียงนี้ ยังต้องหึงหวงผู้ใดอีก ในยุคนี้มิใช่ยุคท่าน ชายหนึ่งมีได้หลายภรรยาเป็นเรื่องปกติ ขอเพียงท่านเมื่อได้นางแล้ว ก็อย่าลืมข้าก็แล้วกัน”
ผมฟังแล้วแทบจะก้มลงกราบตีนอาเจินงามๆ ยกให้นางเป็นยอดเมียโดยแท้ แต่ยังไว้เชิงไม่กระดี๊กระด๊าออกนอกหน้า แสร้งทำสีหน้าเรียบเฉยไม่ยินดียินร้ายในเรื่องนี้ ตอนนี้ปัญหาที่จะเอาตูตู้หลุนเป็นเมียนั้นไม่ใช่อาเจิน หากแต่เป็นตัวตูตู้หลุนเอง ไม่รู้ว่าผมจะสยบใจเธอได้ยังไง
ยามนั้นคิดไปก็ปวดหัว สู้เอาเวลาคิดมาเคล้าคลอเมียที่ห่างเหินมานานดีกว่า ว่าแล้วก็ตีหน้าเจ้าชู้ ยิ้มกริ่มอย่างมีเลศนัย ย่างกายเข้าหาอาเจิน อาเจินเหมือนรู้ได้ในที สยิวตัวเสียวรอตั้งแต่ผมยังไม่ถึง เธอยิ้มเอียงอายอย่างรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันช่างดูเย้ายวนจนผมอดใจไม่ไหว
“เจินจ๋า มาม๊ะ”
ผมพูดแต่นนั้น ก็รวบตัวเธออุ้มไปบนที่นอน อาเจินสยิวจั๊กจี้จนหัวเราะเบาๆ แล้วผมก็เริ่มจูบปากนางอย่างหระหายใคร่คิดถึง แลกลิ้นกันพันตู อาเจินเองก็ไม่ต่างกัน นางเฝ้ารอวันเวลานี้มานาน สนองตอบรับอย่างเร้าร้อน
อืม จ๊วบ อืม จุ๊บ ๆ จ๊วบบบบ จุ๊บ
เสียงดูดปากอย่างเผ็ดร้อน ยิ่งเพิ่มความกระสันรัญจวนใจ มือไม้ของผมลูบไล้ไปตามเรือนร่างของนาง เพื่อทบทวนรูปร่างความทรงจำ นางผ่ายผอมลงเล็กน้อย แต่เนื้อกลับแน่นขึ้น ส่วนเต้าปทุมถันยังเด้งสู้ และเต่าอวบอูมในร่มผ้ายังเต็มมือประกบจับเหมือนเดิม
“อ้อยยยย ซีดดดส์ พี่เจ๋ง ข้าคิดถึงท่านเหลือเดิน ซีดดดส์”
“อืม จ๊วบๆ ข้าก็คิดถึงเจ้าอาเจิน”
เสื้อผ้าค่อยๆหลุดออกจากร่างกายเราทั้งสองคนจนหมดเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า ผมมองเรือนร่างนั้นด้วยแววตาที่มีความสุขที่ได้กลับมาสัมผัสอีกครั้ง แล้วจักการจูบไซ้ไปทั่วร่างของนาง จนนงซีดส์ปากสยิวไม่หยุด แล้วตบท้ายด้วยการจับนางแหกขา จูบจุมพิต ตรงช่องสวรรค์ โลมเลียตาน้ำอัมฤทธิ์ จนนางร้องกระเส่าบิดตัวโอดโอย เวลานั้นมีไม่มากอีกทั้งเวรยามเดินควักไขว่ ไม่อาจทำเสียงดัง
เมื่ออาเจินพรักพร้อมรองรับ ผมก็นอนทับประกบเสียบเยียดยัด กอดรัดร่างกันถูไถ ให้เข้าออก ไม่ต้องยกกระแทกเด้าให้เสียงดัง เพียงเท่านั้นเราก็สุขสันต์กันสุดบรรยาย อาเจินหอบหายใจตาพริ้ม ขณะที่ผมขยับตัวเบียดกดโยก เมื่อถึงจังหวะเร้งเร้า อาเจิงถึงกับจิกที่นอนกัดริมฝีปากแน่น ไม่นานเธอก็ขมิบเกร็ง พร้อมกับที่ผมพ่นน้ำรักที่อัดอั้นมานานเข้าเต็มช่อง
“อ้อยยยย พี่เจ๋ง ข้ารักท่านเหลือเกิน”
อาเจินบอกหลังจากเสร็จสุขสม จนด่ำดิ่งสู่ห้วงสวรรค์ ผมเองก็ไม่ต่างกันทั้งกอดทั้งจูบนางอย่างมีความสุข
———————————————————

ถึงตอนนี้ผมว่า ท่านผู้อ่านที่เคยอ่านสามก๊ก น่าจะพอรู้แล้วว่าพระเอกเป็นใครในสามก๊ก ในเรื่องนี้จะยังไม่บอกตรงๆ แต่คิดว่าน่าจะพอเดากันได้ แต่ถ้ายังไม่แน่ใจก็ติดตามอ่านกันไปเรื่อยๆ ครับ

Share the Post:

Related Posts

แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู

เรื่องเสียว แท็กซี่เขาอ่อย หนูเลยให้เขาเล่นของหนู เอิร์นนะคร้า เป็นสาวมหาลัยในเชียงใหม่นี้เองค่า เอิร์นเป็นสาวมหาลัยปีสองแล้วค่ะ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผู้ชายเลย ยุคนี้แล้วเนอะ ไม่ใช่แค่ผู้ชายนะคะที่ล่าแต้ม เอิร์นเองก็กินมาเยอะเหมือนกันค่ะ สูงยาว ลำอวบ ใหญ่ยาว กินมาหมดแล้วค่า ชีวิตครั้งนึงเนอะ เรื่องพวกนี้ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่ต้องมีบ้างอยู่แล้วใช่ไหมค่ะ และแน่นอนว่าเอิร์นเลยกินแต่วัยเดียวกัน รู้ตัวอีกทีได้แอบกินรุ่นใหญ่พี่แท็กซี่ซะอย่างนั้นเลยค่ะ ที่สำคัญไม่เคยเจอมังกรที่ใหญ่ยักษ์ขนาดนี้มาก่อน มาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ ด้วยความที่อยู่เชียงใหม่ที่เที่ยวเยอะ

Read More

จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว

เรื่องเสียว จากทำอาหาร ทำไมโดนเขาทำเสียว “ตั้งกล้องเรียบร้อยแล้ว มึงพร้อมยังจะได้กดเริ่ม” วันนี้เรามีถ่ายคลิปวิดีโอทำอาหารที่คอนโดของพวกเราสองคนที่เป็นเพื่อนกัน เรามองเม็กที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดจนเห็นแผงอกที่เป็นมัดกล้าม กางเกงขาขั้นสั้นสบาย ๆ แต่พอมาอยู่บนร่างกายของเม็กแล้วมันดูดีไม่น้อยเลย ถึงแม้เราทั้งสองจะเป็นเพื่อนกัน แต่พอมาเจอมันในลุคนี้ก็ทำให้เราใจสั่นไม่น้อย “มึงกูสวยยัง” “สวยแล้ว” พอได้รับคำตอบที่สร้างความมั่นใจให้กับตัวเองแล้ว เราก็พยักหน้าให้มันเริ่มกดบันทึกภาพวิดีโอทันที การถ่ายทำดำเนินไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นตอนการชิมอาหาร “อะ

Read More