ก้อย ภาค 2 ตอนที่ 13
หมดไปอีกหนึ่งเรื่อง กลับถึงคอนโดแนนก็ทำเหมือนปรกติ เหมือนเมื่อตอนหัวค่ำไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่หงส์ที่แปลกใจว่าทำไมผมกลับมาพร้อมกับแนน แต่แนนก็ไม่พูดอะไรเอาแต่ดีใจที่พรุ่งนี้จะได้ไปเล่นกับเจ้าโกลเด้นสองตัวที่บ้านคุณอำนาจ พอกินข้าวเสร็จผมก็หยิบเจ้า ipad มาเล่น ผมนั่งกดดูโน้นดูนี่ไปเรื่อย จนไปเจอว่าบริษัทที่ก้อยทำงานอยู่เป็นของคุณอำนาจเหมือนกัน แต่มันก็คงไม่แปลก เพราะบริษัทใหญ่ก็มันสร้างบริษัทลูกมาขายของให้บริษัทแม่อยู่แล้ว ขึ้นอยู่ว่าจะปกปิดหรือเปิดเผยเท่านั้น
ผมรีบกดเข้าไปดูประวัติก้อย รูปถ่ายของก้อยในประวัติเป็นรูปตอนที่เธอเพิ่งเรียนจบ ยังไว้ผมหน้าม้าอยู่เลย ผมดู
แล้วก็ขำ แต่ทำไมผมเข้าไปแก้ไขอะไรไม่ได้หละเนี่ย ผมเลยกดโทรศัพท์หาลินเพื่อถามเธอเรื่องนี้
“สวัสดีคุณลินสะดวกคุยไหมครับ”
“ถ้าไม่สะดวกลินก็คงไม่รับสายหรอกค่ะ”
ผมหัวเราะชอบใจ มันทำให้ลินยิ่งรู้สึกหงุดหงิด
“พี่บีมีอะไรด่วนหรือเปล่าค่ะถึงได้โทรมาดึกแบบนี้”
“อ้อ ผมลืมไปขอโทษด้วย คือ”
ผมบอกลินเรื่องที่ผมเข้าไปแก้ไขตำแหน่งในบริษัทก้อยไม่ได้
“ก็ไม่ได้ทุกบริษัทหรอกค่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกันอย่างเปิดเผยค่ะ ส่วนบริษัทนี้”
“ผมเข้าใจแล้ว” ผมแทรกขึ้นเพื่อที่ลินจะไม่ต้องอธิบายยืดยาว “แล้วผมมีสิทธิเข้าไปจัดกัดอะไรกับบริษัทนี้ไหม”
“มีอยู่แล้วหละค่ะ พี่บีแค่สั่งลินมาเดี๋ยวลินจะทำหนังสือให้พี่บีเซ็นต์อนุมัติจากนั้น”
“โอเคโอเค ไม่ต้องอธิบายยาวก็ได้ ผมเข้าใจระบบงานดี อธิบายคราวๆ ก็พอจะได้ไม่เสียเวลาคุณด้วย”
“แล้วไอ้ที่พูดกลับมาซะยาวนี่ไม่เสียเวลาหรือไง” ลินบ่นอุบอิบ แต่ผมก็ได้ยิน
“อืมผมอยากได้ผลการประเมินการทำงานของพนักงานบริษัทนี้ เอาแค่แผนกเซลล์ก็พอ อืมเอาย้อนหลังซักสามปีนะ”
“ได้ค่ะ ลินจะรีบจัดการให้”
“ผมไม่ต้องรีบก็ได้นะ แต่ได้เร็วๆ ก็ดี” ผมหัวเราะตัวเองที่แกล้งลินอีกแล้ว
“ค่ะลินจะรีบหาข้อมูลส่งให้ทันทีค่ะ” ลินเริ่มมีน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจผมแล้ว
“ok คืนนี้ผมไม่กวนคุยแล้ว ถ้ามีอะไรอีกผมจะส่งข้อความไปแทนแล้วกันนะ”
“ค่ะ”
ผมแกล้งลินอีกแล้ว ถึงผมจะไม่โทรหาเธอแต่ผมก็ส่งข้อความไปกวนใจเธอให้ต้องรีบหาข้อมูลให้ผมอยู่ดี ผมอยากให้แนนดูรูปก้อยตอนไว้ผมม้า แต่ถ้าเกิดแนนสงสัยหรือไปเล่าให้ก้อยฟังหละ ไม่เอาดีกว่าเก็บเอาไว้ดูขำๆ คนเดียวดีกว่า
คืนนี้ผมไม่รอดูข้อมูลที่ลินส่งมา ตื่นมาตอนเช้าผมถึงได้รู้ว่าลินส่งข้อมูลที่ผมขอมาให้ผมตอนเที่ยงคืน ผมรีบเปิดดูทันทีเพราะผมอยากรู้ว่าก้อยได้คะแนนประมาณเท่าไหร่สมกับที่เธอขยันทำงานหรือเปล่า แต่ผมก็ต้องตกใจพอเห็นคะแนนที่เธอได้ ก้อยคะแนนประเมินเกือบต่ำกว่ามาตราฐานทุกปี เรียกว่าแค่คาบเส้นก็ได้
ไม่จริงหรอกผมคิด ถ้าก้อยได้คะแนนน้อยแบบนี้จริงๆ เธอต้องพูดให้ผมฟังแล้ว แล้วยิ่งเมื่อก่อนตอนผมจีบเธอ เราเล่าเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวให้กันและกันฟังทุกเรื่อง ก้อยไม่เคยบ่นเรื่องประเมิณเลยด้วยซ้ำดูเหมือนเธอจะได้คะแนนดีซะด้วย แต่ผมก็เปลี่ยนเรื่องคิดพอเห็นแนนแต่งตัวเหมือนกำลังจะออกไปข้างนอก
“ไปไหนหนะ ไปแต่เช้าเลยนะ”
“ไปเล่นกับเจ้าบี้เจ้าโบ้”
“โหไม่เช้าไปหรอ แล้วนี่ไม่กินข้าวก่อนหรอ”
“ไม่อะ ไปกินที่โน้นกับฟาง”
“ไปของเค้า รู้จักขอบคุณคนทำเค้าบ้างหละ ไปซนอยู่ทั้งวัน”
“รู้น่า เชอะไปดีกว่าเบื่อคนขี้บ่น”
จากนั้นแนนก็สะพายกระเป๋าเดินออกจากห้องไป ผมรู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน ต่อไปฟางคงไม่เหงาเพราะแนนคงไปหาเธอบ่อยๆ แล้วคนอย่างผมเดี๋ยวพอผมงานยุ่งผมก็ลืมฟางอีกเหมือนที่ผมลืมสาวอีกหลายๆ คน ผมกลับมาคิดเรื่องก้อยต่อแต่พอผมจะโทรหาลิน หงส์ก็มานั่งทานข้าวเป็นเพื่อนผมซะแล้ว ผมเลยคิดว่าไปถึงที่ทำงานค่อยโทรดีกว่า
ไปถึงห้องทำงานพอนั่งเก้าอี้ได้ผมก็รีบกดโทรศัพท์หาลินทันที
“สวัสดีตอนเช้าคุณลิน คุณว่างอยู่หรือเปล่า”
ลินทำฮึดฮัดผมเลยแกล้งตอบแทนเธอ
“คุณรับสายผมถือว่าคุณว่างแล้วกันนะ”
เสียงลินบ่นอุบอิบลอดเข้ามาในโทรศัพท์
“นี่ข้อมูลที่คุณให้ผมมามันผิดหรือเปล่า ผมว่ามันไม่ใช่แบบนี้นะ”
“ผลการประเมิณใช่ไหมค่ะ”
“ใช่ เนี่ย” ผมบอกชื่อก้อยไป “พนักงานคนนี้ไม่น่าได้ผลประเมิณแบบนี้นะ”
“ทำไมพี่บีรู้หละค่ะ”
“ก็พนังงานคนนี้เป็นแฟนผมเอง”
“แบบนี้พี่บีไม่คิดว่าพี่ลำเอียงเข้าข้างแฟนตัวเองหรอค่ะ”
“ลิน จริงอยู่เป็นแฟนกันก็ต้องเข้าข้างกัน แต่ผมก็ไม่ถึงกับหลับหูหลับตาเข้าข้างแฟนผมหรอกนะ ผมแยกแยะได้ แต่สำหรับก้อยเนี่ย ผมว่าเธอได้คะแนนแค่คาบเส้นมันเป็นไปไม่ได้หรอก”
“แต่ลินตรวจสอบแล้วนะค่ะ แล้วผลการประเมิณทั้งหมดก็มีลายเซ็นต์ผู้มีอำนาจลงนามหมดแล้ว”
“งั้นหรอ อืมถ้าคุณว่าผมลำเอียง คุณมีเอกสารที่แฟนผมเซ็นต์รับการประเมิณนี้หรือเปล่า ถ้ามีผมก็จะยอมรับ”
ลินถอนใจก่อนจะตอบ “ไม่มีค่ะ ผลการประเมิณนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลหลังจากเอกสารที่พนักงานเซ็นต์รับอีกที่นึง แต่ก็มีหัวหน้าหรือผู้จัดการเซ็นต์ยืนยันมานะค่ะว่าเป็นตามนี้จริง”
“แล้วผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าผู้จัดการที่เซ็นต์รับรองมาจะใส่ข้อมูลที่ถูกต้อง เวลาคิดเรื่องปรับระดับบริษัทนี้ใช้ข้อมูลไหนมาเป็นฐาน ข้อมูลที่มีลายเซ็นต์รับของพนักงานเอง หรือเอกสารที่มีแต่ลายเซ็นต์ผู้บริหาร” ผมเริ่มเสียงดังเพราะผมรู้สึกว่ามันไม่ชอบมาพากลแล้ว
“ก็ต้องเอกสารผู้บริหารเซ็นต์ซิค่ะ”
“งั้นคุณไปหาเอกสารที่พนักงานเซ็นต์รับมา คุณจะทำยังไงก็ได้แต่ผมอยากได้ก่อนเที่ยงนี้ ไม่เอาก่อนสิบโมงดีกว่า”
“แต่ลินต้องเข้าประชุมในอีก 15 นาทีนี้แล้วนะค่ะ”
“คุณจะเข้าประชุมเรื่องอะไรสำคัญไหม”
“ก็รายงานผลการดำเนินการประจำเดือน” ลินบอกว่าต้องเข้าประชุมเรื่องนี้กับอีกหลายบริษัทของคุณอำนาจในวันนี้เธอคงไม่มีเวลาว่าง
“คุณหาคนเข้าแทน ไม่ก็สั่งให้คนจดรายงานการประชุมส่งให้คุณแทน วันนี้คุณไม่ต้องเข้าประชุมอะไรทั้งสิ้น ถ้าเรื่องประเมิณพนักงานของบริษัทนี้ยังไม่กระจาง”
“แล้วบอกว่าไม่ลำเอียงให้แฟนตัวเอง” ลินบ่นเบาๆ
ผมไม่ขำกับคำพูดเธอแล้ว แต่ถึงผมจะไม่พอใจนักแต่เธอก็มีสิทธิคิดแบบนี้ เอาไว้ความจริงปรากฏเธอก็จะขอโทษผมเอง
“เอาหละคุณรีบหาข้อมูลนี้มาให้ผมให้ได้ถายในเก้าโมงเช้านี้นะ ผมจะรอถ้าคุณไม่ส่งข้อมูลมาผมจะโทรตามคุณอีกรอบ”
“เก้าโมงเลยหรอค่ะ อีกแค่ครึ่งชั่วโมงนี่นะค่ะ”
“คุณอยากใช้คนเท่าไหร่กับงานนี้คุณก็สั่งไป แต่ผมต้องการตอนเก้าโมงแค่นี้นะ”
ผมรีบวางสายไม่ให้ลินได้บ่นให้ผมได้ยิน แต่เธอคงบ่นว่าผมแน่ๆ ที่ผมเอาแต่ใจแบบนี้
ผมนั่งดูข้อมูลที่ลินส่งมาต่อก็พบว่าไม่ใช่แค่ก้อยแต่พนักงานคนอื่นๆ ก็เหมือนกัน ทุกคนได้คะแนนแค่คาบเส้นกันหมดทำให้พนักงานแต่ละคนได้ปรับเงินเดือนกันคนละไม่กี่เปอร์เซ็นต์
แต่พอผมดูผลประเมิณของตัวผู้จัดการ ผมกลับพบว่าเขาได้คะแนนถึง 90 คะแนน ได้ปรับเงินเดือนหลายพันบาทและเลื่อนขั้นที่หละหลายขั้น จะเป็นไปได้ยังไง ถ้าลูกน้องทำงานได้แย่ทุกคนหัวหน้าจะได้ผลการประเมิณดีอยู่คนเดียวได้ยังไง นี่มันบริษัทบ้าอะไรวะ ผมเริ่มโกรธ
ผมแทบจะรอให้ถึงเวลาเก้าโมงไม่ไหว ผมอยากจะโทรไปหาลินตอนนี้เลย แต่ผมก็ต้องอดใจรอ ถ้าผมโทรไปตอนนี้มันก็เหมือนผมกดดันลินมาเกินไป พอเก้าโมงตรงผมรีบหยิบโทรศัพท์มือถือทันที แต่ลินก็โทรเข้ามาซะก่อน
“คือ ทางแผนกนี้ไม่ได้เก็บเองสารที่พนักงานเซ็นต์รับไว้ค่ะ เพราะทางเขาคิดว่ามีเอกสารที่ผู้บริหารเซ็นต์แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเก็บเอกสารที่พนักงานเซ็นต์รับไว้เป็นหลักฐาน”
“ได้ยังไงหละลิน” ผมเผลอตะคอกใส่ลิน
ลินเงียบกริบ เธอคงไม่คิดว่าผมจะตะหวาดใส่เธอ
“ขอโทษที พอดีผมเจออะไรบ้างอย่างผมอยากให้คุณดูไปพร้อมกับผม เครื่อง ipad นี้ทำได้ไหม”
“ได้ค่ะ” ลินพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนกลัวผม
เธออธิบายวิธีที่ผมจะแชร์หน้าจอให้เธอดูจากนั้นเราก็คุยกันต่อ
“คุณดูซิลิน พนักงาน 6 คนได้ประเมิณเกือบตกกันหมด แล้วนายนี่ นายปรีชาเนี่ยได้ 90 กว่ามาตลอดสามปีคนเดียวได้ยังไง”
ลินเงียบไม่มีคำตอบ
“คิดง่ายๆ นะ ลูกน้องลูกผีลูกคนกันหมด หัวหน้ากลับได้ประเมิณซะเลิดเลอ มันจะเป็นไปได้ยังไง ผลงานแผนกมาจากไหนลินไหนคุณช่วยบอกผมทีซิ”
“ผลการดำเนินงานของแผนกค่ะ”
“แล้วผลการดำเนินงานของแผนกดูจากอะไร”
“ก็ผลงานของพนักงานในแผนกค่ะ”
“อืม แล้วจากที่ดูแล้วผลงานในแผนกเซลล์ของบริษัทนี้เป็นไง”
“ไม่ค่อยดีนักค่ะ”
“ถ้าผลการดำเนินงานของแผนกไม่ได้ผู้จัดการแผนกควรได้คะแนนประเมิณแบบไหน”
“ก็ต้องได้คะแนนต่ำตามผลการดำเนินงานค่ะ”
“แล้วนี่อะไร” ผมตะหวาดอีกรอบ
“แต่ท่านค่ะ เอกสารทุกอย่างมีลายเซ็นต์ผู้มีอำนาจทุกขึ้นตอนนะค่ะ”
“ลิน คุณไม่ต้องเรียกผมว่าท่านเลยนะ ถ้าคุณไม่คิดจะนับถือผมแบบนั้นจริงๆ” ผมเสียงดังจนหงส์หันมองเข้ามาทางกระจกด้านหน้าห้องผม
ลินเงียบอีกรอบ
“แต่ท่านอำนาจเองก็ไม่เคยยุ่งกับเรื่องนี้นะค่ะ”
“หมายความว่าคุณพ่อเองก็รู้เรื่องนี้หรอ แต่กลับไม่ทำอะไรงั้นหรอ”
“อืม ค่ะ เพราะวิชัยคนที่ประเมิณให้คุณปรีชาเป็นเพื่อนสนิทท่านอำนาจค่ะเห็นว่าเคยเรียนมหาลัยมาด้วยกัน”
“อืม แล้วนายวิชัยกับนายปรีชาเนี่ยมีความสัมพันธ์อะไรกันหรือเปล่า”
“เท่าที่ทราบไม่มีค่ะ น่าจะมารู้จักกันที่บริษัทนี้แหละค่ะ”
ผมคิดทบทวนดู ถ้าไม่ใช่ญาติ ทำไมต้องช่วยเหลือกันขนาดนี้ มันต้องมีการตอบแทนที่คุ้มค่าแน่ๆ แล้วมันอะไรหละ ถ้าคิดในแง่ดีนายปรีชานี่อาจจะมีน้องสาวหรือหลานสาวมาส่งส่วยให้วิชัยหรือเปล่า แต่ถ้าคิดแง่ร้ายสองคนนี้อาจจะกำลังรวมมือกันหาผลประโยชน์อะไรอยู่ซักอย่าง
“ผมคิดว่าการที่นายวิชัยช่วยเหลือนายปรีชาขนาดนี้มันต้องมีผลตอบแทนที่ดีแน่ๆ คุณส่งคนไปสืบมาว่าสองคนนี้กำลังทำอะไรกันอยู่ ได้ผลยังไงรีบแจ้งผมทันที ผมอยากรู้เร็วๆ อ้อวันนี้คุณกลับไปพักที่บ้านได้เลย ไม่ต้องไปประชุมที่ไหน แต่เปิดโทรศัพท์ไว้ เผื่อผมจะโทรหา เอาหละผมจะโทรหาคุณพ่อคุยเรื่องนี้ซะหน่อย”
“ค่ะ”
พอวางสายลินผมก็โทรศัพท์หาคุณอำนาจทันทีพร้อมกับถามเรื่องนายวิชัยและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณอำนาจฟัง
“เออวิชัยเป็นเพื่อนกูเองแหละ เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ประถมจนจบมหาลัย”
“เพราะเป็นเพื่อนกันคุณพ่อก็เลยปล่อยให้นายวิชัยทำตามใจแบบนี้หรอครับ”
“เอ้ามึงนี่ เห็นเมียโดนเอาเปรียบเลยมาพาลกูหรอ เดี๋ยวกูเลื่อนตำแหน่งให้เมียมึงเองก็ได้ แหมแค่นี้เองลูกสะใภ้กูทั้งคนทำไมกูจะเลื่อนตำแหน่งให้ไม่ได้”
“ไม่ใช่นะครับคุณพ่อ ถ้าผมคิดแค่อยากจะให้ก้อยเลื่อนตำแหน่งหละก็ ผมทำไปแล้วผมไม่ต้องโทรมาคุยกับคุณพ่อแบบนี้หรอกครับ แต่ที่ผมโทรมาเพราะผมเห็นว่ามันเป็นธรรมสำหรับพนักงานของแผนกนี้รวมถึงก้อยด้วย ผมรู้จักก้อยมานานแล้ว ผมรู้ว่าเธอตั้งใจทำงานแค่ไหน แล้วผมก็เชื่อว่าถ้าเธอรู้ว่าเธอได้ผลประเมิณแบบนี้เธอคงไม่ทนทำงานที่นี่ต่อแน่ๆ แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้หละ ทำไมแผนกนี้ถึงไม่เก็บเอกสารนี้ไว้หละ แล้วทำไมผลงานแผนกแย่แต่ผู้จัดการได้เลื่อนขั้นปีละสองสามขั้น”
“ใจเย็นๆ ซิวะบีมึงใส่กูเป็นชุดเลยนะ”
“คุณพ่อครับ ถ้าบริษัทคุณพ่อเลี้ยงคนกันแบบนี้สงสัยผมคงต้องให้ก้อยออก แล้วผมเองก็คงทำงานให้คุณพ่อต่อไปไม่ได้ เพราะผมคงทนเห็นคนพวกนี้เอาเปรียบคนอื่นอยู่โดยมีคนที่มีอำนาจหนุนหลังจนไม่มีใครกล้าแตะแบบนี้ไม่ได้”
“เห้ย มึงนี่ฟังบ้างซิวะ มึงจะให้กูทำยังไง เพื่อนเรียนกันมาหนีเที่ยวด้วยกันโดนตีโดนทำโทษด้วยกัน เที่ยวผู้หญิงด้วยกันมาจนมาทำงานด้วยกันอีก อยู่ๆ มึงจะมาให้กูไล่ออกแบบนี้ได้ยังไงวะไอ้บี”
“คุณพ่อครับ แล้วคุณพ่อคิดว่าที่เพื่อนคุณพ่อช่วยนายปรีชาขนาดนี้มันเพราะอะไรครับ เพื่อนคุณพ่อเป็นคู่เกย์นายปรีชาหรือเปล่า”
“ไอ้บ้า มันเป็นผู้ชาย มันมีเมียมีลูกแล้ว ไม่ใช่เกย์แน่ๆ”
“ถ้าไม่ใช่เกย์ นายปรีชาค่อยหาสาวๆ มาส่งส่วยเพื่อนคุณพ่อหรือเปล่าครับ”
“ไม่หรอก มันกลัวเมียจะตาย พอแต่งงานแล้วนะ มันไม่เคยไปเที่ยวผู้หญิงกับกูอีกเลย แค่ไปกินข้าวมันยังต้องรีบกลับบ้านเลย”
“อืม ครับ แล้วคุณพ่อคิดว่าคนที่ไม่ใช่เกย์ กลัวเมียจนไม่กล้ามีกิ๊ก อะไรที่จะทำให้คนแบบนี้พอใจจนช่วยเหลือนายปรีชาให้เลื่อนขั้นปีละสองขั้นแบบนี้ได้ครับ”
“อืมม” คุณอำนาจน่าจะคิดออกแต่ไม่อยากเอ่ยปากพูด
“เงินไงครับ เงินคือสิ่งเดียวที่เพื่อนคุณพ่อพอใจ”
“เห้ยมึงอยู่ๆ จะไปหาว่าเค้าทุจริตโดยไม่มีหลักฐานไม่ได้นะโว้ย บางที่มันอาจจะร่วมหุ้นอะไรกันอยู่ก็ได้ ก็เลยเหมือนพวกกันก็ต้องช่วยเหลือกัน”
“ก็ขอให้เป็นแบบนั้นครับ แทนนี้ผมสั่งให้ลินส่งคนประกบสองคนนี้แล้ว ถ้ามันเป็นผลประโยชน์ร่วมกันภายนอกบริษัท ผมก็จะเลิกยุ่งเรื่องนี้ แต่ถึงยังไงผมก็คงเอาเมียผมออก ไม่มีประโยชน์ที่จะให้เมียผมทำงานให้คนรับความดีแทน ส่วนตัวผมคงต้องขอลาออกจากต่ำแหน่งนี้ ผมคงทนดูคนพวกนี้ทำแบบนี้กันแบบหน้าตาเฉยไม่ได้”
“เห้ยบีอะไรของมึงเนี่ย ใจเย็นๆ ก่อนซิวะ เฮอมึงนี่ทำกูอยากกลับกรุงเทพวันละหลายหนเลยนะ”
“คุณพ่อจะให้ผมทำยังไงครับ ถ้าเกินสองคนนี้ทุจริตจริงคุณพ่อก็คงไม่ยอมให้ผมทำอะไรสองคนนี้อีก แล้วผมจะทำหน้าที่บริหารแบบนี้ต่อไปทำไมครับ สู้ให้มันเป็นของมันอย่างเดิมไม่ดีกว่าหรอครับ คุณพ่อจะได้สบายใจด้วย”
“เออ เอาไว้มึงได้ขอพิสูจน์มาก่อนแล้วกัน แล้วกูจะบอกมึงเองว่ากูจะตัดสินใจยังไง ตอนนี้ยังไม่รู้มึงก็อย่าเพิ่งโวยวายนักเลย”
“ก็ได้ครับคุณพ่อ แล้วผมจะรอดูว่าคุณพ่อจะเรื่องเพื่อนหรือความถูกต้อง”
“เออ มึงไม่ต้องมากดดันกูเลย แค่นี้นะ”
“ครับสวัสดีครับคุณพ่อ”
ทำยังไงผมถึงจะมีโอกาสเข้าไปดูบรรยากาศการทำงานในแผนกที่ก้อยโดยที่เธอไม่รู้ว่าผมไปนะ บางทีผมอาจจะได้ข้อมูลดีๆ เพิ่ม ผมนั่งคิดแล้วก็คิดแผนที่จะเข้าไปในแผนกก้อยโดยที่เธอไม่รู้ได้ขึ้นมาแผนนึง ผมโทรหารลินให้เตรียมการให้จากนั้นผมก็เริ่มทำตามแผน
ผมใส่ชุดพนักงานล้างแอร์ใส่หมวกปกปิดทรงผม ติดหนวดปลอมใส่แว่นกันแดด ผมเดินเข้าไปในแผนกที่ก้อยทำงานในฐานะหัวหน้าพนักงานทำความสะอาดและซ่อมบำรุงเครื่องปรับอากาศ
ผมทำเป็นเดินถือแฟ้มจดโน้นจดนี่แล้วก็แอบมองก้อยที่กำลังนั่งทำงานโดยไม่สนใจใครไปด้วย ผมเดินไปเดินมาแล้วก็อยากเดินเข้าไปใกล้ๆ ก้อย ผมอยากดูกว่าก้อยกำลังทำอะไร ถึงจะเสี่ยกับการที่จะโดนก้อยจับได้ แต่ผมก็อดใจที่จะเดินเข้าไปใกล้เธอไม่ได้
ผมแกล้งเดินผ่านก้อยช้าๆ แล้วมองดูเอกสารบนโต๊ะที่เธอกำลังก้มหน้าก้มตาทำอยู่ ก้อยไม่สนใจผม ผมเลยแกล้งยืนอยู่แถวนั้นซักพักก่อนจะเดินไปที่อื่นต่อ แต่ผมก็ต้องสะดุ้งเมื่อก้อยเรียกให้ผมหยุด
“เดี๋ยวก่อนค่ะ”
“เออคุณเรียกใครครับ” ผมพยายามดันเสียงให้แหบๆ กลัวก้อยจะจำเสียงผมได้
“คุณนั่นแหละค่ะ”
ผมค่อยหันกลับมาหาก้อย “ครับ มีอะไรครับ”
“คือแอร์ตัวนี้เวลาบ่ายๆ มันชอบร้อนค่ะ ยังไงช่างช่วยดูหน่อยนะค่ะ”
“อ้อๆ ได้ซิครับเดี๋ยวผมจะให้ลูกน้องดูให้” ผมกวักมือเรียกช่างแอร์ตัวจริงมาช่วยดูแอร์ให้ก้อย
“ขอบคุณค่ะ” ก้อยก้มหน้าทำงานต่อ
“นาย นายคนนั้นมานี่หน่อยซิ” มีเสียงเรียกมาหาผมจากด้านหลัง
“ครับ” ผมหันไป นายปรีชานั้นเองที่เรียกผม
“มาดูแอร์ในห้องนี้หน่อยซิมันไม่เย็นเลย”
“ครับได้ครับ” ผมรีบเดินไปที่ห้องนายปรีชาทันที
พอเข้าไปในห้องนายปรีชาก็ชี้ให้ผมดูแอร์ให้ ส่วนตัวเขาก็คุยโทรศัพท์ที่วางไว้บนโต๊ะต่อ
“คิดถึงซิจ๊ะ”
“บ่ายนี้เลยหรอ ได้ซิจ๊ะ”
“อู้ยย ไม่ต้องกลัวหรอกจ๊ะ งานก็ให้พวกพนักงานมันทำกันไป แล้วพี่ค่อยเอาไปเสนอผู้ใหญ่เอาหน้าที่หลัง”
“โอ้ยย พี่ทำมาหลายปีแล้ว ไม่มีใครกล้าหรอก แบ๊คพี่ใหญ่ ไม่มีใครกล้าแตะหรอก ทุกวันนี้นะ พี่ก็มาแค่” ปรีชาพูดเบาลงเพราะกลัวผมจะได้ยิน จากนั้นก็พูดเสียงปรกติต่อ “ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้นะ พี่ไปนอนอยู่ห้องหนูทุกวันยังไงเลย”
“ได้ซิ ถ้าหนูเรียนจบมาทำงานกับพี่ พี่จะเลื่อนขั้นให้ปีละสองขึ้นเลย”
“ไม่ต้องกลัว ใครมันจะกล้ายุ่ง ต่อให้รู้นะว่าพี่ทำอะไร แต่พี่ก็ทำให้เพื่อนสนิทของเจ้าของนะ แบบนี้ยังจะมีใครกล้ามาทำอะไรพี่อีกหละ”
ผมยืนฟังนายปรีชาไปก็พยายมข่มใจไป ผมอยากจะหันไปต่อยมันให้ตกเก้าอี้ ฟังจากที่มันพูด มันแทบไม่เคยทำงานอะไรเลย มีแต่เอาผลงานลูกน้องไปเป็นของตัวเอง หนำซ้ำมันต้องทุจริตอะไรอยู่แน่ๆ มันถึงพูดว่ามันทำงานนี้ให้นายวิชัย ต่อให้มีคนจับได้มันก็ไม่กลัวเพราะนายวิชัยเป็นเพื่อนกับเจ้าของ
พอนายปรีชาวางสายมันก็เก็บของออกไปนอกห้อง ผมเดาว่ามันคงไปหาเด็กสาวที่คุยโทรศัพท์ด้วยกันอยู่เมื่อกี่แน่ๆ ถึงผมเองก็ทำแบบนี้อยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ยังทำงานในส่วนของผม และผมไม่เคยแย่งผลงานลูกน้อง สำหรับผมต่อให้ลูกน้องทำผลงานได้ไม่ดีนักผมก็ไม่เคยไปหักผลประโยชน์ในส่วนที่เขาควรจะได้เช่นปรับเงินเดือนหรือโบนัส
ผมกลับออกมาจากห้องเป็นเวลาเที่ยงพอดี พนักงานไปทานข้าวกันหมดเหลือแต่ก้อยยังนั่งทำงานอยู่ ผมเลยเข้าไปคุยกับเธอ
“ยังไม่ไปทานข้าวหรอครับ”
“ฝากเพื่อนซื้อค่ะ ช่างหละ ไปทานข้าวก่อนก็ได้นะค่ะ โรงอาหารอยู่ข้างๆ ตึกนี่เองค่ะ”
“อ้อไม่หละครับ ผมจะตรวจงานให้เสร็จแล้วผมต้องไปที่อื่นต่อ”
“ค่ะ งั้นตามสบายนะค่ะ”
“ครับ”
“เออช่างนี่เสียงคุ้นๆ นะค่ะ” ดูเหมือนก้อยจะเริ่มจำเสียงผมได้
“เออ คงไม่มั่งครับผมเจ็บคออยู่เสียงเลยแปลก เสียงจริงผมไม่ใช่แบบนี้หรอกครับ” ผมพยายามทำเสียงแหบก้อยจะได้จำไม่ได้
“งั้นหรอค่ะ อืมฟังแล้วคุ้นมาเลย ก้อยคงหูฝาดไปเอง ช่างทำงานต่อเถอะค่ะ”
ผมโล่งใจรีบเดินหนี แต่พอหันหลังไปเห็นก้อยกำลังหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าถือผมก็เดาได้ว่าเธอกำลังจะโทรหาผมแน่ๆ ผมรีบวิ่งไปหลบแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาปิดเสียงโทรเข้า แล้วมันก็สั่น ก้อยโทรหาผมจริงๆ ด้วย ผมรีบรับโทรศัพท์ทันที
“สวัสดี ยังไม่ไปทานข้าวอีกหรอ”
“ทำไมพี่บีรู้หละค่ะว่าก้อยยังไม่ไปทานข้าว”
“อ้อ อืมพี่เห็นว่ามันเพิ่งเที่ยง ก้อยคงยังไม่ได้กินข้าวแต่โทรมาหาพี่ก่อนมั้ง”
“ค่ะ ก้อยฝากเพื่อนซื้อหนะ แล้วพี่บีหละค่ะทานข้าวหรือยัง”
“อ้อ พี่กำลังทานอยู่เลย แต่คุยได้นะ พี่อยากคุยกับก้อย”
“ค่ะ นี่วันนี้นะมีช่างแอร์มาที่บริษัทก้อย ก้อยเนี่ยหูเพี้ยนมากเลย ก้อยฟังเสียงช่างคนนี้แล้วคิดว่าเป็นพี่บี”
“หรอ เหมือนมากเลยหรอ”
“ใช่ค่ะ เสียงเหมือนมากเลย ถึงจะแหบๆ เพราะไม่สบายก็เถอะ แถมหน้าตาก็ดูคล้ายนะ”
“คงไม่ใช่มั้ง พี่จะไปเป็นช่างแอร์ได้ยังไงพี่นั่งกินข้าวกับ เออหงส์อยู่นะ ไม่เชื่อจะคุยกับหงส์ไหมหละ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ก้อยก็บอกว่าแค่เหมือน แต่ไม่ได้บอกว่าพี่บีมาอยู่จริงๆ ซักหน่อย พี่บีคงไม่ใส่หมวกใส่แว่นตาติดหนวดปลอมตัวเฉยๆ แบบนี้มาหลอกก้อยหรอกจริงไหมค่ะ”
“ใช่แล้วหละ พี่จะทำแบบนั้นได้ยังไง หมดหล่อกันพอดี”
“นั่นซิค่ะ อืมแต่ช่างเดินหายไปไหนแล้วนะ สงสัยจะไปแล้วว่าจะให้เขาลองมาพูดให้พี่บีฟังดู เผื่อพี่บีจะคิดว่าก้อยไม่ได้หูฟาด”
“อ้อหรอจ๊ะ อืม แต่พี่ต้องรีบกลับไปทำงานนะ”
“งั้นหรอ งั้นก้อยไม่กวนแล้ว พี่บีทานข้าวต่อเถอะค่ะ”
“ก้อยก็อย่าลืมทานข้าวนะ”
“ค่า บายค่ะ”
“บายจ๊ะ”
ผมรีบกดวางโทรศัพท์จากนั้นก็คิดว่าต้องรีบเดินออกไปจากแผนกนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ก้อยจะโทรหาผมอีกรอบหรือบอกให้ช่าง (ตัวผม) ลองคุยกับตัวผมเอง เฮองง ผมลุกขึ้นแล้วรีบเดินผ่านโต๊ะก้อยให้เร็วที่สุดก่อนที่ก้อยจะเงยหน้าทักผม แต่ก้อยพอเห็นผมเธอก็เรียกผมอีก
“อ้าวไปไหนมาค่ะช่าง แหมเสียดายจังว่าจะให้ช่างคุยกับแฟนก้อยหน่อย ดูว่าแฟนก้อยจะคิดว่าเสียงช่างเหมือนของเขาหรือเปล่า”
“ผมไปดูในห้องผู้จัดการมาหนะครับ อืมเสียดายนะครับ แต่ผมต้องรีบไปที่อื่นต่อแล้ว เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกันนะครับ”
“ค่ะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก้อยก็แค่แปลกใจเท่านั้นแหละค่ะ เชิญช่างตามสบายเถอะค่ะ”
ผมรีบเดินออกมาพอพ้นตึกก็มีรถเบนซ์ C Class สีแดงมาจอดรอผมอยู่ ผมเปิดประตูขึ้นไปบนรถ ลินนั่งรอผมอยู่ในรถ
“นี่ค่ะข้อมูลที่รวบรวมได้ตอนนี้”
“คุณบอกผมมาเลยก็ได้” ผมถอดหนวดถอดแว่นดำออก ซึ่งดูลินจะขำกับหน้าตาผมตอนปลอมตัวมาก
“คนที่ตามประกบยังไม่ได้เรื่องอะไรซักเท่าไหร่นะค่ะ แต่ลินก็ได้ข้อมูลการเงินของสองคนนี้มา นายปรีชากับภรรยาของคุณวิชัย มีเงินฝากเข้าทุกเดือนเดือนละประมาณ 1.5 แสนค่ะ”
“อืมแล้วคุณเจอไหมว่าสองคนนี้มีธุรกิจอื่นทำนอกจากทำงานกับเราหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะสองคนนี้มีรายได้เป็นเงินเดือนที่ได้จากเราเท่านั้น”
“อืมแล้วเออ สองคนนี้มีเปิดโต๊ะบอลหรือการพนันอย่างอื่นไหม”
“ไม่มีค่ะ แล้วเงินที่ฝากเข้าทุกเดือนก็เป็นเงินสด ถ้าเป็นโต๊ะบอล เงินที่เข้าจะโอนมาจากหลายๆ บัญชีไม่ใช่ฝากเป็นก้อนแบบนี้”
“อืม แล้วคุณคิดว่าการที่สองคนนี้มีเงินสดมาฝากทุกเดือนแบบนี้ เค้าเล่นหวยหรือเปล่า หรือเป็นเจ้ามือหวย”
“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ เพราะประวัติเท่าที่เรามีสองคนนี้แทบจะไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับคนหมู่มาก รวมถึงภรรยาของคุณวิชัยด้วยค่ะ และก็ไม่มีการโอนหรือเปิกเงินรายย่อยที่ดูน่าสงสัยเลยค่ะ ถ้าเป็นเจ้ามือหวยจริง น่าจะมีการโอนเงินให้กับพวกที่ส่งโพยเพื่อจ่ายลูกค้าที่ถูกบ้าง แต่นี้ในบัญชีมีแต่การถอนเพื่อใช้ส่วนตัวเท่านั้น”
“ถ้างั้นก็สรุปคราวๆ ได้ว่าสองคนนี้ทุจริตบริษัทเราแน่ๆ แค่ยัขาดหลักฐาน”
ลินได้แต่ก้มหน้าไม่ตอบคำถามผม
“ผมคุยกับคุณพ่อแล้ว ผมจะไล่สองคนนี้ออกถ้ามีหลักฐาน”
“จริงหรอค่ะพี่บี” ลินพูดด้วยน้ำเสียงดีใจและชื่นชม
“คุณดีใจแบบนี้ แสดงว่าคุณรู้เรื่องนี้อยู่แล้วซิ”
ลินสลดแล้วก้มหน้า
“ผมเข้าใจนะ คนเราทำงานเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง บางทีการไปยุ่งกับเรื่องคนอื่น มันจะทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อน”
ลินทำคิ้วย่นก่อนจะถอนใจแล้วยก ipad เปิดข้อมูลอะไรบางอย่างให้ผมดู
“ที่จริงแล้วท่านโทรมาสั่งไว้ว่าถ้าเจออะไรแบบนี้ห้ามให้พี่บีดูเด็ดขาด แต่ลินยอมตกงานอย่างสบายใจดีกว่ากลายเป็นสมรู้รวมคิดกับคนพวกนี้”
“แต่ทำแบบนี้คุณอาจจะตกงานเอาง่ายๆ นะ”
“ช่างเถอะค่ะ ยังไงลินก็ดีใจที่มีคนเห็นค่าของลินอย่างที่ลินหวังไว้แล้วหลังจากที่อดทนรอมาหลายปี ถึงจะต้องตกงานลินก็มั่นใจค่ะว่าลินจะต้องได้งานที่ดีเหมือนแบบนี้แน่ๆ แต่ถึงจะไม่ได้ แต่ลินก็รู้สึกสบายใจที่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าลินตกงานพี่ก็คงตกงานตามลินเหมือนกันแหละ”
“ขอบคุณนะค่ะพี่บี” ลินยิ้มดีใจจนแก้มปริ
“ขอบคุณอะไร ขอบคุณที่พี่จะตกงานเป็นเพื่อนเนี่ยนะ”
“เปล่าค่ะ แต่ลินขอบคุณที่ในที่สุดพี่บีก็ยอมรับลินด้วยใจจริงแล้ว”
“หือ พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนี่น่า”
“ก็พี่บีให้ลินเรียกพี่ว่าพี่ แต่พี่บีไม่เคยแทนตัวเองว่าพี่เลย พี่บีแทนตัวเองว่าผมตลอดเหมือนยังไม่เต็มใจที่จะเป็นพี่ลินอย่างที่พี่บีให้ลินเรียก”
“อ้อ เหอๆ คิดมากไปมั้ง” จริงด้วยซิ ผมอาจจะคิดแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ถึงได้แทนตัวเองว่าผมตลอด
“ไม่ต้องแก้ตัวเลยค่ะลินรู้ว่าพี่บีคิดแบบนั้น”
“อืม งั้นก็ถือว่าเจ๊ากันแล้วกันนะ ก่อนนหน้านี้ลินก็ไม่ได้เต็มใจเรียกพี่ว่าพี่เหมือนกันนี่”
ลินยิ้มเขินที่ผมเองก็รู้ทันเธอ
“อืมเที่ยงแล้วพี่บีหิวหรือยังค่ะ เราแวะทานข้าวกันก่อนดีไหมค่ะ” ลินรีบเปลี่ยนเรื่องคุย
“เอาซินี่ก็เที่ยงกว่าแล้วนี่นะ เราหาอะไรทานกันก่อนดีกว่า เราทานอะไรกันดี”
“ถ้าแถวนี้” ลินเปิดดู GPS ใน ipad
“ร้านอาหารจีน สเต็ก แล้วก็ร้านอาหารไทยค่ะ ที่อยู่ใกล้ๆ”
“อาหารจีนไหมหรืออาหารไทยดี”
ลินทำหน้าเจือนๆ ผมเลยรู้ว่าเธอคงไม่ค่อยชอบทานแน่ๆ
“สเต็กแล้วกันไม่ได้กินนานแล้ว แฟนพี่คนที่ชอบกินก็ไม่อยู่ด้วย”
“แล้วแต่พี่บีเถอะค่ะ” แต่ลินยิ้มเหมือนดีใจ
ลินให้คนขับรถพาไปยังร้านสเต็ก พอไปถึงผมก็บอกให้คนขับรถลงมาทานด้วย แต่คนขับรถเกรงใจผมเลยบอกว่างั้นนั่งคนละโต๊ะก็ได้แต่ต้องลงมากินด้วยกัน เพราะผมไม่ชอบให้มีคนมานั่งหิวรอเวลาผมกินข้าว ร้านนี้ขายสเต็กโดยตรงมีสเต็กเนื้อให้เลือกมากมายหลายแบบ แถมราคาก็ไม่ธรรมดาซะด้วย ผมเลยขอเป็นเจ้ามือเพื่อลินจะได้กล้าสั่งสเต็กที่ราคาแพงได้
“ปรกติพี่บีให้คนขับรถทานข้าวด้วยแบบนี้ทุกครั้งหรอค่ะ”
“พี่ไม่มีคนขับรถนะ แต่ถ้าวันไหนนั่งรถตู้บริษัท พี่ก็จะให้ลุงคนขับรถไปทานข้าวด้วย ถ้าแกไปรวมทานด้วยไม่ได้จริงๆ พี่ก็จะให้เงินแกไปหาร้านข้าวแถวนั้นทาน”
“มันเป็นเรื่องปรกติหรอค่ะที่เราต้องออกเงินให้คนขับรถถ้าเค้าพาเราไปทานข้าว”
“คนอื่นพี่ไม่รู้นะ แต่พี่ไม่ชอบให้ใครมานั่งทนหิวรอ เวลาที่พี่กำลังกินข้าว มันกินไม่เป็นสุข”
“ค่ะ”
ลินหยิบเมนูขึ้นดู
“สั่งเต็มที่เลยนะพี่เลี้ยงเอง”
ลินยิ้มก่อนจะพูดแซวผม “งั้นลินเอาโกเบสองชุดทานที่นี่อีกชุดเอาไปทานที่ห้องแทนข้าวเย็น”
“ได้ซิไม่เป็นไรหรอกพี่ก็ใช้บัตรค่าเอนเตอร์เทนจ่าย”
“แหมลินก็นึกว่าสปอร์ตจ่ายด้วยเงินตัวเอง”
“เงินตัวเองก็ได้ แหมเงินเดือนที่ได้จากคุณอำนาจ เอามาหักค่าเทอมค่าคอนโดเด็กนักศึกษา 12 คนแล้วก็ยังเหลือพอเลี้ยงลินได้อีกหลายมื้อ”
“โหพี่บีมีเลี้ยงเด็ก 12 คนเลยหรอค่ะ” ลินทำตาโต
“ทำไมหละ ลินไม่เชื่อหรอว่าพี่มีปัญญาหาเด็กมาเลี้ยงได้ 12 คน”
“ไม่ใช่หรอค่ะ แหมพี่บีก็หล่อมากกว่านี้ก็คงหาได้ แต่ที่ลินสงสัยก็คือพี่บีเออ…..ไหวหรอค่ะ แล้วสลับกันยังไง”
ลินสงสัยประสิทธิภาพาผมนี่เอง
“สบาย แบ่งเป็นสองชุด ชุดละ 6 คน จันทร์ถึงเสาร์สลับชุดกัน ส่วนวันอาทิตย์วันครอบครัวอยู่กับแฟนสามคน”
“โห แบบนี้ไหวหรอค่ะไม่ว่างเว้นเลย แถมวันอาทิตย์อยู่กับแฟนอีกสามคน” ลินทำตาโตกว่าเดิม
“ฮ่า ฮ่า ใครจะทำแบบนั้นได้ ขืนทำแบบนั้นแฟนที่ฆ่าพี่ตายก่อนแน่ๆ”
“ว่าแล้ว ใครจะอึดขนาดนั้น” ลินเบ้ปาก
อ้าวลินเบ้ปากเพราะคิดว่าผมไม่อึดอย่างที่คุยหรอเนี่ย ดูถูกกันเกินไปแล้ว
“ถึงพี่จะไม่ได้มีเด็กนักศึกษา 12 คนนะ แต่พี่ก็อยู่กับแฟนสองคนบ้างสามคนบ้างทุกวัน แล้วทุกวันพวกเธอก็ได้กันครบทุกคน บ้างครั้งมีเบิ้ลด้วย คำนวณแล้วงานหนักกว่ามีกิ๊ก 12 คนอีกนะ”
ลินเม้มปากจ้องผมก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง “หิวแล้วค่ะลินสั่งสเต็กก่อนนะค่ะ”
ลินสั่งโกเบมาหนึ่งที่ ส่วนผมสั่งทีโบนหมู เพราะผมไม่กินเนื้อ
“อ้าวมาร้านสเต็กทั้งทีทำไมสั่งหมูหลค่ะพี่บี แบบนี้ลินก็กินแพงกว่าพี่เป็นสิบเท่าเลยซิค่ะ ลินเกรงใจแย่เลย”
“พี่ไม่กินเนื้อหนะ แต่ลินสั่งตามสบายเถอะ ถ้าเกรงใจมาก เดี๋ยวพี่จะหางานหินๆ มาให้ช่วยทำเป็นการชดใช้”
“โห เคี้ยวจัง อืมทำไมพี่บีไม่กินเนื้อหละค่ะ แล้วกินร่วมโต๊ะกับคนกินเนื้อพี่บีถือหรือเปล่าค่ะ”
“คือ เมื่อก่อนแฟนเก่าพี่เค้าไม่กินเนื้อหนะ พี่เลยไม่กินตามเพราะก่อนหน้านั้นเวลาพี่กินเนื้อแฟนพี่เค้าไม่ยอมให้ยุ่ง แต่พี่ไม่ถือหรอ