ก้อย ภาค 2 ตอนที่ 26
“บ้านที่เราไปดูไว้ พี่คงซื้อไม่ไหวแล้วนะก้อย”
“ก็ไม่เป็นไรนี่ค่ะ เราอยู่ที่นี่แบบนี้ก็อบอุ่นดีออก”
“แต่พี่อยากให้มีบ้านนะ ต่อไปเราก็ต้องมีลูกกันนะ แล้วจะให้ลูกมาวิ่งอยู่ในห้องแคบแบบนี้หรอ แล้วเจ้าริวอีก ต่อไปมันตัวโตขึ้น คงให้อยู่ในห้องแบบนี้ไม่ได้แล้วหละ เดี๋ยวมันจะส่งเสียงรบกวนคนอื่น”
“ถ้าแบบนั้นทำไมเราไปอยู่บ้านพี่บีกันหละค่ะ”
“นั่นซินะ พี่ลืมซะสนิทเลย”
“ค่าซ่อมแซมคงไม่แพงเท่าซื้อบ้านใหม่ด้วย ประหยัดไปได้เยอะเลยนะค่ะ”
“อืมก็ดีนะ บ้านพี่ก็มี 4 ห้องนอน แต่ห้องมันไม่ได้ใหญ่เท่าบ้านหลังนั้นหนะซิ”
“ก็ไม่เป็นไรนี่ค่ะ ก็ลองดัดแปลงเอา อาจจะทุบผนังสองห้องที่ติดกันทำเป็นห้องใหญ่ แล้วอีกสองห้องก็เป็นห้องแนน และก็ห้องทำงานแต่มีเตียงด้วยเผื่อใครต้องทำงานดึกจะได้นอนได้ด้วย”
“ก็ดีนะ
ก้อย เสาร์นี้เราไปดูกันนะว่าต้องทำอะไรบ้าง”
“ได้ซิค่ะ”
วันรุ่งขึ้นผมก็นั่งรถไฟฟ้าไปทำงานกับหงส์สองคน ก้อยจะคืนรถให้ผมแต่ผมไม่ยอม ก้อยเลยจะไปส่งผมแทน แต่มันเสียเวลาเพราะก้อยต้องกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดอีก ผมเลยมากันเองกับหงส์สองคน ผมรู้สึกสบายใจนะ ไม่มีบ้านหลังใหญ่ แต่ผมก็ยังมีบ้านตัวเองอยู่ ปรับปรุงทาสีซะหน่อยเราหกคนกับอีกหนึ่งตัวก็คงอยู่กันได้
แต่แล้วผมก็เจอเรื่องที่ไม่คาดคิด ผมโดนเชิญออกพร้อมเงินชดเชยก้อนใหญ่ ถึงจะรู้สึกใจหาย แต่ถ้าผมหางานใหม่ได้เร็ว ผมก็ได้เงินค่าปรับปรุงบ้านแล้ว และอาจจะเหลือไปดาวน์รถใหม่ด้วย ในเมื่อไม่เป็นที่ถูกใจ เค้าก็คงไม่อยากให้เราอยู่เห็นหน้า แต่หงส์ซิพอรู้เรื่องก็เอาแต่ร้องไห้ ผมเลยต้องปลอบเธอก่อนที่จะกลับคอนโด
“ไม่มีอะไรหรอก จะร้องไห้ทำไมหละ พี่ก็แค่กลับบ้านเอง”
หงส์เอาแต่สะอื้น
“ไม่เอานะไม่ร้อง ตอนเย็นจะให้พี่มารับหรือว่าจะให้แนนมารับดี”
“หงส์กลับเองก็ได้ค่ะ พี่บีกลับไปพักเถอะค่ะ”
“ไม่เอาน่า พี่กลับไปก็คงไม่ได้ทำอะไร อืมวันนี้ได้หยุดก็ดี เดี๋ยวพี่จะชวนเอริกะจังกับแนนไปดูบ้านเก่าพี่ ได้เงินค่าซ่อมมาแล้ว รีบๆ ซ่อมเลยดีกว่า เราจะได้ไปอยู่กัน”
“ค่ะ”
“งั้นตอนเย็นพี่จะแวะมารับนะ”
“ขอบคุณค่ะพี่บี”
“งั้นพี่กลับก่อนนะ”
ผมเดินถือกระเป๋าออกจากแผนก พี่คมที่เพิ่งรู้เรื่องก็รีบมาดักผม
“เฮ้ยเดี๋ยวไอ้บี อย่าเพิ่งใจร้อน ไปคุยกันก่อนเถอะ กูกับพี่ไพศาลจะช่วยกันพูด”
“อย่าเลยครับพี่ แล้วอีกอย่างผมอยากได้เงินก้อนนี้เหมือนกัน ผมจะซ่อมบ้านเก่าผม ผมจะเอาเมียๆ ผมไปอยู่กันที่นั้น”
“เงินเรื่องเล็กไอ้บี มึงอยู่ต่อก็หาได้มากกว่านี้ มึงใจเย็นๆ ก่อนกูว่าพี่อำนาจเค้าก็แค่โกรธชั่ววูบ เดี๋ยวเค้าหายโกรธเค้าก็คงเสียใจที่ไล่แกออกแบบนี้”
“พี่คม ผมขอบคุณพี่มากนะครับ แต่ผมไม่อยากให้ใครมาโดนลูกหลงจากเรื่องนี้อีก ผมขอตัวนะครับ”
“ไอ้บี”
ผมเดินไปที่ลิฟท์โดยไม่ฟังที่พี่คมพูด ออกมาจากออฟฟิตผมก็ตรงกลับบ้าน ผมเจอแนนกับเอริกะจังอยู่บ้านกันสองคน
“กลับมาแล้ว”
เอริกะจังกับแนนก็ทำหน้างงๆ
“วันนี้ไม่ไปเรียนหรอ”
“หยุด” แนน
“งั้นไปบ้านพี่กันไหม”
“ไปๆ พาเจ้าริวไปเที่ยว”
ผมหันไปชวนเอริกะจังด้วย แต่ก่อนไปผมก็โทรหาก้อยก่อนแล้วเล่าเรื่องให้ก้อยฟัง ก้อยให้กำลังใจผม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวก็หางานใหม่ได้นะ เงินนี้ก็ถือว่าเป็นค่าซ่อมบ้านแล้วกัน”
“อืมพี่ก็คิดแบบก้อยแหละ แต่ก้อยไม่โกรธนะ ที่พี่จะไปดูบ้านกับแนนและเอริกะจังกันก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อืมวันนี้ก็จะไปค้างนะค่ะ เดี๋ยวก้อยทำกับข้าวรอ เอริกะจังจะได้ชิมอาหารไทยบ้าง”
“เอาซิ เอริกะจังจะได้ทานอาหารไทยเป็น”
หลังจากคุยกับก้อยจบผมก็ขับรถเจนพาแนนกับเอริกะจังไปบ้านเก่าผม วันที่ผมมากับแนนครั้งที่แล้วผมไม่ค่อยได้สังเกตอะไร แต่วันนี้ผมมองมันอย่างเต็มตาอีกครั้ง บ้านเก่าผมโทรมไปมากเหมือนกัน คงต้องทำความสะอาทและทาสีใหม่ทั้งหลัง
“ตอนนี้พ่อไม่ค่อยมีตังนะ อยู่บ้านหลังเล็กๆ วิ่งซนในสวนเล็กๆ ไปก่อนนะเจ้าริว”
“มีสนามหญ้าให้เจ้าริวมันกลิ้งเล่นมันก็ชอบใจแล้วหละ” แนน
เอริกะจังที่ฟังภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่องก็ถามผมว่าที่นี่ที่ไหน
“บ้านใหม่เราไง เดี๋ยวผมจะหาคนมาทำความสะอาดปลูกหญ้าทาสีใหม่ให้สวยเลย แล้วเราจะย้ายมาอยู่ที่นี่กัน”
“ค่ะ” เอริกะจังกอดแขนผมแล้วเอาหัวซบมาที่ไหล่
เราเดินดูบ้านกัน ผมบอกว่าจะทุบห้องด้านหน้าสองห้องรวมเป็นห้องเดียว แล้วอีกห้องให้เป็นห้องแนน ห้องที่เหลือก็ทำเป็นห้องทำงาน เราเดินดูบ้านกันเสร็จผมก็โทรหาลินขอให้เธอช่วยหาบริษัททำความสะอาด และผู้รับเหมามาซ่อมแซมบ้าน
หลังจากนั้นผมก็ชวนแนนกับเอริกะจังเดินดูรอบๆ หมู่บ้าน
“น่าอยู่เนอะ” แนนคุยกับเจ้าริว
“มีสวนสาธารณะด้วยนะเจ้าริวคงชอบแน่ๆ มีที่ให้วิ่งเล่นกว้าง”
“จริงๆ หรอ ดีใจไหมเจ้าริว จะได้วิ่งเล่นแล้ว”
เราสามคนเดินไปถึงสวนสาธารณะ แนนก็ปล่อยเจ้าริวลง มันดีใจที่เจอสนามหญ้ากว้าง มันทั้งวิ่งทั้งกระโดดใหญ่เลย แนนเห็นเจ้าริวมันคึกก็เข้าไปวิ่งไล่ ส่วนผมเอริกะจังก็นั่งลงที่ม้านั่ง
“เกิดอะไรขึ้นค่ะ ทำไมอยู่ๆ รถยูกิซังถึงหายไป แล้วทำไมวันนี้ยูกิซังถึงไม่ไปทำงาน”
“ไม่มีอะไรหรอก ผมเปลี่ยนงานใหม่หนะ” ผมไม่อยากเล่าเรื่องทั้งหมดให้เอริกะจังฟังเพราะกลัวเธอจะคิดว่าเป็นความผิดของเธอ
“เอริกะอยากทำงาน จะได้ช่วยเหลือยูกิซังบ้าง”
“ไม่เป็นไรหรอก เอริกะดูแลบ้านทำอาหารอร่อยๆ ให้ผมกับคนอื่นๆ ทานก็พอแล้วหละ”
เอริกะจังซบมาที่ไหล่ผม “เอริกะทำให้ยูกิซังลำบากหรือเปล่าค่ะ”
“ไม่เลย อย่าคิดมากซิ แต่ผมคงจะไม่รวยเหมือนก่อนหน้านี้แล้วนะ เอริกะจังอาจจะไม่ได้อยู่อย่างสุขสบายนะ แบบนี้เอริกะจังยังอยากอยู่กับผมหรือเปล่า”
“ขอแค่เราได้อยู่ได้อยู่ด้วยกัน จะลำบากแค่ไหนเอริกะก็ทนได้ค่ะ”
ผมจ้องมองเข้าไปในลูกตาของเอริกะ เอริกะเองก็จ้องมองผมกลับมาเหมือนกัน แล้วเราก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากันช้าๆ จนปากเราทั้งคู่เกือบจะประกบกัน แต่ก็มีมารมาขัดจนได้
“หิวแล้ว หิวๆ เจ้าริวก็หิวด้วย”
ผมกับเอริกะจังเลยต้องแยกกัน
“งั้นไปกินก๋วยเตี๋ยวไหม ร้านหน้าปากซอยอร่อยมากเลยนะ”
“ก๋วยเตี๋ยวอะไร” แนน
“เย็นตาโฟ”
“เอาๆ ไปกันหิวแล้ว” แนนดึงมือเอริกะ
“ก๋วยเตี๋ยว” เอริกะ
“ใช่ กินก๋วยเตี๋ยวกัน”
“เผ็ดไหมค่ะ” เอริกะพูดภาษาไทย
ผมงงเลยทำไมเอริกะจังพูดคำนี้ได้
“ไม่เผ็ดนะ ไม่ใช่ต้มยำ”
“ต้มยำ” เอริกะ
“ใช่ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ เผ็ด ก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟ ไม่เผ็ด”
“เย็นตาโฟ ไม่เผ็ด” เอริกะ
“แต่เย็นตาโฟแซบ เผ็ด” แนนเสริม
“ไม่แซบ เผ็ด” เอริกะจังทำท่าเผ็ดคงจะไม่อยากทานของรสเผ็ด
ระหว่างที่เราเดินไปร้านก๋วยเตี๋ยวกัน เราก็เดินผ่านอู่แต่งรถซึ่งน่าจะมาเปิดหลังจากผมย้ายไปอยู่คอนโดแล้ว เอริกะจังมองเหมือนสนใจด้านในอู่มีพวกรถแต่งจอดอยู่หลายคัน แล้วเราไปถึงร้านก๋วยเตี๋ยว ผมสั่งเส้นใหญ่เย็นตาโฟให้เอริกะลองชิม
“เย็นตาโฟ ต้องเส้นใหญ่อร่อยสุด” ผมบอกเอริกะ
เอริกะจังพยักหน้ารับ
เจ้าริวคงอยากกินบ้าง แต่มันก็ไม่กล้าที่จะเห่าขอได้แต่จ้องมองจนแนนสงสารก็เลยเอาลูกชิ้นกุ้งให้กิน ดูเหมือนเจ้าริวจะติดใจมันพยายามขออีก แนนเลยมาแย่งลูกชิ้นผมใส่เจ้าริว
“อ้าวๆ อะไรเนี่ย”
“ก็เจ้าริวมันขออะ”
“ก็เอาของเราให้มันซิ”
“ก็มันกินเยอะ ลูกชิ้นแนนจะหมดแล้ว”
“งั้นสั่งลูกชิ้นลวกมาแบ่งกัน เจ้าริวด้วย”
“มีหรอ สั่งเลยๆ”
ผมเลยสั่งลูกชิ้นกุ้งลูกชิ้นปลาลวกมาชามนึง เราสามคนก็ได้กินลูกชิ้นกันเต็มอิ่มรวมถึงเจ้าริวด้วย พอเราทานกันอิ่มแนนก็ขอพาเจ้าริวรีบไปก่อนเพราะมันคงได้เวลาอึ ผมกับเอริกะจังเดินผ่านอู่รถอีกครั้ง คราวนี้เราเจอเจ้าของอู่พอดี
“สนใจเชิญดูก่อนได้นะครับ” เจ้าของอู่เห็นเอริกะจังเอาแต่มองรถด้านในอู่
เอริกะจังคงเข้าใจว่าเจ้าของอู่เชิญ เธอก็เดินตรงไปที่ skyline ที่จอดอยู่ทันที
“งั้นขอดูหน่อยนะครับ” ผมบอกกับเจ้าของอู่
“เชิญครับ ท่าทางแฟนคุณจะชอบรถแต่งนะครับ”
“ครับ”
เอริกะจังก็ดูตรงโน้นตรงนี้ไปทั่วรถ
“คันนี้ลูกค้าเค้าให้แต่งตามรถแต่งญี่ปุ่นเลยนะครับ”
“ครับ ท่าจะแพงนะครับ”
“ก็ไม่แพงหรอกครับ รถเดิมๆ รุ่นนี้ก็ ล้านกว่าๆ ล้านหนึ่งล้านสอง มาแต่งอีก สี่ห้าแสนเองครับ”
“ครับ น่าสนใจครับ” แต่ตอนนี้ผมคงซื้อรถแบบนี้ไม่ได้
“เดี๋ยวผมไปเอานิตยสารมาให้ดูครับ แต่งตามนิตยสารเป๊ะๆ เลยครับ”
เจ้าของอู่เข้าไปหยิบนิตยสารแต่งรถญี่ปุ่นเล่มนึงมาโชว์ให้ผมดู
“นี่ไงครับ แต่งตาม ควีนแห่ง อากินะเลยนะครับ”
“ครับ” ฟังแล้วคุ้นๆ แฮะ ผมคิด
“นี่ครับๆ รูปเธอ เอริกะแห่ง Red Hawk”
พอผมได้ยินก็รู้ทันทีว่าเจ้าของอู่กำลังจุดไต้ตำตอเข้าแล้ว
“นี่ครับรูปเธอ ผมยาวสวยนี่ขนาดถ่ายไกลๆ นะครับ”
“มีแต่รูปถ่ายไกลๆ หรอครับ แล้วถ้าบังเอิญเจอตัวจริง ก็คงไม่รู้ซิครับ” ผมแกล้งถาม
“จำได้อยู่แล้วครับ เธอมีรอยสักรูปเหยี่ยวสีแดงที่บั้นเอวครับ”
“แบบนั้นหรือเปล่าครับ” ผมมองไปที่เอริกะจังที่กำลังก้มลงดูใต้ท้องรถจนเสื้อยืดด้านหลังเลิกขึ้น
“อะ อะ เอริกะตัวจริง”
“ครับตัวจริง”
“ลายเซ็น ลายเซ็น”
เจ้าของอู่ก็วิ่งเข้าไปในออฟฟิตเพื่อหยิบปากกามาให้เอริกะจังเซ็นลายเซ็นให้ เจ้าของอู่กลับมาพร้อมกับรูปรถ ที่ดูเหมือนจะเป็น R32 ของเอริกะจังที่ญี่ปุ่น จากนั้นก็ยื่นให้เอริกะเซ็นให้ เอริกะทำหน้างง ผมเลยบอกว่าเซ็นให้หน่อยโดยไม่อธิบายอะไร
“สตาร์เครื่องได้ไหม” เอริกะจังถาม
ผมเลยถามเจ้าของอู่ต่อให้ เจ้าของอู่ก็รีบอนุญาต จากนั้นเอริกะก็รื้อไปทั่วจนช่างในอู่เริ่มมายืนดู แล้วเอริกะจังก็เริ่มขอเครื่องมือแล้วเริ่มปรับแต่งรถ ดูเหมือนเจ้าของอู่จะไม่ว่าอะไรแถมยังดีใจซะอีกที่เอริกะจังปรับแต่งรถของลูกค้า
เอริกะจังยุ่งอยู่กับรถประมาณชั่วโมงผมก็บอกเธอว่าเราต้องไปกันแล้ว ดูเอริกะจังจะเสียดายเจ้าของร้านก็อยากให้เอริกะจังดูรถให้ต่อ แต่มันนานแล้วตอนนี้แนนคงรอแย่แล้ว
“เดี๋ยวก่อนครับ ถ้าเกิดผมอยากขอให้เอริกะจังมาเป็นที่ปรึกษาที่ร้านได้ไหมครับ”
“คงจะไม่ได้มั้งครับ เอริกะจังไม่มีใบอนุญาตทำงานครับ”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาครับ ผมลงเป็นค่าอะไรไปก็ได้ ที่นี่เราก็จ่ายเงินเดือนเป็นเงินสดอยู่แล้ว”
ผมเลยลองบอกเอริกะจังดู แต่ใจผมไม่อยากให้เธอทำงาน ผมอยากให้เธออยู่บ้านดูแลผมกับคนอื่นๆ แต่เอริกะจังอยากทำมาก
“เดือนละสองหมื่น ok ไหมครับ”
ผมไม่ได้ห่วงเรื่องเงิน
“งั้นสามหมื่นเลย หรือจะเอาเท่าไหร่คุณว่ามาเลย”
“ผมไม่ได้เล่นตัวโก่งเงินเดือนให้เอริกะจังหรอกนะครับ แต่ผมไม่อยากให้เธอทำงาน”
“ขอร้องนะครับ”
เอริกะจังก็ขอร้องผมด้วย คิดอีกทีมันคงดีถ้าเอริกะจังมีอะไรทำแก้เบื่อแทนที่จะเอาแต่นั่งรอผมอยู่ที่บ้าน และถ้าเธอมีเงินเดือนของตัวเองเธออยากจะซื้ออะไรเธอก็ซื้อได้ไม่ต้องเกรงใจเรื่องต้องขอเงินผม ผมยอมตกลง ที่จริงเจ้าของอู่อยากให้เอริกะจังเริ่มทำงานวันนี้ แต่ผมขอให้เอริกะจังเริ่มทำงานพรุ่งนี้ ไม่งั้นผมจะไม่ยอม
เจ้าของร้านให้ชุดหมีที่ใช้ใส่เวลาทำงานมาหนึ่งชุด และก็ให้เงินเดือนล่วงหน้ามาคงกลัวว่าผมจะเปลี่ยนใจไม่ยอมให้เอริกะจังทำงานให้ เอริกะจังยื่นซองให้ผม แต่ผมไม่รับและให้เธอเก็บเอาไว้เผื่ออยากได้อะไร
จากนั้นผมกับเอริกะจังก็เดินกลับไปที่บ้านเก่าผม ระหว่างทางดูเอริกะจังดีใจมาก คงดีใจที่จะได้ทำงานช่วยผม เราสองคนเดินจนใกล้ถึงบ้านผมก็เจอรถเบนส์สีแดงจอดอยู่ แล้วผมก็เห็นแนนกำลังกอดแขนลินอยู่
“นั่นไงพี่บีมาแล้ว” แนน
“พี่บี” ลินดีใจที่เจอหน้าผมอีก
“สวัสดีลิน คงรู้จักแนนแล้วนะ ส่วนนี่เอริกะจัง”
ลินทักทายเอริกะ
“แล้วมาทำไมเนี่ย พี่บอกแล้วไมใช่หรอว่าพี่ไม่ใช่เจ้านายลินแล้ว”
“ก็ลินอยากมาดูนี่ค่ะ นี่ลินนัดบริษัททำความสะอาด กับผู้รับเหมามาให้แล้ว”
“ขอบใจนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ผมพาลินกับผู้รับเหมาไปดูห้องที่จะทุบผนังและส่วนต่างๆ ของบ้านที่ต้องซ่อมแซม แนนตามมาดูด้วยแนนให้ลินอุ้มเจ้าริว เพื่อแนนจะได้ถือโอกาสกอดลินโดยอ้างว่ากอดเจ้าริว หลังจากคุยกับผู้รับเหมาจบลินก็ยังไม่ยอมกลับไปทำงาน ดูเหมือนลินก็เอาเรื่องที่อุ้มเจ้าริวมาอ้างไม่ยอมกลับไปทำงาน
“พี่ขอบใจมาก แต่ลินกลับไปทำงานเถอะ เดี๋ยวท่านรู้ว่ามาอยู่กับพี่ท่านจะโกรธเอานะ”
“ลินยังอยากอุ้มเจ้าริวอยู่เลยค่ะ ดูซินอนนิ่งเชียว คงชอบที่ลินอุ้ม”
“ใช่ๆ พี่ลินอุ้มเจ้าริวต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจพี่บีหรอก” แนนกอดเอวลินไว้แน่น
เอริกะเห็นแนนกอดลินก็อมยิ้ม
“แล้วไม่ต้องไปไหนหรอบ่ายนี้”
“ไม่มีค่ะ”
“งั้นก็ตามใจ เราไปนั่งเล่นกันที่สวนดีกว่า จะได้ไม่เกะกะพนักงานทำความสะอาด”
“ค่ะ”
แต่ลินก็มีโอกาสนั่งเล่นอยู่ได้ไม่นานสายโทรเข้ามา ผมเดาได้ว่าใครเพราะลินส่งเจ้าริวให้แนนแล้วขอตัวไปคุยโทรศัพท์ห่างจากพวกผม ผมดูลินไม่ค่อยพอใจกับสายที่โทรหาซักเท่าไหร่ ลินคุยโทรศัพท์อยู่ซักพักก็เดินกลับมาบอกว่ามีงานด่วนขอตัวกลับก่อน
“อืมไม่เป็นไรหรอก เห็นไหมพี่บอกแล้วว่าเดี๋ยวก็โดนโทรตาม”
“แย่จริงๆ เลยค่ะ ท่านเหมือนจงใจจะใช้เลย ทั้งๆ ที่ลินเคลีย์งานบ่ายนี้หมดแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกไปทำงานเถอะ ว่างๆ ค่อยมาใหม่ก็ได้”
“ใช่ๆ พี่ลินมาอุ้มเจ้าริวอีกนะ มาวันที่พี่บีไม่อยู่ก็ได้” แนน
“ค่ะ แล้วพี่จะมาอีกนะ”
ผมมองหน้าแนนเพราะแนนเล่นชวนลินมาหาตอนวันผมไม่อยู่ แสดงว่ามีแผนแน่ๆ
“อ้อเกือบลืมไปค่ะ ลินส่งรายชื่อบริษัทให้แล้วนะค่ะ”
“ขอบใจมากนะ”
“พี่บีจะรีบไปสมัครไหมค่ะ ลินจะได้ติดต่อไว้ให้ก่อน”
“อย่าเพิ่งเลย พี่ว่าจะดูบ้านก่อน เอาไว้บ้านเสร็จค่อยเริ่มหางาน”
“ค่ะ งั้นลินไปนะค่ะ”
“บายจ๊ะแล้วเจอกัน”
“บายค่ะ แล้วมาอีกนะค่ะ” แนน
ลินขึ้นรถ จากนั้นคนขับรถก็ขับออกไป แนนหันมายิงคำถามใส่ผมทันที
“คนที่ 6 หรอ”
“คนที่ 6 อะไร”
“ก็มี 5 คนแล้ว พี่ลินเป็นคนที่ 6”
“โอ้ยไม่ไหวหรอก แค่ 5 คนหนึ่งตัวก็แทบจะเลี้ยงไม่ไหวแล้ว”
“เชอะ” แนนหันไปกอดแขนเอริกะ “พี่สาวพาเจ้าริวไปวิ่งเล่นกันเถอะ”
“นี่อย่าเล่นเพลินนะ 4 โมงต้องไปรับพี่หงส์นะ”
“รู้แล้วหละน่า ไม่ลืมหรอก”
แนนพาเอริกะไปที่สวนสาธารณะ ส่วนผมก็ยืนดูพนักงานที่กำลังทำความสะอาดบ้าน ใกล้สี่โมงแนนกับเอริกะก็เดินกลับกันมาสองคน เอริกะส่งถุงปลาหมึกย่างให้ผม
“โอนิยากิ”
ผมรับถุงปลาหมึกย่างจากเอริกะจัง “แซบไหมละ แนนชวนกินแต่ของเผ็ดๆ นะ”
“ไม่เผ็ดหรอก เจ้าริวยังชอบเลย” แนนเถียง
พอพูดถึงเจ้าริว ผมก็ก้มลงมองเจ้าริวที่พยายามกระโดดเกาะขาผม สงสัยมันอยากจะกินปลาหมึกของผม
“อ้าวๆ ลูกใครเอาไปเลย กินปลาหมึกเป็นด้วยหรอ”
“แบ่งมันหน่อยซิ ทำงกไปได้”
“ให้มันกินอะไรแปลกๆ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
“มันกินได้เมื่อกี่มันก็กิน”
ผมรำคาญเลยแบ่งปลาหมึกให้เจ้าริวมันกิน
“นี่ๆ ต้องล้างน้ำจิ้มให้มันด้วยนะเดี๋ยวมันเผ็ด”
“โอ้ยย มาป้อนมาเองเลยมา”
“ก็ได้เอามาสองไม้”
“ทำไมให้มันกินเยอะนักหละ เดี๋ยวมันก็ท้องเสียหรอก”
“ก็ของเจ้าริวหนึ่งไม้แนนหนึ่งไม้ไง”
แล้วแนนก็แย่งปลาหมึกไปทั้งทุก เจ้าริวก็รีบวิ่งตามแนนทันที ผมก็วิ่งไล่ตาม เราหัวเราะกัน แนนทำทุกหล่นเจ้าริวก็รีบคาบถุงแล้วก็วิ่งหนี เอริกะจังต้องช่วยผมกับแนนไล่จับมันก่อนที่มันจะกินปลาหมึกที่ยังจิ้มน้ำจิ้มเผ็ดเข้าไป
สุดท้ายผมแทบจะไม่ได้กินปลาหมึกเลย เจ้าริวกับแนนกินกันจนหมด หลังจากนั้นเราก็ไปรับหงส์กัน ผมไม่อยากขึ้นไปบนออฟฟิตเลยให้แนนกับเอริกะจังไปรับหงส์ จากนั้นเราก็กลับบ้านกัน วันนี้ผมลืมซะสนิทเลยว่าก้อยจะมาค้าง กลับไปถึงห้องก้อยก็ทำข้าวเย็นรอเราไว้แล้ว
เราคุยกันเรื่องที่ไปดูบ้านวันนี้ เรื่องเจ้าริว เรื่องเอริกะจังได้งานทำ ผมรู้สึกมีความสุขมากๆ นี่ถ้าเจนอยู่ด้วยผมคงเป็นผู้ชายที่มีความสุขที่สุดในโลก หลังจากทานข้าวเสร็จ น้องๆ ก็ทิ้งผมกับก้อยให้อยู่ด้วยกัน เอริกะจังเองก็ดูเหมือนจะเข้าใจธรรมเนียมนี้
“ดูบ้านมาเป็นไงบ้างค่ะ”
“ก็ดีนะวันนี้ก็ทำความสะอาดเสร็จแล้ว พรุ่งนี้ก็เริ่มซ่อมบ้านแล้วหละ”
“ค่ะ แล้วงานของเอริกะจังหละค่ะ”
“ก็น่าจะดีนะ งานอู่รถหนะ เอริกะจังดูท่าจะชอบมาก”
“ก็ดีค่ะ เอริกะจังจะได้ไม่ต้องนั่งรออยู่บ้านทุกวัน”
“แต่พี่ว่าเอริกะจังอยู่บ้านกับเจ้าริวคงไม่เบื่อหรอกมั้ง เจ้าริวมันซนจะตาย”
“นั่นซินะค่ะ วันนี้กินจนพุงป่องนี่ สงสัยพรุ่งนี้มันต้องอ้อนตามพี่บีแน่ๆเลย”
“ก็อยู่กับพี่บีมันได้กินของแปลกๆ เยอะนี่ ดูซิวันนี้ตอนกินข้าวเย็น เจ้าริวมันมานั่งข้างพี่บี ไม่ไปนั่งข้างแนนเหมือนปรกติ”
“นั่นซิ ถ้าพรุ่งนี้แนนไปทำงาน เอริกะจังก็ทำงาน พี่ต้องอยู่กับเจ้าริว ไม่เอาก้อยเอามันไปทำงานด้วยได้ไหม”
“ไม่เอาหรอกค่ะ ก้อยไม่มีเวลาดูมันหรอก พี่บีว่างๆ ก็ดูแลมันเลย”
“อะไรเนี่ย เดี๋ยวนี้ไม่มีใครเห็นใจพี่เลยนะ”
ผมปล้ำก้อย หลังจากนั้นเราก็นอนคุยกันต่อ ก้อยพูดเรื่องที่ผมไม่ทันสังเกตเห็น
“จริงหรอก้อย พี่ไม่เห็นว่าหงส์เค้าจะดูแปลกๆ ไปเลยนะ”
“ก็มีคนเยอะพี่บีคงไม่ทันสังเกตมั้งค่ะ”
“งั้นหรอ อืมงั้นพรุ่งนี้พี่จะลองถามดูนะว่าเค้าไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า”
“ดีค่ะ ตอนนี้เราอยู่กันหลายคนแล้วนะค่ะ พี่บีต้องสังเกตให้ดีๆ นะค่ะ น้องๆ คงไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่ ถ้าคนที่สังเกตเห็นความผิดปรกติของพวกเธอคือก้อยไม่ใช่พี่”
“ขอบคุณนะ”
ตอนเช้าเอริกะจังทำข้าวเช้าและข้าวเที่ยงสำหรับทุกคน แล้วแนนก็ฝากให้ผมดูเจ้าริวอย่างที่ก้อยบอก
“แนนมีสอบ เอาเจ้าริวเข้าห้องไปไม่ได้”
“ก็ฝากเพื่อนให้ดูตอนสอบก็ได้นี่”
“ไม่เอาอะ เดี๋ยวมันเกิดวิ่งหลงหายไปจะทำยังไงเล่า”
“พี่บีก็ว่างนี่ค่ะ ดูเจ้าริวให้แนนเค้าหน่อยเถอะ” ก้อย
“อืมๆ ก็ได้ เจ้าริววันนี้อย่าดื่อหละ”
เจ้าริวมันรีบกระดิกหาง
ก้อยพาผมกับเอริกะไปส่ง ส่วนแนนก็ไปกับหงส์ ผมแอบเห็นทำหน้าเศร้าอย่างที่ก้อยพูด เอาไว้เย็นนี้ผมจะลองถามดูว่าหงส์เศร้าเรื่องอะไร ผมบอกให้ก้อยส่งผมที่อู่ที่เอริกะจังทำงาน เอริกะจังบอกว่าจะไปทานข้าวเที่ยงกับผมที่บ้าน จากนั้นเราก็แยกจากกัน ผมอุ้มเจ้าริวเดินเข้าไปที่บ้านเก่าผม
ช่างรับเหมามาแต่เช้าเหมือนกัน ผมเลยปล่อยให้เจ้าริววิ่งเล่นที่สนามหญ้าที่เพิ่งจะตัดจนโล่งเมื่อวานนี้ ผมปิดประตูบ้านไว้เจ้าริวจะได้ไม่วิ่งออกไปนอกบ้าน ผมขึ้นไปชั้นสองเพื่อดูช่างรับเหมาทุบห้องทำห้องใหญ่ ผมดูอยู่ซักพัก ก็ได้ยินเสียงเจ้าริวเหา ผมคิดว่าอาจจะมีใครมาเลยรีบลงมาดู แต่ปรากฏว่าเจ้าริวมันเห่าร้านรถเข็นไก่ย่าง
“อะไรเนี่ย กินเป็นด้วยหรอ”
เจ้าริวก็เห่าตอบ แล้วก็วิ่งเข้ามาอ้อนจนผมใจอ่อนซื้อหน่องไก่ให้มันกิน หลังจากนั้นอะไรผ่านมาเจ้าริวก็ห่าเรียกผมตลอด จนเที่ยงเอริกะจังเข้ามากินข้าวเที่ยงด้วย เจ้าริวมันก็อ้อนขอกินด้วยอีกทั้งๆ ที่มันกินทั้งไก่ย่างหมูย่างลูกชิ้นปิ้งไปหลายไม้แล้ว
“ไม่ต้องแบ่งมันแล้วหละเอริกะจัง เจ้าริวมันกินทั้งวันจนพุ่งอ้วนแล้วหนะ”
“เจ้าริวมันเห็นเรากินมันคงอยากชิมบ้าง” เอริกะจังก็ฉีกไส้กรอกให้เจ้าริวกิน
เจ้าริวกินใหญ่เลย พอกินหมดก็ขออีก
“นั่นไงเห็นไหม มันไม่ได้อยากชิมหรอก แต่มันเริ่มตระกละแล้วเนี่ย”
หลังจากทานข้าวเสร็จผมไปส่งเอริกะจังที่อู่ โดยที่อุ้มเจ้าริวไปด้วย ผมไม่กล้าให้เจ้าริวมันเดินเอง เพราะกลัวมันจะวิ่งหาแต่รถเข็นขายของกิน ไปถึงอู่เจ้าริวมันก็ดิ้นให้ผมปล่อยมัน ผมก้มลงปล่อยเจ้าริวแต่เอาขาหนีบมันไว้ไม่ให้มันวิ่งไปซนเดี๋ยวจะโดนรถชน
แต่เจ้าริวมันก็ดิ้นจนหลุดไปได้ จากนั้นๆ มันก็วิ่งออกจากอู่รถ จนผมต้องรีบวิ่งตามไป แล้วผมก็ไปเจอเจ้าริวมันนั่งอยู่ตรงหน้าร้านก๋วยเตี๋ยว เฮียเจ้าของร้านกำลังนั่งป้อนลูกชิ้นกุ้งให้มันกิน
“ขอโทษด้วยนะครับ ที่เจ้านี่มารบกวนที่ร้าน”
“อ้อ ไม่เป็นไร หรอก มันก็ไม่ได้ทำอะไรรบกวนนะ มาถึงก็นั่งมอง ยังไม่เห่าเลยด้วยซ้ำ”
“ไอ้ริว กินมาทั้งวันแล้วนะ เมื่อกี๊ก็เพิ่งจะกินมา นี่ยังมาขอลูกชิ้นเฮียเค้าอีกหรอ”
“เจ้านี่มันชื่อริวหรอ เห็นมันมากับพวกคุณครั้งที่แล้วผมเลยจำได้”
“งั้นผมขอซื้อลูกชิ้นลวกถุงนึงแล้วกันครับ ของซื้อของขายมาให้เจ้าริวขอกินฟรีแบบนี้มันไม่ดี”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นิดๆ หน่อยๆ เอง”
“มันคงไม่นิดหน่อยซิครับเฮีย เจ้าเนี่ยแค่ลูกสองลูกมันกินไม่อิ่ม คราวที่แล้วมันกินลูกชิ้นไปสิบลูก เกี๊ยวปลาไปห้าอัน ตอนบ่ายมันยังมาแย่งปลาหมึกผมกินอีก”
เฮียก็หัวเราะ จากนั้นผมกับเฮียก็คุยกัน เฮียบอกจำผมได้เคยเห็นตั้งแต่เด็ก แต่ผมก็หายหน้าไปนานหลายปี ผมก็เลยเล่าให้เฮียฟังว่าผมออกไปอยู่คอนโด แต่ตอนนี้กำลังทำบ้านเพื่อกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว หลังจากเฮียก็คุยเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวให้ผมฟัง เริ่มแรกเฮียเองก็ทำงานบริษัท เมียก็ทำงานบริษัท ต่างคนต่างทำงานจนแทบไม่มีเวลาจะคุยกัน
จนเฮียแกประสบปัญหาต้องออกจากงาน ตอนแรกแกก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี แล้วก็มาปิ๊งไอเดียเรื่องร้านก๋วยเตี๋ยวเพราะเดิม ก๋งแกก็เคยเปิดร้านแบบนี้แต่พอแกมีงานทำก็เลยไม่อยากให้ก๋งทำต่อ พอตกงานแกเลยคิดที่จะกลับไปขายก๋วยเตี๋ยวขึ้นมา แรกๆ ก็เหนื่อยมาก ท้อใจ แต่ก็ดีที่มีเมียแกออกจากงานมาคอยช่วย จนสุดท้ายท้ายแกก็ตั้งตัวได้
“ชีวิตพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวถึงจะไม่เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคม แต่ผมก็มีความสุขมากนะ จากเดิมที่ต้องทำงานๆ จนแทบไม่มีเวลาแม้แต่จะกอดเมีย ดูซิตอนนี้เจอทุกวันมาหลายสิบปีแล้ว จนเบื่อหน้าแล้วเนี่ย” เฮียหัวเราะ
เจ๊ที่ยืนคุมเด็กทำก๋วยเตี๋ยวอยู่ก็หันมามองหน้า
“แล้วเฮียไม่อยากลับไปทำงานออฟฟิตอีกหรอครับ”
“ไม่หละ ชีวิตแบบนี้ก็สบายดีแล้ว เจอหน้าลูกเจอหน้าเมียทุกวัน แรกก็เหนื่อย แต่พอได้ทำไปซักพักชีวิตมีความสุข มีเวลาให้เมียมีเวลาให้ลูก ผมไม่ขอกลับไปทำงานแบบเดิมอีกแล้ว”
ผมรู้สึกสนใจอาชีพแบบนี้ขึ้นมาทันที ถ้าผมเปิดร้านข้างๆ ร้านเฮีย ตอนเที่ยงเอริกะจังก็จะได้มาทานข้าวที่ร้าน ถ้าวันไหนแนนไม่มีเรียนก็จะได้อยู่ช่วยกันที่ร้าน เราอาจจะปิดร้านซัก 6 โมงเย็น หลังจากนั้นก็ทำความสะอาด พอเสร็จแล้วก็มาทานข้าวพร้อมหน้ากัน 6 คน
“เจ้าริวอยู่นี่เอง” แนน
แนนเดินเข้ามาจะดึงเจ้าริวไปอุ้ม แต่มันไม่ยอม เจ้าริวมันเกาะผมแน่น คงไม่ใช่เพราะรักผมมาก แต่คงเพราะถุงลูกชิ้นในมือผมมากกว่า
“เอ๋ ทำไมดื่อหละ เดี๋ยวเถอะ” แนนบ่น
แต่เจ้าริวก็เกาะผมไม่ยอมปล่อย จนแนนเห็นถุงลูกชิ้นในมือผม แนนก็เลยแย่งถุงลูกชิ้นไปถือ
“เชอะ ไม่อยากให้แม่อุ้มก็ไม่ต้องตามมานะ” แนนแกล้งเดินหนี
คราวนี้ในมือแนนมีถุงลูกชิ้น เจ้าริวก็กระโดดจากอกผมแล้วรีบวิ่งตาม แนนเห็นเจ้าริววิ่งตามก็หัวเราะแล้วก็วิ่งหนี ผมก็เลยคุยเรื่องร้านกับเฮียต่อ เฮียบอกว่าตึกแถวด้านข้างเดิมก็เป็นร้านอาหาร แต่เข้าของเก่าเค้าต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นก็เลยปิดร้าง ถ้าผมสนใจเฮียแกจะช่วยติดต่อขอเช่าให้
“แต่จะดีหรอครับเฮีย ผมมาเปิดข้างๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นแย่งลูกค้าเฮียนะ”
“เฮ้ย ไม่หรอก เพิ่มลูกค้าหละไม่ว่า ตอนนี้คนที่มากินร้านเฮีย มีแต่พวกตั้งใจจะกินก๋วยเตี๋ยวเท่านั้น สมมุติมากัน 5 คน สองคนอยากกินก๋วยเตี๋ยว อีกสามอยากกินข้าว เค้าก็เปลี่ยนใจเดินไปกินข้าวที่ตลาดกันหมด แต่ถ้าบีมาเปิดร้านข้าวต่อไปเราก็แบ่งกัน คนอยากกินก๋วยเตี๋ยวก็ได้กิน ส่วนคนกินข้าวจะนั่งร้านเฮียแล้วสั่งข้าวร้านบีมากินก็ได้”
“ครับเฮีย ถ้าผมเปิดร้านนะครับ ลูกค้าอยากกินก๋วยเตี๋ยวผมก็ขอรบกวนเฮียมาส่งให้ด้วยนะครับ”
“ไม่มีปัญหา เจ้าเดิมเค้าก็ช่วยๆ กันแบบนี้แหละ ว่าแต่บีสนใจหรือเปล่าหละเฮียจะได้ถามเจ้าของเค้าให้”
“ผมสนใจนะครับ แต่ขอถามเมียก่อนว่าเค้าสนใจไหม”
“คนเมื่อกี่หรอ หรือว่าอีกคนที่สวยๆ ทำงานอยู่ที่อู่รถปากซอย”
“ทั้งคู่แหละครับ และก็ยังมีอีกสามคน”
เฮียหัวเราะ “ไม่เบานี่ มีเมีย 5 คนเลยหรอ มีขอดีอะไรแบ่งเฮียบ้างซิ เฮียอยากหาเมียเพิ่มอีกซักคน” เฮียแกล้งพูดให้เจ๊ที่ยืนฟังเราสองคนอยู่หึง
“ก็ลองซิ แม่จะแพ่นกระบาลให้หัวแยกเลย”
“โถๆ อั๊วอายุปูนนี้แล้วจะมีเมียใหม่ทำไม อั๊วพูดเล่นเท่านันแหละ”
ผมคุยกับเฮียซักพักก็ขอตัวกลับไปดูบ้านเจอแนนกับเจ้าริวกำลังเล่นกันอยู่ในสนามหญ้า
“เดี๋ยวไปรับพี่หงส์กันนะ”
“ไม่เอาอะ”
“ทำไมหละ เมื่อวานก็ยังไปรับด้วยกันอยู่เลย”
“จะพาเจ้าริวไปวิ่งเล่นที่สวนตอนเย็น พี่บีไปรับพี่หงส์ก่อนแล้วค่อยกลับมารับแนนกับพี่สาวก็ได้”
“ก็ดี เจ้าริวของเราวันนี้มันกินทั้งวันเลย ให้มันวิ่งเล่นเยอะๆ นะ เดี๋ยวมันอ้วนเหมือนแม่มัน”
“ใครอ้วน ว่าแนนอ้วน แนนไม่อ้วนซักหน่อย ริวจัดการเลย”
เจ้าริวทำดุแล้ววิ่งเข้ามายืนเห่าผม แต่เมื่อกี่ก่อนกลับเจ๊เค้าฝากลูกชิ้นมาให้เจ้าริวกินอีก ผมแค่ชูถุงลูกชิ้นให้มันดู เจ้าริวก็แปรพักร์ทันที มันหยุดเห่าแล้วรีบกระดิกหาง
“ดีมาก อยากกินใช่ไหมริว งั้นไปกัดรองเท้าแม่เราก่อนไป แล้วเดี๋ยวพ่อจะให้กินลูกชิ้นกุ้งนะ”
เจ้าริวเหมือนฟังรู้เรื่อง มันรีบวิ่งตรงไปหารองเท้าที่แนนใส่ แนนต้องรีบหยิบรองเท้าขึ้นมาถือ เจ้าริวก็พยายามตะกายขาแนนเพื่อจะปีนขึ้นไปกัดรองเท้าที่แนนถือไว้
“เดี๋ยวเถอะ เจ้าริวเดี๋ยวแม่ตีเลยนะ เห็นของกินดีกว่าแม่หรอ”
เจ้าริวโดนแนนตะหวาดใส่มันก็นอนลงเอาขาหน้าสองข้างปิดหัว ผมอยากแกล้งแนนเลยแกล้งเขย่าถุงลูกชิ้นให้เจ้าริวดูมันก็รีบลุกขึ้นมาเห่าแนน แต่คราวนี้มันไม่ได้ตระกายขาแนนแล้ว แต่แนนก็ชี้ให้เจ้าริวหยุดเห่า เจ้าริวกลัวมันกลับไปอยู่ท่านอนเอาขาหน้าปิดหัวอีกรอบ จากนั้นแนนก็มาดึงถุงลูกชิ้นไปจากมือผม
“กัดพี่บีเลย”
คราวนี้เจ้าริวก็กระโจนมางับขาผม ถึงมันจะไม่ได้กัดจริงแค่กัดเล่นๆ แต่ฟันมันก็คม
“ไอ้ริวเจ็บนะเตะเลยนี่”
“อย่านะ ลองเตะมันซิ แนนจะอลาวาทให้ดู”
“นี่เจ็บนะไอ้ริว เดี๋ยวจับไปทำลูกชิ้นหมาเลยนี่” ผมอุ้มมันขึ้นมา เจ้าริวมันเลยงับมือผม
หลังจากทะเลาะกับแนนเสร็จผมก็ไปดูช่างที่กำลังทำห้องที่ชั้นสองต่อ พอบ่ายมาครึ่งผมก็ลงมาจากชั้นสองแล้วชวนแนนไปรับหงส์อีกรอบ แต่แนนก็ไม่ยอมไปบอกว่าจะรอผมอยู่ที่นี่กับเอริกะจัง ผมเลยต้องไปรับหงส์คงเดียว
ผมไปถึงบริษัทก็เกือบจะห้าโมงแล้ว ผมไม่อยากขึ้นไปที่ออฟฟิตเลยโทรบอกหงส์ว่าผมมาถึงแล้วเลิกงานแล้วให้หงส์ลงมาหาที่ทางเข้าลานจอดรถ ผมยืนรอจนห้าโมงครึ่ง
“งานเยอะหรอ”
“เปล่าค่ะ”
“งั้นกลับบ้านกันเถอะ เดี๋ยวต้องกลับไปรับไอ้ตัวเล็ก เอริกะจังและก็เจ้าริวด้วย”
“ค่ะ”
หงส์มีท่าทางผิดปรกติไปจริงๆ อย่างที่ก้อยพูด
“เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมดูหน้าตาไม่ดีเลย งานเยอะหรอ”
“เปล่าค่ะ”
“แล้วมีอะไรบอกพี่ได้นะ”
หงส์มองหน้าผมก่อนจะร้องไห้แล้วเอาหน้ามาซุกที่ไหล่ผม
“ร้องไห้ทำไม ใครรังแกหงส์หรอ บอกพี่ซิ”
“หงส์ คือ หงส์กลับไปทำงานเป็นเด็กเสริฟเหมือนเดิมได้ไหมค่ะ”
“ทำไมหละ”
“ไม่ได้หรอค่ะ”
“ไม่ใช่ไม่ได้นะ พี่ก็แค่เป็นห่วง ถ้ากลับไปทำงานแบบเดิม แล้วหงส์จะส่งเงินให้ทางบ้านไหวหรอ”
“ไหวค่ะ หงส์ไม่ต้องเช่าบ้านนี่ค่ะ แล้วก็ประหยัดค่าใช้จ่ายเอา”
“เรื่องบ้านเรื่องค่าใช้จ่าย พี่ก็ต้องดูแลหงส์ซิ หงส์เป็นเมียพี่นะ พี่แค่ห่วงน้องกับแม่หงส์เท่านั้นแหละ”
“ตอนนี้น้องกับแม่ก็ไม่ได้ลำบากเหมือนเมื่อก่อนแล้วหละค่ะ และหงส์ก็จะพยายามส่งเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ก็ตามใจนะถ้าหงส์จะออกจากงานที่นี่ แต่เรื่องกลับไปเป็นเด็กเสริฟพี่คงไม่อนุญาต”
“แต่หงส์”
“ไม่เป็นไรหรอก พี่เองก็เพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ พี่คิดจะชวนหงส์อยู่เหมือนกัน หงส์ก็มาอยากออกจากงานพอดีเลย”
“อะไรหรอค่ะ”
“พี่อยากทำร้านอาหาร ได้หงส์มาเป็นแม่ครัวก็ดีเลย รายได้คงไม่มากไม่มายแต่คงพอให้หงส์ส่งให้แม่ให้น้องได้ไม่ลำบาก”
“จริงๆ หรอค่ะ”
“จริงซิ คืนนี้พี่จะคุยกับพี่ก้อย พี่ก้อยคงเห็นด้วย แล้วพรุ่งนี้พี่จะรีบไปคุยเรื่องร้าน”
“ว่าแต่หงส์เถอะ จะเหนื่อยหรือเปล่า แรกๆ คงไม่มีลูกจ้างนะ คงต้องดูก่อนว่าขายดีพอจะจ้างคนช่วยไหม”
“หงส์ไม่กลัวเหนื่อยหรอกค่ะ”
ผมรู้สึกว่าหงส์ดีใจที่ผมชวนเปิดร้านอาหารด้วยกัน เหลือแค่คืนนี้ผมคุยกับก้อยแล้วพรุ่งนี้ผมจะได้รีบไปบอกเฮียให้ติดต่อเจ้าของตึกแถวให้ ผมทำแบบนี้ก็ได้ ต่อไปผมก็จะไม่ต้องหลงเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายของคนอื่น เมียๆ ของผมก็จะได้ต้องพลอยมารับผลกระทบที่เกิดจากผม ถ้าผู้ชายคนนั้นรู้ว่าผมไม่อยู่ในแวดวงธุรกิจที่คอยขัดแข้งขัดขาเค้าแล้ว เค้าอาจจะไม่มายุ่งกับผมอีกก็ได้
คืนนั้นผมก็คุยกับก้อยเรื่องที่คิดจะเปิดร้านอาหาร
“แล้วก้อยยังจะอยากแต่งงานกับพี่ไหม ในเมื่อตอนนี้พี่กลายเป็นแค่พ่อค้าธรรมดาคนนึงเท่านั้นนะ”
“ทำไมหละค่ะ เป็นพ่แล้วก้อยยังจะอยากแต่งงานกับพี่ไหม ในเมื่อตอนนี้พี่กลายเป็นแค่พ่อค้าธรรมดาคนนึงเท่านั้นนะ” “ทำไมหละค่ะ เป็นพ่อค้าก็เป็นคนดีนี่ค่ะ ไม่ได้ทำอะไรผิดกฏหมายซักหน่อย” “ขอบคุณนะ” “ขอบคุณอะไรค่ะ” “ขอบคุณที่ก้อยรักพี่” “ใครบอกค่ะ ก้อยไม่ได้พูดซะหน่อยว่ารักพี่บี” “ไม่ได้รักแล้วมาให้พี่กอดทำไมหละ” “ก็พี่บีกอดก้อยเองนะ ก้อยไม่ได้ขอให้กอดซะหน่อย” “เดี๋ยวเถอะ แกล้งพี่หรอ แบบนี้ต้องปล้ำซะแล้ว” “อย่านะ น้อยอยู่กันเต็มห้อง ไม่อายหรอ” “อายทำไม น้องๆ จะได้เป็นพยานว่าก้อยรักพี่เหมือนกัน” ก้อยลุกขึ้นวิ่งหนี เจ้าริวคิดว่าเล่นกันมันก็วิ่งตามด้วย แนนหงส์เอริกะเห็นผมวิ่งไล่ก้อยก็พากันเข้ามาช่วยกันจับตัวผมไว้ไม่ให้วิ่งตามก้อยได้ ผมก็เลยจับคนที่มาขวางผมปล้ำแทน สาวๆ ก็เข้ามาช่วยกันใหญ่จนหนีกันเข้าไปในห้องนอน ผมจับเจ้าริวให้รอนอกห้องจากนั้นก็ตามสี่สาวเข้าไปในห้องนอน วันรุ่งขึ้นผมก็ไปคุยกับเฮียให้เฮียช่วยติดต่อเจ้าของตึกแถวข้างๆ จากนั้นผมก็ให้ลินช่วยหาช่างมาตบแต่งร้าน กำหนดเสร็จก็ใกล้ๆ กับวันที่บ้านผมซ่อมเสร็จพอดี อ้อผมลืมบอกไป ผมให้หงส์ไปลาออกจากบริษัทแล้ว นอกจากนี้วันนี้ก็มีเรื่องน่ายินดีอีกเรื่อง ในที่สุดครอบครัวผมก็อยู่กันพร้อมหน้าซะที ตุ๊กตาตัวน้อยของผมบินมาหาผมจากออสเตเรีย ทำให้ผมมีเพื่อนดูบ้านดูร้านเพิ่มจากเดิมมีแต่เจ้าริวที่เอาแต่วิ่งหาของกิน “มาคราวนี้จะอยู่นานแค่ไหน แล้วต้องกลับไปเรียนอีกไหม” ผมถามเจนในขณะที่เรากำลังยืนดูช่างกำลังตบแต่งร้านของผมอยู่” “ก็น่าจะอยู่นานค่ะ กลับไปอีกทีคงช่วงสอบเลย” เจน “เสียใจไหมที่อยู่ๆ พี่จะกลายเป็นแค่พ่อค้าขายข้าวแกงธรรมดาๆ คนนึง” เจนหันมามองหน้าผม “ไม่เสียใจค่ะ แต่เสียใจที่ไม่ได้มีโอกาสได้อยู่ให้กำลังใจพี่บีมากกว่า” ผมซึ้งกับคำพูดของเจนมากจนก้มลงไปจะหอมแก้มเธอ แต่ ไอ้เจ้าริวดันยืนหน้ามาเลียปากผมแทน “ไอ้ริว” ผมตกใจที่เจ้าริวมันเลียปากผม “เดี๋ยวเถอะ พ่อจะหอมแก้มแม่ ไม่ใช่จะจูบกับแก” เจนหัวเราะ “สงสัยเจ้าริวมันคิดว่าพี่บีจะจูบมันมั้งค่ะ มันเลยยื่นหน้าให้จูบ” “พี่จะจูบเจนต่างหากหละ” “ไม่เอาค่ะอายคน” “อายทำไมผัวเมียกัน” ผมก้มลงจะหอมแก้มเจนอีก คราวนี้เจนจับเจ้าริวมาขวางผมเลยหอมโดนเจ้าริว เจ้าริวมันคงคิดว่าผมรักมันมั้งมันหันมาเลียหน้าผมใหญ่เลย ผ่านไปสองอาทิตย์เวลาที่เรารอคอยก็มาถึง บ้านผมซ่อมเสร็จ ร้านผมตกแต่งเสร็จ ผมเช่ารถขนของจากคอนโดไปไว้ที่บ้าน จากนั้นเราก็นัดฉลองขึ้นบ้านใหม่กัน เรื่องพิธีการเราคงยังไม่ได้ทำอะไรแค่ทำตามธรรมเนียโบรานขนข้าวขนเงินเข้าบ้าน ส่วนเรื่องจัดงานเลี้ยงพระเราคงทำกันอีกทีหลังจากที่ร้านอาหารผมลงตัวแล้ว เพราะผมคงต้องจัดงานเลี้ยงพระที่ร้านก่อน หลังจากไว้ศาลและอุ้มข้าวอุ้มเงินเข้าบ้านเสร็จ ก็มาถึงการอุ้มเมียเข้าบ้านบ้างครับ ผมอุ้มก้อยคนแรกเลยผมอุ้มก้อยเข้าบ้านขึ้นไปจนถึงห้องนอนแล้ววางลงบนเตียงจากนั้นผมก็ออกมาอุ้มเจน ต่อด้วยแนน แต่พอมาหงส์ผมเริ่มอุ้มไม่ค่อยไหวแล้วแรงเริ่มหมดแต่ก็พาหงส์ไปถึงห้องนอนได้ แล้วก็มาถึงคนสุดท้าย เอริกะจัง สงสัยจะตัวหนักสุด ผมแทบจะก้าวขาไม่ออกเลย เอริกะจังบอกว่าไม่ต้องอุ้มก็ได้ แต่จะทำแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อผมอุ้มคนอื่นๆ ไปหมดแล้วนี่ ผมกัดฟันอุ้มเอริกะจังเดินขึ้นบันไดทีละก้าว ที่จริงเอริกะจังก็ไม่ได้นักมากมายคงแค่ 40 โลกว่าๆ เท่านั้น แต่ผมอุ้มคนอื่นมาจนหมดแรงแล้วเท่านั้นแหละ พอถึงเตียงผมก็ค่อยๆ วางเอริกะจังลง จากนั้นผมก็นอนทับเธอเลย ผมหมดแรงคิดว่าจะขึ้นบ้านใหม่กับเมียให้ครบห้าคนซะหน่อย แต่แค่อุ้มขึ้นชั้นสองทีละคนผมก็หมดแรงแล้ว คืนแรกเรานอนด้วยกัน 6 คน ทำเอาผมแทบไม่อยากตื่นเลยแต่เจ้าริวมันก็มาเห่าเรียกที่หน้าห้องนอน วันนี้เรามีการทำบุญเลี้ยงพระที่ร้านใหม่หลังจากนั้นก็แจกอาหารให้คนแถวนั้นลองชิม จากนั้นเราก็ปิดร้านแล้วเตรียมตัวเปิดขายจริงอีกครั้งในวันจันทร์ เปิดร้านวันแรกเราอยู่กันครบ 6 คน เราช่วยกันรับออร์เดอร์เสริฟ คนเข้าร้านเยอะกว่าที่คิดไว้ จนร้านเฮียข้างๆ แน่นไปด้วย เจ้าริวก็ช่วยนั่งหน้าร้านยกสองขากวักเรียกคนเข้าร้านด้วย แต่ซักพักมันก็หายไปนั่งกวักอยู่ที่หน้าร้านเฮียแทน คงจะไปอ้อนขอลูกชิ้นกิน ร้านอาหารของผมกิจการดีจนต้องรับคนมาช่วยอีก 5 คนทั้งเสริฟทั้งช่วยทำอาหาร ผมปรับชั้นลอยให้เป็นออฟฟิตไว้คิดเงิน นั่งพัก และก็เอาไว้ทานข้าว ตอนนี้ผมซื้อรถกะบะเอาไว้ซื้อของเข้าร้านแต่โชคดีที่ผมไม่ต้องตื่นตีสามตีสี่เพื่อไปซื้อของเพราะลินหาร้านขายส่งอาหารให้ผม ในที่สุดผมก็พบแล้ว ชีวิตที่มีความสุขไม่ต้องกังวนว่าจะมีใครมาทำร้ายคนที่ผมรักเพราะผมไปขัดแข็งขัดขาใครเข้า ตอนนี้ผมก็กำลังจ้องจะปั้มลูกซักคนสองคน แต่ไม่รู้ว่าจะติดกับใครในห้าคนนี้ จบบริบูรณ์???????? แหมว่าจะไม่ใบ้แล้ว เอาเป็นว่าใครอ่าน 2nd Gen น่าจะเดาออกว่าเรื่องนี้จบหรือยัง