ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 23 จางหย่งจง ผู้เฒ่าเงาภูต

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 23 จางหย่งจง ผู้เฒ่าเงาภูต

ยอดยุทธสะท้านบู๊ลิ้ม ตอนที่ 23 จางหย่งจง ผู้เฒ่าเงาภูต
โดย zeech

เวลาล่วงผ่านไปจนใกล้จะถึงรุ่งอรุณแห่งวันใหม่ ท้องฟ้ายังคงมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์ทอประกาย
อยู่บนฟากฟ้า กองไฟที่ถูกก่อขึ้นเริ่มลาแสงลง เฟยอี้นอนทอดร่างกอดก่ายร่างของธิดาเทพ
ไว้แนบทรวงอกของมัน

แม้ว่าจะอยู่ในสถานะการณ์ที่คับขัน แต่จิตใจของมันในยามนี้กลับชุ่มชื่นดื่มด่ำไปด้วยความสุข
จนมันเองก็ลืมไปแล้วว่าอยู่ ณ ที่แห่งใด และกำลังเผชิญกับสิ่งใดอยู่

ธิดาเทพนอนหันข้างอยู่ภายใต้อ้อมกอดของเฟยอี้ แม้ว่าในตอนนี้ร่างของนางจะเปลือยเปล่า
แต่กลับรู้สึกอบอุ่นทั้งจิตใจและร่างกาย นางนอนหลับภายใต้อ้อมกอดของมันอย่างเป็นสุขอยู่เนิ่นนาน
จนเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้น จึงจับแขนของเฟยอี้ที่โอบร่างของนางไว้ออก แล้วยันกายลุกขึ้น
คิดที่จะใส่เสื้อผ้า

เฟยอี้พลันรู้สึกตัวยื้อยุดแขนของนางไว้ แล้วแย้มยิ้มออกมา

“ธิดาเทพ เจ้าคิดจะจากข้าไปที่ใด”

“ปล่อยข้า.. ข้าจะไปเอาเสื้อผ้าที่่โจรลามกมันลอบถอดออกจากกายข้า”

“ข้ามิให้เจ้าไป ข้าชมชอบความงามของเจ้าใน

ลักษณะเช่นนี้ยิ่งนัก”

เฟยอี้สบตากับนางอย่างหวานซึ้ง แล้วดึงร่างของนางให้ล้มลงมาแนบชิดกับร่างของมัน
แล้วโอบกอดนางไว้

ดวงตาของคนทั้งคู่ประสานนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ธิดาเทพก็หลบตาลง

“ปล่อยข้านะ..เจ้าทึ่ม ”

ธิดาเทพพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของมัน แล้วเบี่ยงกายหันหลังหนี
แต่เฟยอี้กลับโอบรัดร่างของนางไว้แน่นขึ้น จนร่างของนางแนบชิดติดกับร่างของมัน

“ไม่..ข้าต้องการจะนวดเฟ้นให้เจ้า เจ้าทึ่มผู้นี้จะนวดเฟ้นเรือนร่างของเจ้าไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่” 

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

ธิดาเทพได้ยินมันกล่าวคำนี้ออกมา ก็ถึงกลับวาบหวามดื่มด่ำในจิตใจ จนนางต้องลอบยิ้มออกมา

เฟยอี้สอดมือเข้าไปเกาะกุมทรวงอกเต่งตึงของนางไว้ข้างหนึ่งพลางบีบเค้น ใบหน้าของมันเคลียคลอ
อยู่ที่ต้นคอและใบหูของนางอย่างแนบชิด สะโพกอันผึ่งผายของธิดาเทพถูกท่อนล่างของเฟยอี้ดันเข้ามา
จนแนบสนิท แก่นกายอันแข็งเกร็งของมันล่วงล้ำเข้ามาจนสัมผ้สกับกลีบสวาทของนางที่ย้อยมาทางเบื้องหลัง

ธิดาเทพถูกมันจู่โจมพร้อมกับหลายจุดอีกครั้ง ก็ถึงกับอ่อนระทวยลง ก่อเกิดเป็นความเสียวซ่านวาบหวาม
ขึ้นมาแทนที่

เฟยอี้ใช้สองนิ้วมือของมันบี้บดยอดถันของนางอยู่ไปมา แล้วโลมเลียลิ้นของมันที่ใบหูของนาง

“อืมมม…….อ้าาาา…….”

ธิดาเทพปล่อยเสียงครางออกมาอย่างแผ่วเบา

แก่นกายของเฟยอี้ เบียดแทรกสะโพกอันแนบแน่นเข้ามาแล้วถูไถไปมาที่ร่องสวาทของนางอยู่ครู่หนึ่ง
จนรู้สึกถึงความชื้นแฉะของนาง มันจึงเลื่อนมือจากทรวงอกลงมาที่เนินสวาทของนาง แล้วใช้นิ้วของมัน
แบะกลีบสวาทของนางออก พร้อมกับดันแก่นกายอันแข็งกร็งของมันมุดหายเข้าไปในร่องสวาทของนาง

ธิดาเทพ เผยอริมฝีปากส่งเสียงครางออกมาอย่างลืมตัว

“โอ้ววววว………..ซี๊ดดดดด…………….”

เฟยอี้โยกย้ายบั้นเอวของมันเข้าออก อย่างเชื่องช้าเนิบนาบ บางครามันก็ส่ายวนไปมา
แก่นกายของมันควงหมุนวนอยู่ภายในร่องสวาทของนาง สร้างความซ่านเสียวให้บังเกิดแก่นาง
เป็นทวีคูณ

“อูยยยย…..ซี๊ดดดดดด………..เจ้าทึ่ม……..ข้า…ข้า..เสียววว…….”

ธิดาเทพ ส่ายบั้นท้ายของนางตอบโต้การส่ายควงของเฟยอี้อย่างลืมตัว ร่องสวาทของนาง
ตอดรัดแก่นกายของเฟยอี้มากขึ้นเป็นจังหวะจนเฟยอี้เองก็ซ่านเสียวจนสุดจะทานทน

มือของมันเลื่อนเข้ามายึดจับช่วงเอวอันคอดกิ่วของนางไว้ แล้วเปลี่ยนจากการหมุนควงมาเป็น
กระแทกกระทั้นบั้นท้ายของนางอย่างรุนแรง

“ตั๊บ…ตั๊บ….ตั๊บ….ตั๊บ….ตั๊บ….ตั๊บ….ตั๊บ….ตั๊บ….ตั๊บ.”

“โอ๊ววว…..ซี๊ดดดด……..โอ๊ววว…..ซี๊ดดดด…………โอ๊ววว…..ซี๊ดดดด…….โอ๊ววว…..ซี๊ดดดด”

เสียงเนื้อของคนทั้งสองกระทบกัน ประสานกับเสียงร้องครวญครางของธิดาเทพ ดังลั่นไปทั่วป่า

เรือนร่างของคนทั้งสองแนบชิดกันคล้ายกับว่าจะหล่อหลอมเป็นเลือดเนื้อเดียวกัน เพลิงสวาทของคนทั้งสอง
ค่อยๆทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบงันของป่าลึก

จนในที่สุด ความเสียวสะท้านของธิดาเทพก็พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด นางเชิดใบหน้าขึ้น ส่งเสียงครางยาวออกมา

“โอ้ววว……โอ้ววว……..ข้า…ข้า…. ……โอววววววววววววววว”

แล้วตามติดด้วยเสียงร้องอันสุขสมของเฟยอี้ ที่ดังประสานติดตามมาเช่นกัน

“โอ้วววววววววววววววว……………….”

ท่วงทำนองแห่งรักของทั้งสองนิ่งสงบลงด้วยความสุขสม เฟยอี้ยังคงกอดรัดร่างของนางไว้ แล้วหลับตาลง

ธิดาเทพหลับตานิ่งสงบภายใต้อ้อมกอดของเฟยอี้อยู่ครู่หนึ่ง จนเห็นว่ามันเงียบลงแล้ว ก็ปลดอ้อมแขนของมัน
ออกจากการกอดรัด แล้วตรงไปสวมใส่เสื้อผ้าทันที ด้วยเกรงว่าจะถูกมันรังแกอีก

ครั้นใส่เสื้อผ้าเสร็จสิ้น สายตาของนางก็เหลือบไปเห็นร่างอันเปลือยเปล่าขององค์หญิงฯนอนนิ่งอยู่
นางก็บังเกิดความโกรธ และหึงหวง ตรงเข้าไปทุบตีเฟยอี้ที่กำลังนอนนิ่งอยู่ทันที

“นี่…นี่….เจ้าคนมากราคะ…..ข้าจะตีเจ้าให้ตาย….”

เฟยอี้ปัดป้องอยู่เป็นพัลวัล แล้วคว้าจับมือทั้งสองข้างของนางไว้ พลางไถ่ถามขึ้น

“ธิดาเทพ เจ้า….เหตุใดจึงมาทุบตีข้า…หยุด…หยุดก่อน…บอกข้าก่อน ทุบตีข้าด้วยเหตุใด”

ธิดาเทพชี้มือไปที่ร่างขององค์หญิงฯที่นอนนิ่งอยู่

“เหตุใดนางจึงนอนเปลือยเปล่าเช่นนั้น เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่”

เฟยอี้หันไปมองดูร่างขององค์หญิงฯ แล้วหันมาตอบรับคำกับนาง

“ใช่ เป็นฝีมือข้าเอง”

ธิดาเทพแปรเปลี่ยนแววตาเป็นดุร้าย ร้องตวาดออกมาแล้วตรงเข้าทุบตีเฟยอี้อีกครั้ง

“เจ้า….เจ้า…ข้าไม่คาดคิดว่าเจ้าจะเลวร้ายเช่นนี้ เจ้าโจรราคะคลั่งสวาท ”

เฟยอี้ปัดป้องแล้วร้องขอให้นางหยุดฟังมัน

“อย่าพึ่งด่วนต่อว่าข้า….โปรดฟังข้าก่อน….”

เฟยอี้รวบร่างของนางไว้ อย่างแน่นหนาแล้วพูดชี้แจงเหตุผลที่ต้องเปลื้องผ้าขององค์หญิง
และความจำเป็นที่ต้องสกัดจุดระงับพิษให้แก่นางฟังทุกประการ

จนเห็นว่าธิดาเทพสงบลงแล้ว ก็คลายอ้อมกอดออกมา

“ข้าไม่เชื่อ เจ้าต้องถือโอกาสลวนลามนางก่อนที่ข้าจะมาถึงแล้วใช่หรือไม่”

เฟยอี้อ้ำอึ้ง แล้วตอบออกไป

“ข้า..ข้า..พยายามระงับจิตใจไม่ลวนลามนาง”

“เจ้าทึ่ม เช่นนั้นเจ้าได้ลวนลามนางไปแล้วใช่หรือไม่”

เฟยอี้ยกมือ รีบตอบปฏิเสธนางในทันที

“ไม่..ไม่..ข้ายับยั้งใจไว้ได้ทัน มิได้ล่วงเลยไปถึงขั้น…เอ่อ……”

ธิดาเทพได้ยินคำตอบมันก็แย้มยิ้มออกมา แล้วพูดว่า

“เจ้ายังมีส่วนดีอยู่บ้างที่พูดความจริงออกมา หากว่าเจ้าตอบปฏิเสธว่ามิได้ลวนลามนาง
ข้าจะทุบตีเจ้าให้ตาย ความงดงามของนางผู้นี้ ข้ามิเชื่อว่าจะมีชายใดหักห้ามใจไว้ได้”

เฟยอี้เห็นนางเริ่มคลายความโกรธลง ก็รีบพูดเอาใจนาง

“แต่เจ้าก็มีความงามไม่แพ้นาง ข้าจึงมิอาจข่มใจมิรักเจ้าได้”

เฟยอี้พูดพลางแล้วอ้าแขนออก โดยคิดจะโอบกอดนางอีกครั้ง แต่ธิดาเทพกลับปลัดมือมันโดยแรง

“เจ้าเร่งไปใส่เสื้อผ้าให้แก่นาง รวมทั้งตัวเจ้าด้วย”

เฟยอี้กระทำตามคำของธิดาเทพแต่โดยดี มันตรงเข้าไปหยิบเสื้อผ้าขององค์หญิงที่ผิงไฟไว้จนแห้ง
แล้วตรงเข้ามายังร่างขององค์หญิงที่นอนอยู่ โดยอดมิได้ที่จะลอบสำรวจเรือนร่างอันสะคราญของนาง
พลันแก่นกายของมันก็แข็งชูชันชี้ยาวออกมาจนเห็นได้ชัด

ธิดาเทพเฝ้าดูมันอยู่ทุกฝีก้าว พอเห็นเช่นนั้นก็โกรธ ตวาดด้วยเสียงอันดังออกมา

“เจ้าทึ่ม เจ้าไปใส่เสื้อผ้าของเจ้า ข้าจะสวมใส่เสื้อผ้าให้นางเอง”

แล้วนางก็ตรงเข้ามาผลักร่างของมันจนเซถลาไป

—————

ท้องฟ้าสว่างกระจ่างด้วยแสงอรุณแห่งวันใหม่ เสียงนกป่าร่ำร้องตอบโต้กันอยู่ไปมา
เฟยอี้และธิดาเทพ นั่งมององค์หญิงฯนอนนิ่งไม่ได้สติอย่างเงียบงัน ตลอดคืนที่ผ่านมา
นางหลับนิ่งเช่นนนี้มาตลอด จนเฟยอี้เกิดความวิตกกังวล มันตัดสินใจใช้ผ้าซับน้ำมา
เช็ดใบหน้าให้แก่องค์หญิง เพื่อเร่งให้นางตื่นฟื้นคืนมา และใส่ยาให้กับบาดแผลของนาง
ทั้งยังพบว่า บาดแผลของนางยังมีสีดำคล้ำอยู่

เฟยอี้ตรงเข้าตรวจดูชีพจรให้องค์หญิง เห็นว่ายังเป็นปกติดีอยู่ก็คลายใจ หันไปใช้ผ้าเช็ดหน้า
ให้กับนางอีกครั้ง

องค์หญิงฯเริ่มมีปฏิกริยาตอบโต้ นางเผยอเปลือกตาขึ้นมองดูเห็นใบหน้าของเฟยอี้เฝ้าดูนางอยู่
ก็แย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนล้า

“เฟยอี้….พวกเราตายไปแล้วใช่หรือไม่”

เฟยอี้ยิ้มออกมาอย่างดีใจ รีบตอบกลับนางไปในทันที

“ยัง…ท่านยังไม่ตาย ท่านกับข้ายังไม่ตาย..องค์หญิงฯ ท่านเป็นเช่นไรบ้าง”

องค์หญิงฯ พยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง

“ข้าไม่เป็นอะไร เพียงอ่อนเพลียเล็กน้อยพักสักครู่ก็คงจะหาย”

แล้วองค์หญิงฯก็หันไปสำรวจโดยรอบจนสบสายตากับธิดาเทพ ซึ่งจ้องมองนางอยู่
จึงหันไปถามเฟยอี้ว่า

“นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

ธิดาเทพชิงตอบไปในทันที

“ข้าตกเขามา ถ้าเจ้าไม่เป็นอะไรแล้วก็ลุกขึ้นพวกเราจะได้เดินทางกันสักที”

องค์หญิงฯได้ยินน้ำเสียงของธิดาเทพ ก็รู้ว่านางไม่พอใจตน นางพอจะทราบตั้งแต่
เมื่อครั้งอยู่วังเบญจธาตุแล้วว่า ธิดาเทพผู้นี้มีใจให้กับเฟยอี้ จึงคิดที่จะยั่วนางคืนบ้าง

“เฟยอี้ ช่วยพยุงข้าด้วย ข้าจะลุกขึ้นแล้ว”

เฟยอี้รีบถลันร่างเข้าไปโอบร่างของนางไว้แล้วพยุงขึ้น ครั้นพอนางยันเท้าลงกับพื้น
ก็รู้สึกเจ็บปวดจนมิอาจทรงกายอยู่ได้ ก็ทรุดกายล้มลงไป เฟยอี้ใช้อ้อมแขนรั้งร่างของนาง
ไว้แนบกับทรวงอกมันไว้ได้ทันท่วงที

ธิดาเทพเห็นเช่นนั้นก็พลันมีดวงตาแข็งกร้าว คิดว่านางแสร้งทำ จึงพูดเหน็บแนมออกไปว่า

“องค์หญิงแห่งวังหุบผาภูต ช่างมายาสาไถย ยิ่งนัก”

องค์หญิงฯได้ยินเช่นนั้นก็โกรธ ตอบโต้กลับไปในทันที

“แล้ว ธิดาเทพแห่งวังเบญจธาตุเล่า มีดีที่ใด กระโดดหน้าผาติดตามบุรุษลงมา มิเรียกว่า
ไร้ยางอายรึ”

ธิดาเทพได้ยินเช่นนั้นก็โกรธจัด ตรงรี่เข้าไปหาองค์หญิงฯในทันที

เฟยอี้เห็นเช่นนั้น ก็หันหลังรีบอ้าแขนบังร่างขององค์หญิงไว้

“ธิดาเทพ เจ้าตีข้าแทนเถอะ นางยังบาดเจ็บอยู่ โปรดอภัยให้นาง”

ธิดาเทพเห็นเช่นนั้น ก็คลั่งแค้นใจยิ่งนัก จ้องมองใบหน้าเฟยอี้นิ่งอยู่

“เจ้า…เจ้า…..”

แล้วนางก็ก้าวท้าวเดินหนีออกไป

เฟยอี้เร่งร้องเรียกให้นางหยุดรอ แล้วทรุดกายนั่งลงหันแผ่นหลังให้กับองค์หญิงฯ

“องค์หญิงฯ ท่านขึ้นมาบนหลังข้า ข้าจะแบกท่านไปเอง”

องค์หญิง แนบร่างของนางลงบนแผ่นหลังของเฟยอี้ แล้วใช้แขนกอดคอมันไว้

เฟยอี้เห็นว่านางขึ้นมาบนหลังมันเต็มตัวแล้ว ก็รวบขาทั้งสองของนางคล้องเข้ากับเอวของมัน
แล้ววิ่งไล่ตามธิดาเทพไปในทันที

ทั้งสามต่างเดินทางอย่างเงียบงันไม่พูดสิ่งใดต่อกัน เฟยอี้แบกองค์หญิงฯ เดินเคียงมากับธิดาเทพ
และพยายามชักชวนนางพูดคุย แต่นางก็นิ่งเฉยมิตอบคำใดๆ มีเพียงบางครั้งที่นางแอบลอบชำเลือง
มองมาที่องค์หญิงที่อยู่บนหลังของมัน

องค์หญิงฯเองในยามนี้ ก็ไม่มีจิตใจที่จะยั่วอารมณ์ธิดาเทพอีก นางมีสีหน้ากระอักกระอ่วน
เนื่องด้วยนางพึ่งสำนึกได้ว่า เรือนร่างของนางตั้งแต่ทรวงอกทั้งสอง จนถึง เนินสวาท ล้วนแนบชิดสนิท
กับแผ่นหลังของเฟยอี้โดยมิสามารถเลี่ยงหลบได้เลย

ยิ่งในเวลาที่มันกระโดดขึ้นลง ตามโขดหินที่โผล่พ้นจากพื้นดิน ยิ่งทำให้เกิดการสัมผัสระหว่างเรือนร่างของนาง
กับแผ่นหลังของมันมากยิ่งขึ้น จนนางรู้สึกเป็นกังวลยิ่งนัก

เฟยอี้เองก็รับรู้ความรู้สึกนี้ตั้งแต่แรก มันจึงพยายามชักชวนธิดาเทพพูดคุยเพื่อให้ลืมเลือนไปเสีย
แต่นางก็กลับนิ่งเฉยมิตอบคำมัน จึงทำให้มันอดที่จะเผลอไผลเคลิบเคลิ้มไปกับความนุ่มนิ่มของปทุมถันทั้งสอง
ขององค์หญิงฯไม่ได้ และ ที่ยิ่งไปกว่านั้น ที่เบื้องต่ำลงมาความโหนกนูนขององค์หญิงที่แนบสนิทกับแผ่นหลังของมัน
อยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้มันเคลิบเคลิ้มจนเลื่อนลอย ก่อเกิดกำหนัดอยู่ตลอดเวลาการเดินทาง

ทั้งสามเดินทางมาเป็นเวลาหลายชั่วยาม จนได้ยินเสียงองค์หญิงส่งเสียงร้องคร่ำครวญขึ้น เนื่องด้วยพิษที่บาดแผล
ของนางเริ่มก่อกำเริบขึ้นอีก มันทำให้นางเจ็บปวดจนยากที่จะทนทาน ถึงกับขอให้เฟยอี้หยุดเดิน แล้ววางร่างนางลงกับพื้น
น้ำตาของนางหลั่งไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด

“โอ๊ยย….ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน เฟยอี้ ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน……”

เฟยอี้ก้มลงตรวจดูบาดแผล ก็พบอาการของพิษลุกลามขยายวงกว้างไปรอบบาดแผล จำเป็นต้องจี้สกัดจุดยับยั้งพิษไว้
แต่ในตอนนี้นางมีสติอยู่ หากเอ่ยวาจาออกไปว่าต้องมีการจี้สกัดจุด ณ.บริเวณล่อแหลมทั้งสองจุดนั้น ก็เกรงว่านางจะมิยินยอม
และต่อว่ามัน เมื่อคิดได้เช่นนั้นมันจึงนิ่งเสีย แล้วใช้ยาโรยลงบนบาดแผลของนาง

เฟยอี้ได้แต่นั่งมองดูองค์หญิงร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด จนในที่สุดมันก็ไม่สามารถทนดูต่อไปไม่ได้ หุนหันลุกหนีออกมา
แล้วพูดขึ้นกับธิดาเทพว่า

“ข้าขอฝากดูแลองค์หญิงด้วย ข้าจะออกไปหาเสบียง”

เรื่องเสียว อ่านเรื่องเสียว เล่าเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียว เรื่องเล่าเสียว เล่าเสียว อ่านเสียว เรื่องเสียวแม่ลูก doujin sak รวมเรื่องเสียว

ธิดาเทพ เห็นสีหน้าเป็นกังวลของมันก็คิดสงสาร เดินเข้ามาหามันแล้วพูดว่า

“เฟยอี้ ไม่มีหนทางใดบรรเทาอาการของนางได้เลยรึ”

เฟยอี้ถอนหายใจแรงๆออกมา แล้วพูดขึ้นว่า

“มี แต่ข้าต้องจี้สกัดจุดถ่ายลมปราณไปที่จุด ถางจง และ กวานหยวน นางคงมิยินยอมให้ข้ากระทำ”

ธิดาเทพตาเบิกกว้างอย่างตกใจ

“เหตุใด…เหตุใดต้องเป็นทั้งสองจุดนั่นด้วย นี่มิเป็นการลวนลามนางโดยเปิดเผยรึ”

เฟยอี้ส่ายหน้าด้วยแววตาที่เป็นกังวล แล้วเดินหายเข้าไปในป่าลึกเบื้องหน้า

ธิดาเทพหันกลับมามองดูองค์หญิงฯ เห็นนางบิดกายร่ำร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก็รู้สึกสงสาร
จนลืมเลือนความหึงหวงที่ก่อเกิดมาเมื่อก่อนหน้านี้ นางเฝ้ามองดูองค์หญิงด้วยความเวทนาและพลันรู้สึกสำนึกได้ว่า
เหตุที่นางผู้นี้ต้องได้รับความทุกข์ทรมานก็เพราะบิดาของตนเป็นต้นเหตุ

ธิดาเทพ ทรุดกายลงนั่งใช้มือสัมผัสที่หน้าผากขององค์หญิง ก็รู้สึกถึงความรุ่มร้อนของพิษไข้ นางจึงใช้ผ้าซับน้ำ
เช็ดให้ตามหน้าผากและใบหน้าของนาง

องค์หญิงร่ำร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด แล้วนิ่งสงบสิ้นสติไป

ธิดาเทพตื่นตกใจ ตรวจดูลมหายใจและชีพจร เห็นยังเป็นปกติอยู่ก็คลายใจ ใช้ผ้าซับน้ำเช็ดใบหน้าให้นางเพื่อคลาย
ความร้อนจากพิษไข้

จนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วยาม องค์หญิงฯ ก็กลับฟื้นได้สติขึ้นมา

“น้ำ….ขอน้ำให้ข้า…….”

ธิดาเทพได้ยินเช่นนั้น ก็หยิบภาชนะบรรจุน้ำ มาป้อนให้ที่ปากขององค์หญิงฯ

องค์หญิงฯ เมื่อได้รับน้ำก็กลับมีความสดชื่นขึ้น ประกอบกับอาการเจ็บปวดจากพิษที่กำเริบขึ้น ก็ทุเลาลงชั่วขณะ

“องค์หญิงฯ อาการของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
ธิดาเทพเอ่ยปากถามออกมาด้วยความห่วงใย

องค์หญิงฯ สบตากับธิดาเทพแล้ว ก็ยิ้มให้
“อาการเจ็บปวดทุเลาลงแล้ว ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยดูแลข้า”

ธิดาเทพทรุดกายลงนั่งเคียงข้างร่างขององค์หญิงฯ แล้วพูดขึ้นว่า

“ขอบใจข้าด้วยเหตุใด ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษเจ้า ที่เจ้าเป็นเช่นนี้ก็เพราะบิดาของข้า”

องค์หญิงฯได้ยินธิดาเทพพูดโดยมีไมตรีเช่นนั้นก็ดีใจ ยิ้มตอบกลับไปด้วยไมตรีเช่นเดียวกัน

แล้วนางก็เหลียวมองไปโดยรอบ ไม่เห็นร่างของเฟยอี้ก็ไถ่ถามขึ้นว่า

“แล้วเฟยอี้เล่า ไปอยู่ที่ใด เจ้าทราบหรือไม่”

“หึ …เจ้าทึ่มนั่น เห็นเจ้าร้องคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด มันทนดูอยู่มิได้ จึงเลี่ยงออกไปหาเสบียง”

องค์หญิงมีสีหน้าที่สลดลง แล้วพูดว่า

“เพราะข้าแท้ๆ เฟยอี้จึงต้องมาลำบากเช่นนี้ หากข้าไม่บาดเจ็บก็จะดีไม่น้อย”

ธิดาเทพหันไปจ้องมององค์หญิงฯ นิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจพูดขึ้นว่า

“เพื่อตัวเจ้าเององค์หญิงฯ เจ้าต้องยินยอมให้มันรักษาพิษของเจ้า เจ้าทึ่มนั่น ไม่กล้าเอ่ยปากบอกต่อเจ้า
มันเกรงว่าเจ้าจะเข้าใจมันผิด”

องค์หญิงฯได้ฟังคำของธิดาเทพ ก็ไม่เข้าใจ จึงไถ่ถามขึ้น

“เหตุใดเฟยอี้จึงไม่กล้าเอ่ยปากบอกต่อข้า แล้วเหตุใดข้าจะต้องเข้าใจมันผิด”

“เพื่อการรักษาพิษ เจ้าจะต้องยินยอมให้มันเดินลมปราณเข้าที่จุด ถางจง และ กวานหยวน ของเจ้า”

สิ้นคำของธิดาเทพ องค์หญิงฯถึงกับตะลึงค้าง ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นด้วยความอาย

“ไม่…ข้าไม่ยินยอม…เหตุใดการรักษาพิษจึงต้องกระทำน่ารังเกียจเยี่ยงนั้น…ข้าไม่รักษาเด็ดขาด”

ธิดาเทพยื่นมือไปเกาะกุมมือขององค์หญิง แล้วพูดว่า

“ทหารจากวังเบญจธาตุของบิดาข้า คงออกค้นหาตัวข้าและพวกเจ้าจนพบในไม่ช้า หากเจ้าไม่รักษา
อาการของเจ้าก็จะกำเริบขึ้นอีก เจ้าก็จะเป็นตัวถ่วงให้การหลบหนีล่าช้าลง จนถูกบิดาข้าจับได้
ความพยายามของเจ้าทึ่มที่เสี่ยงชีวิตเข้ามาช่วยเจ้าก็จะสูญเปล่า เจ้าไม่สงสารมันบ้างรึ”

ธิดาเทพถอนหายใจออกมา แล้วพูดขึ้นอีกว่า

“ข้าเองก็ไม่ชมชอบให้เจ้าใกล้ชิดกับมัน แต่เมื่อเห็นมันมีความทุกข์เพราะเจ้า ข้าเองก็อดสงสารมันไม่ได้”

องค์หญิงฯ ยื่นมืออีกข้างไปเกาะกุมมือของธิดาเทพบ้าง แล้วพูดขึ้นว่า

“ธิดาเทพ เจ้าเป็นหญิงที่เปิดเผย และเข้มแข็งยิ่งนัก ตกลงข้าจะยินยอมให้มันรักษาแล้ว”

ในขณะนั้นเอง เฟยอี้เดินกลับออกมาจากป่าพร้อมกับหอบหิ้วเสบียงมาด้วย เห็นนางทั้งสอง
นั่งพูดคุยต่อกันด้วยดี ก็ประหลาดใจนัก มันเดินตรงเข้าไปหานางทั้งสองแล้วพูดขึ้นว่า

“ท่านไม่เป็นอะไรแล้วรึ องค์หญิง ข้าโล่งใจยิ่งนัก”
มันแย้มยิ้มอย่างยินดี แล้วหันหน้าไปยังธิดาเทพ

“แล้วเจ้าพูดคุยสิ่งใดกับองค์หญิงฯอยู่รึ บอกข้าได้หรือไม่”

ธิดาเทพฯเดินไปหยิบเสบียงที่มันหอบหิ้วมา โดยมิสนใจจะตอบคำมัน นางหยิบยื่นผลไม้ลูกหนึ่ง
ส่งให้องค์หญิงฯ แล้วหยิบให้ตนเองหนึ่งลูก เฟยอี้เห็นเช่นนั้นก็หยิบผลไม้ขึ้นมากัดกิน แล้วนั่งลง
เคียงข้างกับธิดาเทพ

องค์หญิงฯ เหลือบมองไปยังธิดาเทพ แล้วยิ้มให้อย่างล้อเลียน

ทั้งสองนางบัดนี้แปรเปลี่ยนความรู้สึกจากชังน้ำหน้ากัน กลับกลายเป็นดีต่อกัน เนื่องด้วยความเห็นใจกัน
ในยามยากนั่นเอง

ทั้งสามเดินทางจนถึงยอดเขาอันเป็นต้นน้ำ แล้วเดินลงมาจากเขานั้น มายังที่ราบเบื้องล่าง เฟยอี้แหงนดูท้องฟ้า
เห็นดวงตะวันเริ่มคล้อยไปทางด้านทิศตะวันตก ก็ชักชวน องค์หญิงฯ และธิดาเทพหาที่นั่งพักในบริเวณนี้
ในขณะที่เฟยอี้กำลังวางร่างองค์หญิงลงกับพื้น พลันก็บังเกิดเสียงพูดคุยของกองกำลังกลุ่มใหญ่ดังขึ้น
จากอีกฟากของพงไม้

เฟยอี้รีบคว่ำร่างปิดปากองค์หญิงไว้ แล้วส่งสัญญาณมือต่อธิดาเทพ ธิดาเทพก็โผร่างฟุบลงเคียงข้างกับเฟยอี้
นิ่งสงบรอทีอยู่

กองกำลังนั้นมีจำนวนประมาณยี่สิบคน เป็นทหารของวังเบญจธาตุ ที่เจ้าลัทธิคาดโทษไว้ให้ออกตามหาธิดาเทพ
พวกมันชวนกันพักผ่อนที่นี่อยู่ก่อนแล้ว เพียงแต่มีพงไม้บังอยู่เท่านั้น

“พวกเราจะทำเช่นใดกันดี หากวันนี้เราไม่พบตัวธิดาเทพ พวกเราคงต้องตายกันหมด”

“นางคงไปไม่ได้ไกลนักหรอก หากหายเหนื่อยแล้วก็ออกค้นหากันต่อเถิด”

“ข้าเห็นนางตกเขากับตาของข้าเอง ข้าว่านางคงถูกสายน้ำพัดพาตกเหวลึกไปแล้ว”

“พอๆๆ เร่งลุกขึ้นออกค้นหากันต่อ หากว่านางตายไปแล้วก็ขอให้พบศพนาง
พวกเราก็อาจมีหวังรอดตายบ้าง”

แล้วทหารเหล่านั้นก็ลุกขึ้น กระจายกำลังออกค้นหาไปทั่วบริเวณนั้น

ธิดาเทพ ได้ยินพวกมันพูดคุยกัน ก็ตระหนักได้ทันทีว่า ทหารเหล่านี้จะไม่มีทางกลับ หากไม่พบตัวนาง
และหากยังคงหลบซ่อนอยู่เช่นนี้ ทหารเหล่านี้ก็ต้องพบเฟยอี้และองค์หญิงในไม่ช้า นางจึงตัดสินใจในทันที

“เจ้าทึ่ม ข้าจะออกไปหาพวกมัน มิเช่นนั้น พวกมันคงต้องพบตัวพวกเจ้าในไม่ช้า”

เฟยอี้รั้งมือธิดาเทพไว้แล้วพูดขึ้นว่า

“คนเพียงหยิบมือเดียว จะกลัวสิ่งใด หากว่ามันคิดจะจับตัวพวกเรา ข้าจะจัดการพวกมันเอง”

ธิดาเทพสะบัดมือออกจากมันแล้วพูดว่า

“สมแล้วที่เป็นเจ้าทึ่ม ก่อนที่เจ้าจะจัดการกับพวกมันจนหมด คนใดคนหนึ่งในพวกมันก็จะส่งพลุ
สัญญาณขึ้น กองกำลังอีกนับร้อยรวมทั้งบิดาของข้า ก็จะตรงเข้ามาที่นี่ ที่นี้เจ้าจะทำอย่างไร”

เฟยอี้จำนนต่อถ้อยคำของนาง ก็นิ่งเสียไม่ตอบโต้

ธิดาเทพยื่นใบหน้า กระซิบที่ใบหูของเฟยอี้

“เจ้าทึ่ม.. เรื่องการรักษาองค์หญิงฯ ข้าได้บอกและร้องขอต่อนางแล้ว นางยินยอมให้เจ้ารักษานางตาม
วิธีของเจ้า”

เฟยอี้หันไปสบตากับองค์หญิงฯ เห็นนางมองตอบมานิ่งอยู่

“ข้าจะออกไปแล้ว ขอให้พวกเจ้าทั้งสองนิ่งสงบรออยู่ ณ.ที่นี้จนกว่าข้าจะนำกองกำลังนั้นออกไป”

สิ้นคำ ธิดาเทพก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินอ้อมไปยังพงไม้อีกฟากหนึ่ง

ทหารผู้หนึ่ง กำลังสืบค้นอยู่ใกล้ ณ.ที่นั้นพอดี พอเห็นร่างของธิดาเทพปรากฎออกมา ก็ร้องขึ้นอย่างดีใจ

“ธิดาเทพ….ข้าพบตัวธิดาเทพแล้ว…..นางอยู่ที่นี่”

ทหารในกองกำลังได้ยินเสียงของทหารผู้นั้น ก็หันมาดูกันทุกคน ครั้นเห็นธิดาเทพยืนอยู่ ก็พากัน
ดีใจตรงเข้ามากระทำคารวะต่อธิดาเทพโดยสิ้น

“คารวะ ธิดาเทพ”

“ข้าน้อยรับคำสั่งจากท่านเจ้าลัทธิ ให้ออกตามหาองค์ธิดาเทพ แล้วนำกลับไปยังวังเบญจธาตุ
ขอธิดาเทพได้โปรด ติดตามข้าน้อยกลับไปด้วยเถิด”

“นำข้าไปซิ”
ธิดาเทพพูดขึ้น แต่สีหน้าของนางกลับเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด

เฟยอี้ฟุบร่างเฝ้าดูอย่างจดจ่อ โดยลืมตัวไปว่าร่างของมัน ทาบทับอยู่บนร่างขององค์หญิงฯ
ทั้งยังวางแก่นกายของมันลงบน เนินเนื้อขององค์หญิงอย่างแม่นยำ

องค์หญิงเห็นการณ์อยู่ในช่วงคับขัน ก็ไม่กล้าขัดขืนได้แต่ปล่อยให้มันทาบทับเรือนร่างของนางอยู่เช่นนั้น
แต่นางก็รับรู้ได้ว่า ลำของแก่นกายมันได้วางทาบอยู่บนเนินสวาทของนาง นางบังเกิดความปั่นป่วนในอารมณ์
ขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ลำแก่นกายนั้นวางทาบจนแนบชิดกับเนินเนื้อของนางโดยมีน้ำหนักตัวของมันกดทับอยู่
แม้จะเป็นเพียงภายนอกร่มผ้า แต่ก็สร้างความหวั่นไหวให้แก่นางอย่างน่าประหลาด จนนางมิอาจทนอยู่ต่อไป
พยายามดิ้นรนหนีจากการทาบทับนั้น

เฟยอี้รู้สึกได้ว่าร่างขององค์หญิง พยายามขยับหนี ก็รู้ตัวว่าตนเองอยู่ในสภาพที่ทาบทับร่างของนางอยู่
พลันก็รู้สึกได้ถึงความโหนกนูนที่แก่นกายของมันกดทับ มันล่วงรู้ทันทีว่านั่นคือสิ่งใด ความกำหนัด
ที่พยายามสกัดกั้นไว้มาตลอดทางที่แบกนางมา ก็กลับเพิ่มพูนขึ้น จนแก่นกายของมันขยายตัวเปลี่ยนสภาพ
เป็นลำอันแข็งเกร็งไปในทันที

องค์หญิงรู้สึกได้ในทันทีว่า แก่นกายของมันบัดนี้กลับขยายตัวใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า ทั้งยังมีความแข็ง
ประดุจท่อนไม้

เฟยอี้กระซิบข้างๆใบหูขององค์หญิงอย่างแผ่วเบา

“ท่านโปรดอดทนอีกสักครู่ รอพวกมันไปก่อน แล้วข้าจะออกจากตัวท่าน”

ลมปากที่มันกระซิบที่ข้างใบหูของนาง กลับเพิ่มความเสียวสะท้านจนนางขนลุกชันไปทั้งร่าง

เฟยอี้รู้สึกได้ว่า ลำแก่นกายของมันพาดอยู่กลางร่องสวาทของนางพอดีก็อดมิได้ ที่จะก่อเกิด
เพลิงสวาทของมันให้กำเริบขึ้น มันแสร้งขยับท่อนล่างของมันให้ขยับอยู่ไปมา จนองค์หญิงเอง
ก็เริ่มเคลิบเคลิ้มหวั่นไหว

แก่นกายที่แข็งตัวของเฟยอี้เสียดสีบนเนินสวาทขององค์หญิงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ครั้นเห็นว่า
องค์หญิงฯมิกว่ากล่าวสิ่งใด มันก็ได้ใจ ขยับบั้นเอวมันถอยลงแล้วดันส่วนหัวของแก่นกายมัน
กระทุ้งไปที่ร่องสวาทของนาง

องค์หญิงถึงกลับสะดุ้งขึ้นด้วยความเสียวซ่าน แม้ว่าจะเป็นนอกร่มผ้า แต่ส่วนหัวของแก่นกายมัน
กลับล่วงล้ำลึกเข้ามายังร่องสวาทของนาง จนเสียดสีกับติ่งเสียวที่นอนนิ่งสงบอยู่ให้ชี้ชันขึ้น

เฟยอี้หลงลืมตัวไปด้วยความกำหนัด มันบรรจงจุมพิตลงที่ปากขององค์หญิงอย่างดูดดื่ม
พลางรุกล้ำดันแก่นกายของมันเข้ามาอีก จนองค์หญิงรู้สึกตัวได้สติคืนมา

นางเห็นว่า หากปล่อยไปเช่นนี้ นางคงต้องตกเป็นของมันอย่างแน่แท้ จึงใช้นิ้วมือหยิกที่ท่อนแขนของมัน
อย่างรุนแรง

เฟยอี้อ้าปากคิดจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ก็สะกดกลั้นเอาไว้ได้ทัน พลันสติของมัน
ก็กลับคืนมา

“ออกไปจากตัวข้าได้แล้ว พวกมันไปกันแล้ว”

องค์หญิงใช้เสียงที่เข้มแข็ง ขับไล่มันลงไปจากร่างของนาง

เฟยอี้ผละร่างออกจากตัวองค์หญิง แล้วหลบตาลง มันมิกล้าสบตากับนางโดยตรง

“อภัยให้ข้าด้วยองค์หญิงฯ ข้าจะมิกระทำเช่นนี้อีกแล้ว”

เมื่อกองกำลังทหารนำตัวธิดาเทพจากไปแล้ว เฟยอี้ก็แบกร่างองค์หญิงไว้ที่เบื้องหลัง
แล้วออกเดินทางต่อ จนท้องฟ้าเริ่มมืดสลัวลง มันจึงขักชวนองค์หญิงพักแรม ณ.ที่แห่งนั้น

เฟยอี้ก่อกองไฟขึ้น แล้วนำเสบียงที่หาเตรียมไว้ส่งให้กับองค์หญิง แล้วชักชวนนางพูดคุย

“องค์หญิงฯ อาการของท่านเป็นเช่นไรบ้าง ยังเจ็บปวดอยู่หรือไม่”

องค์หญิงหันไปมองหน้ามัน แล้วกล่าวตอบว่า
“ตั้งแต่ที่มันก่อกำเริบขึ้นในช่วงเช้า ก็ยังไม่เจ็บปวดขึ้นอีก”

“ขอข้าตรวจสอบดูบาดแผลของท่านได้หรือไม่”

องค์หญิงพลิกเท้าที่บาดเจ็บให้มันดู เฟยอี้ก้มลงไปตรวจสอบก็พบว่าพิษยังคง
ลุกลามขยายวงกว้างออกไปอีก

เฟยอี้ส่ายหน้าอย่างเป็นกังวล แล้วก้มหน้าลง

องค์หญิงเห็นสีหน้าและอาการของมัน ก็ทราบว่าบาดแผลของนางคงมีอาการลุกลาม
เพิ่มขึ้น จึงกล่าวออกมาว่า

“ธิดาเทพได้บอกต่อข้าแล้ว ถึงวิธีการระงับพิษของเจ้า …เอ่อ..เฟยอี้ เจ้ามีวิธีอื่นอีกหรือไม่”

เฟยอี้ก้มหน้าลงแล้วตอบนางกลับไปว่า

“ขอบอกต่อท่านตามตรง วิธีนี้เป็นวิธีที่ข้าจดจำมาจากอาจารย์ของข้า เมื่อครั้งถอนพิษ
ให้กับท่านเจ้าสำนักลิ่มบ้อฮวย มันเป็นวิธีที่ได้ผลจริงๆ”

องค์หญิงรู้สึกว่าใบหน้าของตนเองร้อนผ่าว ก้มหน้าลงแล้วพูดขึ้นว่า

“ขอให้ข้าทำใจให้เข้มแข็งกว่านี้ แล้วข้าจะยินยอมให้เจ้ารักษา”

เฟยอี้หันไปมองหน้านาง แล้วพูดขึ้นด้วยความเป็นกังวลว่า
“แต่….องค์หญิงฯ พิษที่บาดแผลของท่านกำลังลุกลาม หากไม่เร่งรีบระงับพิษไว้
เกรงว่า …จะมิทันการ”

องค์หญิงเงยหน้าขึ้นสบตากับมัน แล้วครุ่นคิดถึงคำพูดของธิดาเทพ นางไม่ต้องการที่จะเป็นตัวถ่วง
แล้วทำให้มันได้รับอันตราย จึงพยักหน้าตอบรับคำของมัน

ในคืนนั้น หลังจากที่ทั้งคู่กินอาหารแล้ว ก็ชวนกันเข้ามานั่งใกล้กับกองไฟที่ก่อขึ้น องค์หญิงมีใบหน้าที่แดงระเรื่อ
ด้วยความอาย นางมิเคยเปิดเผยเรือนร่างต่อหน้าผู้ใดแม้แต่สตรีด้วยกัน จึงเป็นความลำบากใจต่อนางอย่างมาก
ที่จะเปลื้องเสื้อผ้าออกต่อหน้าเฟยอี้

“ข้า…ข้าทำไม่ได้…หากว่าเจ้ายังจ้องมองข้าเช่นนี้”

เฟยอี้ซึ่งกำลังจ้องมองอย่างตั้งใจ ก็พลันได้สติขึ้น แล้วพูดขึ้นว่า

“เช่นนั้น ข้าจะหลับตาลงไม่มองท่าน”

องค์หญิงเห็นว่า เฟยอี้ปิดตาลงแล้วก็สบายใจขึ้น นางค่อยๆเปลื้องผ้าส่วนบนออกทีละชิ้น จากนั้นก็เปลื้องผ้าส่วนล่างออก
จนเหลือแต่ร่างเปลือยเปล่าขาวโพลน ท่ามกลางแสงสว่างจากกองไฟ

“องค์หญิง ท่านพร้อมแล้วหรือไม่”

องค์หญิงฯลดมือที่ปิดบังทรวงอกไว้ลง เอนกายนอนราบลงกับพื้น แล้วตอบคำมันออกไป

“ข้าพร้อมแล้ว”

เฟยอี้ได้ยินนางตอบรับคำเช่นนั้น ก็เร่งเร้าลมปราณจากช่องท้อง ให้โคจรไหลเวียนไปทั่วร่าง
มันวาดฝ่ามือทั้งสองออกไปสู่เบื้องหน้า แล้วเดินลมปราณให้ไหลเวียนมาที่นิ้วชี้ของมือทั้งสอง

มันลืมตาขึ้น จ้องมองไปที่จุดถางจง กึ่งกลางถันทั้งสองของนางแล้วเคลื่อนนิ้วชี้ของมันจี้ไปยัง ณ.ตำแหน่งนั้น
เฟยอี้เหลือบตามองดูใบหน้าของธิดาเทพ เห็นนางปิดตาสนิทไม่มองดูมัน มันจึงเลื่อนสายตาลงไปยังจุด
กวานหยวน ซึ่งอยู่เหนือเนินสวาทของนางเพียงเล็กน้อย แล้วเคลื่อนนิ้วของมันไป ณ.ตำแหน่งนั้นทันที

พลังลมปราณของเฟยอี้ เคลื่อนจากร่างของมันถ่ายเทไปยังปลายนิ้วทั้งสอง และไหลเข้าสู่จุดสำคัญทั้งสองของนาง
อย่างต่อเนื่อง สร้างความอบอุ่นสบายตัวให้กับองค์หญิงเป็นที่สุด นางนอนหลับตานิ่ง บนใบหน้าของนาง
เจือไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย

เวลาผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม องค์หญิงก็คลายความเขินอายลง นางเริ่มปล่อยตัวตามสบาย นอนหลับตาให้เฟยอี้
เดินพลังลมปราณรักษานาง

แต่เฟยอี้กลัยไม่เป็นเช่นนั้น มันนั่งใกล้ร่างอันงามสะคราญ ซ้ำยังเปลือยเปล่าไปทั้งร่าง
ในทีแรกมันก็หลับตาไม่ดูนาง แต่จิตใจเบื้องลึกของมัน กลับเรียกร้องให้จ้องมองดู จนในที่สุดมันก็เปิดตาแล้วจ้องมอง
ส่วนสัดขององค์หญิงอย่างเต็มตา ยิ่งมองดูก็ยิ่งก่อเกิดกำหนัดให้กำเริบขึ้น จนมันมิอาจทนต่อไปได้ ถอนมือของมันออกจาก
จุดทั้งสองของนาง แล้วเบือนหน้าไปยังทิศทางอื่น

“องค์หญิง วันนี้เราพอแค่นี้ก่อนเถิด”

องค์หญิงได้ยินคำพูดของมันก็ลืมตาขึ้น เห็นมันเบือนหน้าไม่มองมายังนาง ก็บังเกิดความโล่งใจ นึกขอบคุณมัน
ที่ไม่จ้องมองนางให้เกิดความอับอาย

เฟยอี้เรู้สึกเหน็ดเหนื่อย เนื่องด้วยเสียพลังลมปราณไปมาก จนเหงื่อของมันชุ่มไปทั้งร่าง มันทิ้งกายนอนราบลง ณ ที่นั้น
แล้วกล่าวกับนางเพียงสั้นๆ

“องค์หญิง เรานอนพักผ่อนกันเถอะ พรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางอีก”

แล้วมันก็หลับตาลง เพียงไม่กี่อึดใจก็ผล็อยหลับไป องค์หญิงฯเห็นเช่นนั้นก็บังเกิดความสงสาร และเห็นใจมัน
ที่ต้องมาลำบากเพราะนาง นางทอดร่างลงนอนเคียงข้างมัน แล้วมองนิ่งมายังร่างของมัน ดวงตาของนางค่อยๆหรี่ลง
จนหลับไปในที่สุด

ย่างเข้าสู่เช้าวันที่สาม ที่เฟยอี้พาองค์หญิงฝ่าออกมาจากวังเบญจธาตุ องค์หญิงรู้สึกได้ว่ารอยดำคล้ำโดยรอบบาดแผลของนาง
หยุดการขยายตัวลง เนื่องด้วยการเดินลมปราณของเฟยอี้ นางทดลองยันกายลุกขึ้นก็พบว่ายังมิสามารถก้าวเดินได้ด้วยตนเอง
จึงทรุดนั่งลงดังเดิม

เฟยอี้ในขณะเก็บสัมภาระเพื่อเตรียมเดินทางต่อ เห็นดังนั้นก็พูดขึ้นว่า

“ท่านต้องได้รับการรักษาอีก สามวัน จึงจะทุเลาลง และสามารถเดินได้ด้วยตนเอง”

องค์หญิงฯ ยิ้มให้กับมันแล้วกล่าวกับมันอย่างสดใสว่า

“ขอบคุณเจ้ามาก ที่ช่วยเหลือข้า”

เฟยอี้เก็บสัมภาระเสร็จสิ้นก็เดินตรงเข้ามาหาองค์หญิง มันทรุดกายลงนั่งหันหลังให้แก่นาง

องค์หญิงฯจ้องมองแผ่นหลังของมันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวออกมาว่า

“หลายวันมานี้ เจ้าต้องลำบากเพราะข้า เจ้าเบื่อหน่ายข้าบ้างหรือไม่”

เฟยอี้ หัวเราะเสียงดังออกมา แล้วตอบนางกลับไปว่า

“ตัวท่านหามีน้ำหนักอันใด ข้าสามารถแบกร่างของท่านไปจนถึงวังหุบผาภูตโดยไม่หยุดพักก็ยังได้”

องค์หญิงฯได้ยินมันคุยเขื่องเช่นนั้น ก็แย้มยิ้ม แนบร่างของนางเข้ากับแผ่นหลังของมันอย่างคุ้นเคย
ไม่เคอะเขินดังเช่นครั้งก่อน เฟยอี้ลุกขึ้นยืน แล้วย่างเท้าเดินทางต่อ โดยมีองค์หญิงโอบรอบลำคอแนบใบหน้าของนาง
กับแผ่นหลังของมันอย่างสนิทใจ

บัดนี้ทั้งเฟยอี้ และองค์หญิงต่างมีความสนิทสนมกันเพิ่มขึ้น ในระหว่างเดินทางทั้งสองต่างก็พูดคุยหยอกล้อกัน
อย่างสนุกสนาน เฟยอี้มีความเพลิดเพลินใจจนลืมเหน็ดเหนื่อย มันเองก็คาดไม่ถึงว่า องค์หญิงลีลู่อินที่มันรู้จัก
ตอนอยู่ที่วังหุบผาภูต ดูคล้ายเป็นคนหยิ่งผยอง และไม่ลดตัวลงมาพูดคุยกับผู้ใด แต่ในยามนี้นางกลับดูสดใสน่ารัก
มีความเป็นมิตรกับมัน ราวกับว่าเป็นคนละคน มันรู้สึกชื่นชอบองค์หญิงฯในขณะนี้เป็นอย่างมาก

เฟยอี้สนุกสนานกับการพูดคุยหยอกล้อกับองค์หญิงฯที่อยู่บนหลังมัน จนเดินเท้าขึ้นมาบนยอดเขาแห่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
มันหยุดยืนนิ่งแล้วสำรวจไปโดยรอบอาณาบริเวณนั้น พบว่ายอดเขาแห่งนี้เต็มไปหมอกลอยต่ำเตี้ยอยู่รอบตัวมัน
บรรยากาศก็ดูนิ่งสงบ ไม่มีแม้แต่คลื่นลม

องค์หญิงมองไปโดยรอบก็เห็นแต่หมอกลอยอยู่เต็มไปหมด จึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า

“เฟยอี้ นี่คือสถานที่ใด”

เฟยอี้หันไปมาอย่างงุนงง แล้วส่ายหน้าตอบนางกลับไป

“ข้าก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามันคือที่ใด แต่หันไปทางใดก็ไม่เห็นหนทางที่จะไป
มีแต่หมอกปกคลุมเต็มไปหมด”

เฟยอี้ก้าเท้าไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ด้วยหมายว่าจะมองเห็นสิ่งใดเพิ่มเติม

พลันร่างของมันและองค์หญิงก็ผลุบหายลงไปอย่างรวดเร็ว เฟยอี้และองค์หญิงฯเดินตกลงไป
ในปล่องเขา ร่างของมันและองค์หญิง ลอยเคว้งคว้างล่องลอยในอากาศ ท่ามกลางร้องเสียง
ดังยาวออกมาด้วยตื่นตกใจของมันและองค์หญิง แล้วล่วงลงสู่บ่อน้ำใสที่เบื้องล่าง

ร่างของคนทั้งสองจมลึกลงไปถึงก้นบ่อ เฟยอี้ได้สติกลับมาก็เร่งรีบว่ายน้ำไปรวบร่างขององค์หญิงไว้
แล้วแหวกว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว มันนำร่างขององค์หญิงขึ้นจากน้ำที่เย็นจัด
ร่างขององค์หญิงสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ แล้วตัวมันเองก็เร่งไต่ขึ้นมาจากบ่อน้ำนั้นตามขึ้นมา

เฟยอี้สั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความหนาว มันมองสำรวจดูพื้นที่โดยรอบก็พบว่า มีแสงสว่างส่องลงมา
จากปล่องเขาเบื้องบนที่มันตกลงมา อาณาบริเวณโดยรอบดูคล้ายกับเป็นถ้ำใต้ปล่องเขา
และมีแอ่งน้ำใหญ่อยู่ภายใน

เฟยอี้หันมองไปที่เบื้องหลัง เห็นแสงสว่างส่องมายังด้านนั้น จึงเดินออกไปสำรวจดู พบว่าบริเวณนั้น
เป็นปากถ้ำ หน้าถ้ำนั้นเป็นพื้นกว้าง ร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่และไม้ผลนานาชนิด มันทั้งสวยงาม
และเงียบสงบคล้ายกับไม่เคยมีมนุษย์คนใดเคยล่วงล้ำเข้ามา

มันตรงเข้าไปเก็บผลไม้ และกิ่งไม้แห้งได้หอบใหญ่ แล้วกลับเข้ามาภายในถ้ำ ตรงมายังองค์หญิงฯ
ที่นั่งหนาวสั่นอยู่

“องค์หญิงฯ ท่านกินผลไม้นี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะไปก่อกองไฟ”

ทั้งสองนั่งผิงไฟจนเสื้อผ้าแห้งและคลายความหนาวลงแล้ว เฟยอี้ก็ชักชวน
องค์หญิงออกไปหน้าถ้ำด้วยกัน

ครั้นองค์หญิงได้เห็นหน้าถ้ำนั้น ก็แย้มยิ้มออกมา

“สวยงามเหลือเกิน เฟยอี้ สถานที่แห่งนี้คือที่ใดกัน”

“ใช่แล้ว องค์หญิงฯ สวยงามเหลือเกิน ทั้งยังอุดมไปด้วยผลไม้นานาชนิด ข้าคิดว่าสถานที่แห่งนี้
ปลอดภัยพอเพียงที่เราจะอยู่รักษาตัวท่าน จนกว่าท่านจะสามารถเดินได้ แล้วค่อยออกเดินทางต่อ ท่านว่าดีหรือไม่”

องค์หญิงฯ หันมาสบตากับเฟยอี้ แล้วพยักหน้า

“อืม…ข้าเห็นด้วยกับเจ้า”

เฟยอี้แบกร่างองค์หญิงฯ เดินชื่นชมทัศนียภาพภายนอกถ้ำจนทั่วแล้ว
ก็หันกลับมาสำรวจภายในถ้ำนั้นอีกครั้ง ภายในถ้ำนั้นเป็นห้องศิลากว้างใหญ่ กลางห้องศิลามีแอ่งน้ำใส
ทั้งลึกและกว้าง เฟยอี้เดินสำรวจไปตามผนังศิลาโดยรอบก็พบว่า มีห้องเล็กๆแฝงอยู่ ณ.ผนังศิลาด้านหนึ่ง

มันจึงเดินกลับมายังกองไฟ หยิบกิ่งไม้ที่ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟ แล้วเดินกลับไปยังห้องศิลาเล็กนั้น

องค์หญิงเห็นว่าห้องศิลาเล็กนั้นมืดมิดนัก ก็เกิดความกลัว กล่าวขึ้นว่า
“เฟยอี้ เจ้าจะเข้าไปหรือ”

เฟยอี้ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า

“ท่านไม่ต้องกลัว พวกเราจะต้องพักค้างคืน ณ.ที่แห่งนี้หลายวัน เราจำเป็นต้องสำรวจให้ทั่วว่า
สถานที่นี้มีอันตรายแอบแฝงอยู่หรือไม่”

พูดจบเฟยอี้ก็เดินเข้าไปยังห้องศิลาเล็กนั้น

แสงไฟจากกิ่งไม้ของเฟยอี้ สาดส่องไปยังภายในห้องศิลานั้น จนสว่างไปทั้งห้อง

แล้วทั้งสองก็ตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นร่างของคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเนินดินสูง แต่งกายคล้ายเป็น
เต้าหยินนิกายเต๋า แต่ที่น่าตื่นตกใจที่สุดจนองค์หญิงร้องเสียงดังออกมาก็คือ

ส่วนหัวของคนผู้นั้นเป็นหัวกระโหลกมนุษย์ สีขาวนวลของหัวกระโหลกนั้นยามต้องแสงไฟ
ช่างดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก

เฟยอี้ตั้งสติได้ ก็เดินถือกิ่งไม้ที่ติดไฟอยู่นั้นเดินเข้าไปใกล้ร่างนั้นอีกครั้ง แล้วสำรวจดูอย่างถ้วนถี่
พบว่า ร่างนั้นคือโครงกระดูกของนักพรตผู้หนึ่งที่ตายอยู่ในที่แห่งนี้มาหลายปีแล้ว ในมือของนักพรต
มีแส้ปัดอยู่ในมือ ที่ด้ามของแส้ปัดนั้นมีอักษรจารึกว่า จางหย่งจง

องค์หญิงฯ อ่านอักษรที่จารึกอยู่บนด้ามแส้ปัดนั้นอีกครั้ง

“จาง..หย่ง..จง หรือว่า…ท่านผู้นี้คือ ผู้เฒ่าเงาภูติ จางหย่งจง”

เฟยอี้ตาเบิกว้าง นึกถึงคำพูดของอ๋องลีลู่ปัง ที่เคยกล่าวถึงชื่อของบุคคลนี้ให้มันฟัง

“องค์หญิง ท่านหมายถึง จางหย่งจง หนึ่งในห้าเซียนเทพยุทธใช่หรือไม่”

องค์หญิงไม่ตอบคำมัน แต่กลับพึมพำออกมา

“มิผิด…มิผิด…ท่านผู้นี้คือจางหย่งจง เจ้าดู ท่านผู้นี้แต่งกายเป็นนักพรตนิกายเต๋า
ทั้งยังแฝงกายอยู่ในที่เร้นลับเช่นนี้ ต้องมิใช่ผู้อื่นเด็ดขาด”

เฟยอี้เหลือบไปเห็น ตัวอักษรแถวหนึ่งจารึกอยู่บนผนังศิลา เหนือสรีระของนักพรตจางฯ

“ใช้อัคคีเผาผลาญเศษซากนี้เสีย จางหย่งจง”

เฟยอี้เพ่งมองที่ตัวอักษรเหล่านั้น แล้วกล่าวด้วยความชื่นชมว่า

“ท่านนักพรตผู้นี้ กำลังภายในล้ำลึกนัก ใช้นิ้วมือขีดเขียนบนผนังศิลาดุจดังเขียนบนผืนทราย”

แล้วก็หันไปพูดกับองค์หญิงว่าฯ

“ท่านนักพรตได้เขียนฝากไว้ ให้เผาร่างท่านเสีย ข้าจะไปเอากิ่งไม้แห้งมาสุมเป็นกองไฟ
เผาสรีระให้แก่ท่านตามคำขอ ท่านโปรดนั่งรอข้าอยู่ที่นี้ก่อน”

เพียงครู่ เฟยอี้ก็สุมกิ่งไม้แห้งล้อมรอบร่างของ นักพรตจางหย่งจง จนเห็นว่าพอเพียงแล้ว
ก็ถอยออกมาทรุดกายลงนั่ง กระทำคารวะต่อสรีระนั้น แล้วกล่าวว่า

“ข้าผู้น้อยเฟยอี้ ด้อยวาสนาที่จะได้พบท่านขณะยังมีชีวิต แต่ก็จะปฏิบัติกับสรีระของท่านตามคำที่ท่านขอแล้ว”

แล้วมันก็จุดไฟขึ้นโดยรอบกิ่งไม้เหล่านั้น จนบังเกิดเป็นเปลวไฟใหญ่ลุกโชติช่วงท่วมร่างอันไร้วิญญาณนั้น

เฟยอี้และองค์หญิงฯ นั่งมองดูกองไฟนั้นอย่างนิ่งสงบอยู่ครู่หนึ่ง แล้วออกไปพักผ่อนอยู่ภายนอก เพื่อจัดเตรียม
สถานที่พักแรมในถ้ำแห่งนั้น จนเวลาผ่านไปหลายชั่วยามเฟยอี้จึงเข้าไปยังห้องศิลานั้นอีกครั้งก็พบว่า
สรีระของนักพรตจางหย่งจง กลับกลายเป็นกองเถ้ากองหนึ่งไปแล้ว

เฟยอี้คิดจะนำกองเถ้านั้นไปฝังดินและทำป้ายฝังศพให้กับนักพรตจางหย่งจง

ในขณะที่มันใช้มือกอบเถ้านั้นลงบนผืนผ้าที่เตรียมไว้ มันก็พบว่าใต้กองเถ้านั้นเป็นแผ่นเหล็กใหญ่ชิ้นหนึ่ง
มันคิดสงสัยว่าเหตุใดจึงมีแผ่นเหล็กอยู่ใต้สรีระของนักพรตจางฯ จึงใช้มือกอบเถ้าออกจนหมดแล้วปัดฝุ่นผง
ออกจากแผ่นเหล็กใหญ่นั้น พลันก็พบว่าแผ่นเหล็กนั้นมีข้อความจารึกไว้

“อหิทธานุภาพอันล้ำลึกมิเคยดับสูญ
เป็นมารดาทุกสรรพสิ่งอันอัศจรรย์
จากทวาราแห่งมารดา ก่อเกิดรากฐานแห่งฟ้าและดิน
มีฟ้าจึงมีดิน ไม่มีดินก็หามีฟ้าไม่
หยินหยางทั้งตรงข้ามและสอดคล้อง
ในแต่ละด้านของหยินหยางจะดำรงได้ด้วยอีกด้าน
ไม่มีหยินก็จะไม่มีหยาง ไม่มีหยางก็จะไม่มีหยิน
เมื่อหยินเติบโตแผ่อานุภาพ หยางจะลดลงรั้งรอ
ครั้นหยางมีพลังยิ่งใหญ่ หยินก็จะลดน้อยถอยกลับ
ก่อเกิดเป็นวงจรหมุนเวียนเปลี่ยนแปรตลอดกาล”

เฟยอี้อ่านข้อความเหล่านั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ยังไม่เข้าใจว่าข้อความเหล่านี้ ท่านนักพรตจารึกเอาไว้ด้วยเหตุใด
พลันมันก็สังเกตเห็นขอบแผ่นเหล็กนั้นคล้ายดังมีหลุมลึกอยู่ใต้แผ่นเหล็ก มันจึงตัดสินใจขุดดินออกโดยรอบ
แล้วยกเอาแผ่นเหล้กนั้นออก

ปรากฎว่าภายในเป็นหลุมดิน บรรจุกล่องไม้ไว้กล่องหนี่ง เฟยอี้หยิบกล่องไม้นั้นมาเปิดออกดูก็พบว่า
ภายในบรรจุคัมภีร์ไว้สองเล่ม เฟยอี้เอื้อมมือหยิบคัมภีร์เหล่านั้นขึ้นมาดู

เล่มหนึ่งที่ส่วนหน้าเขียนไว้ว่า “ปราณฟ้าดิน-หยินหยาง”
ส่วนอีกเล่มหนึ่งก็เขียนไว้ว่า “ท่าร่างหมื่นแปรเปลี่ยน”

เฟยอี้นั่งลง ณ.ที่แห่งนั้นแล้วเปิดคัมภีร์ทั้งสองเล่มออกอ่าน จนเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายชั่วยามโดยมันเอง
ก็ลืมเลือนไป

—————————————

ข่าวของเฟยอี้ต่อสู้กับเจ้าลัทธิ แล้วเสียทีตกไปยังหน้าผาเสียชีวิต แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
จนเรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงหูของเว่ยฉิงคัง

เว่ยฉิงคังเกิดความสงสัยยิ่งนัก ด้วยว่าก่อนหน้านี้มันทราบมาว่า เฟยอี้เคยเป็นฝ่ายมีชัยต่อเจ้าลัทธิ
แต่ในชั่วเวลาเพียงไม่นานกลับมีข่าวว่าเฟยอี้พ่ายแพ้ต่อฝีมือของเจ้าลัทธิเช่นนี้ อีกทั้งก็ใกล้ถึงกำหนดนัดหมาย
ชุมนุมชาวยุทธ เพื่อจะรวมตัวกันบุกวังเบญจธาตุ มันจึงคิดว่าเพื่อเป็นการไม่ประมาท มันจำเป็นต้อง
ล่วงรู้เบื้องลึกของเรื่องนี้ให้ได้

คิดได้ดังนั้น มันจึงเรียกคนสนิทเข้ามาสั่งความ ให้ปลอมแปลงตน แฝงเข้าไปยังวังเบญจธาตุเพื่อสืบข่าวนี้
แล้วแจ้งกลับมาให้มันทราบ

ข้างฝ่ายของสำนักเงาจันทราก็เช่นเดียวกัน พอทราบข่าวว่าเฟยอี้พ่ายแพ้ต่อเจ้าลัทธิ ตกหน้าผาเสียชีวิตไปแล้ว
ก็สร้างความแตกตื่นเสียใจให้กับ เหม่ยเยี่ย เหม่ยผิง และเหม่ยลี่ เป็นอันมาก พวกนางร้อนใจและไม่เชื่อข่าวที่เกิดขึ้น
ต้องการเดินทางไปพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง จึงพากันไปร้องขอต่อเจ้าสำนักลิ่มบ้อฮวย เพื่อขอออกเดินทาง
ไปติดตามหาเฟยอี้

เจ้าสำนักลิ่ม และเยี่ยกุ้ยอิง ต่างก็เห็นพ้องตรงกันว่าจะร่วมออกติดตามหาเฟยอี้ เพื่อทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง
และจะสืบข่าวของหมอวิปลาสด้วยว่ามันเป็นอันตรายหรือไม่

Share the Post:

Related Posts

แอบดูเมียเย็ดกับชู้ควยใหญ่

เรื่องเสียว แอบดูเมียเย็ดกับชู้ควยใหญ่ ผมกับเมียแต่งงานกันมาแล้ว 4ปี ผมอายุ 36 เมียผม 32 เราทั้งคู่ยังไม่อยากมีลูกเพราะต้องการสร้างฐานะให้มั่นคง ก่อน ผมกับเมียถือว่าเกิดมาจากครอบครัวที่มีฐานะพอสมควร และอาชีพการงานของผมก็ค่อนข้างมีหน้มีตาและราย ไต้ถือว่าสูงมากพอที่จะทำงานคนเดียวโดยให้เมียทำงานบนอย่างเดียว โดยไม่ขัดสนเรื่องเงินทอง เมียผมเป็นคนน่ารัก ผิวขาวอย่างคนจีน อกไม่ใหญ่มาก สะโพกงอนสวยมาก โดกของเธออวบอูม มีขนประปราย

Read More

วันไหลสงกรานต์ มันส์ขนาดไหน แตกในเลยคิดดูสิคะ

เรื่องเสียว วันไหลสงกรานต์ มันส์ขนาดไหน แตกในเลยคิดดูสิคะ แถว ๆ บ้านฉัน มีคนใหญ่คนโตจัดงานวันไหลสงกรานต์ให้หนึ่งวัน คือวันที่ 20 เมษายน ซึ่งฉันเองก็มาไปร่วมงานด้วย แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้เจอเรื่องเสียวในสถานที่แบบนี้ จุดเริ่มต้นอาจจะเพราะว่าการแต่งตัวของฉันก็ได้ ฉันคงไม่ปฏิเสธหรอก ว่าฉันนั้นแต่งตัวน้อยชิ้นไปเอง แต่ก็เพราะว่ายังไงก็ต้องเปียกอยู่ดี ฉันเลยไม่ได้คิดอะไรมากเท่าไหร่ จนกระทั่งมีผู้ชายคนหนึ่งมาทักทายฉันแล้วขอปะแป้ง เขาถามฉันว่ามากับใคร

Read More