ศึกหมอผี ตอนที่ ๑๔
มฤตยูในป่าดงดิบ
มนุษย์ต่างดาวก็เหมือนภูตผี รู้ว่ามีแต่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้
<>::<>::<>
‘วี้ดดดดดดดดดดดดดดดดดดด………………….’
ยานอวกาศรูปร่างประหลาด ล่องลอยเหนือฟากฟ้า เสียงยานอวกาศแม้ดังเสียดแก้วหู แต่ไม่มีเทคโนโลยี่ใดๆของมนุษย์ในยุคปัจจุบันจับได้หรือมีสายตาของใครสามารถมองเห็นมันได้ เพราะมันเป็นเทคโนโลยีการพรางตัวระดับสูงสุดจากต่างดาวที่ก้าวล้ำนำหน้าโลกมนุษย์หลายสิบล้านปี พวกมันเคยเดินทางมาโลกมนุษย์ ถ่ายทอดวิทยาการต่างๆให้ พวกมันคือสิ่งที่คนโบราณเทิดทูนว่าเป็นเทพเจ้า พวกมันคือผู้ให้กำเนิดอารยธรรมทั่วโลก ทั้งปิรามิดแห่งอียิปต์ หอดูดาวแห่งมาชูปิกชู นครวัดนครธม ฯลฯ พวกมันหลบซ่อนอยู่ในมุมมืดของประวัติศาสตร์มนุษย์มาเนิ่น
นานโดยเหล่าคนโบราณเล่าสืบๆต่อกันมาด้วยรูปสลักตามโบราณสถานบันลือโลกต่างๆ ซึ่งกาลเวลาล่วงเลยผ่านพ้นมาหลายพันปีก็ยังไม่มีใครสามารถตีความในจารเหล่านั้นออก
แต่สิ่งหนึ่งที่เหล่าคนโบราณไม่ได้บันทึกบอกไว้ก็คือ เหล่าเทพเจ้าของพวกเขาเป็นผู้กระหายเลือดและสงครามไม่ต่างจากสันดานดิบที่ซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์
‘ ซู้มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม………………’
ตู๊ม!!!
“เฮ้ย อะไรกันวะ!!!”
เสียงหวีดหวิวแหวกอากาศของอากาศยานฝึกบินกองทัพอากาศไทยที่มีไฟลุกท่วม และตีโค้งควงสว่านก่อนตกลง ณ ผืนป่าแห่งหนึ่งใกล้กับหมู่บ้านริมชายป่า เสียงดังและแรงสั่นสะเทือนของการตกกระทบ รับรู้ได้ในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร ทำเอาคนในหมู่บ้านที่กำลังกินข้าวเย็นกันอยู่ตกใจสะดุ้ง หมูหมากาไก่ในหมู่บ้านแตกตื่นกันวุ่นวาย หลังแรงกระแทกสงบลง เหลือเพียงเปลวไฟลุกโพลงมองเห็นได้ในระยะไกล ผู้ใหญ่บ้านนำทีมลูกบ้านขึ้นไปสำรวจพร้อมอาวุธครบมือ
“เฮ้ย ระวังนะพวกเรา เครื่องบินตกคราวนี้รุนแรงเหลือเกิน” เสียงผู้ใหญ่บ้านเอ่ยเตือนลูกบ้าน
“ฉันสงสัยว่า เครื่องบินลำนี้ถูกพวกยานเอเลี่ยนโจมตีหรือเปล่า ถึงได้ไฟลุกท่วมก่อนตกถึงพื้นอย่างนั้น”
“โธ่…ไอ้ขวดไอ้บ้าหนังไซไฟฝรั่ง เอลงเอเลี่ยนอะไรของเอ็ง เครื่องบินกองทัพอากาศไทยมันเก่า เอามาใช้ฝึกบินก็ร่วงเป็นข่าวประจำ นี่ตกเป็นลำที่สามติดต่อกันแล้ว เอ็งอย่าเพ้อ มนุษย์ต่างดาวหรือเอเลี่ยนมันมีที่ไหน?” ลุงเฉิ่มที่เดินตามเอ่ยหยันความคิดของไอ้เขียว “จินตนาการของเอ็งนี่ มันล้ำกว่าความรู้ที่ไม่จบปอหกของเอ็งซะอีก…”
‘ไอ้ขวด’ เป็นวัยรุ่นอายุยี่สิบต้นๆในหมู่บ้านมันกระชับปืนลูกซองในมือมั่น ตัวของมันชอบดูหนังฝรั่งต่างดาวบุกโลกจึงจินตนาการถึงเรื่องราวไม่ชอบมาพากล มันคิดว่าโลกกำลังถูกมนุษย์ต่างดาวจ้องจะรุกราน และเอ่ยปากเตือนชาวบ้านเสมอๆ มันจึงดูเป็นคนบ้าๆบอๆในสายตาชาวบ้าน ก่อนจะออกมาดูซากเครื่องบินตกมันก็เตือนว่าอาจจะเป็นฝีมือของมนุษย์ต่างดาว ให้ระวังตัวให้ดี ก็มีแต่คนหัวเราะเยาะมัน และโชคร้ายของชาวบ้านกลุ่มนี้ที่คราวนี้………….เจ้าขวดมันคิดถูก
ชาวบ้านจำนวนสิบห้าคนเดินฝ่าป่าแก่นกระจายมาจนถึงเนินพันร้อยที่ลือว่าเป็นเนินอาถรรพ์ของป่าแก่นกระจาน และได้พบซาก เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพไทยรุ่นฮิวอี้ แบล็กฮอว์ก (UH-1H Huey) เป็นเฮลิคอปเตอร์สำหรับงานหลักทั่วไปของทุกเหล่าทัพ โดยเฉพาะกองทัพบกซึ่งมีภารกิจค่อนข้างมาก ฮิวอี้มีความคล่องตัวสูง สามารถบินเลาะตามภูมิประเทศได้คล่อง ปฏิบัติได้หลากหลายภารกิจ ทั้งทางทหาร เช่นการส่งกำลังบำรุง ส่งกลับสายการแพทย์ สนับสนุนการรบ รวมถึงงานทางพลเรือน เช่นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ แต่บัดนี้มาตกอย่างปริศนาในสภาพพังยับเยินหลังกลับจากปฏิบัติภารกิจบินเข้าไปรับชุดลาดตระเวนปราบปรามผู้บุกรุกลักลอบตัดไม้ ในผืนป่าแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี และประสบอุบัติเหตุตกลงกลางหุบเขาในจุดที่มีความสูงที่สุดของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
เมื่อเห็นซากเฮลิคอปเตอร์ที่ยับเยินจากไฟไหม้และฉีกเป็นชิ้นๆกระจัดกระจายไปในรัศมีวงกว้าง ไม่พบเห็นร่องรอยว่ามีผู้รอดชีวิต ชาวบ้านต่างยืนปรึกษากันหลังออกสำรวจค้นหาอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง
“ข้าว่ารีบแจ้งทางการดีกว่า ดูแล้วชักไม่ชอบมาพากล ฮอที่ตกก่อนหน้าสองลำก็เป็นลักษณะนี้”
“มันต้องเป็นฝีมือยานอวกาศของพวกเอเลี่ยนแน่ๆ ฉันเคยเห็นมันนะ รูปร่างมันกลมๆลอยอยู่กลางอากาศ พอฉันจะใช้กล้องมือถือถ่ายภาพ มันก็บินหายไป”
“ไอ้ขวด มึงยังไม่เลิกบ้าอีกนะ ไปๆกลับกันเถอะ เดี๋ยวไปแจ้งทางการถึงจุดตกกัน”ผู้ใหญ่บ้านสรุป
แต่แล้ว…
“เฮ้ย! ใครเอาอวนอะไรมาวางไว้ตรงนี้วะ อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกก…..”
“พวกเราระวัง เอเลี่ยนมันโจมตีเราแล้ว!” เจ้าขวดร้องเตือน
ร่างของผู้ใหญ่บ้านถูกอวนประหลาดรัดร่างและลอยขึ้นไปค้างบนอากาศ อวนรัดแน่ขึ้นพร้อมมีประกายไฟสีฟ้าแล่นวูบวาบ ร่างของผู้ใหญ่บ้านถูกอวนรัดจนแขนขาจะกระดูกหักลั่นกร๊อบๆ แกส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดโหยหวน
“อ้ากกกกกกกกกกกก ช่วยกูด้วย อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
“ผู้ใหญ่ๆๆ ช่วยผู้ใหญ่เร็วๆ เฮ้ย นั่นตัวอะไรวะ!?!”
ปรากฏเงาวูบวาบกระโดดไปมาตามกิ่งไม้ใหญ่ มีแสงสีส้มพุ่งเข้ามาถูกพุงชาวบ้านคนหนึ่งทะลุออกหลัง ลำไส้ เศษเนื้อและเลือดกระเซ็นกระซ่าน ทำเอาพวกที่เหลืออ้าปากค้างและระดมยิงอาวุธปืนประดามีเสียงดังเปรี้ยงๆไปอย่างไร้ทิศทาง และเจ้าเงาดำนั่นก็ใช้อาวุธต่างๆสังหารชาวบ้านตายทีละคนๆจนกระทั่งเหลือเพียงเจ้าขวดที่หมอบตัวสั่นงันงกอยู่หลังต้นไม้ ขณะรอบๆกายเต็มไปด้วยซากศพของชาวบ้านที่ร่วมทางกันมา ส่วนร่างของผู้ใหญ่บ้านถูกแขวนไว้ด้วยอวนในสภาพแขนขาหักคอพับตาเหลือกขาวอยู่ในอวนที่รัดแน่นจนเส้นเอ็นฝังเข้าไปในเนื้อ
“มันเป็นพวกเอเลี่ยนจริงๆ มันโหดร้ายกว่าที่คิดเอาไว้มาก พะ..พวกมันฆ่าพวกเราทำไม อะ..ฮื่อๆๆ”
ซวบๆๆๆ
“…..!!!……”
เจ้าขวดชะงักความคิดเมื่อได้ยินเสียงย่ำเท้าหนักๆตรงมายังที่มันที่แอบอยู่ มันเห็นเงารางๆเป็นร่างกำยำสูงใหญ่ประมาณ ๒ เมตร ร่างนั้นเดินมาหยุดตรงเบื้องหน้าของมัน มือข้างหนึ่งขยับพร้อมมีใบมีดคมกริบสองใบยื่นออกมา เจ้าขวดมองคมขาววาบวับอย่างสยองใจ มันเตรียมอ้าปากจะส่งเสียงหวีดร้องด้วยความหวาดกลัว แต่ทว่าไม่มีเสียงใดๆเล็ดรอดออกมาจากลำคอได้ จวบจนคมมีดสองใบถูกกระซวกแทงมายังพุงของมันพร้อมๆกับยกร่างของมันลอยขึ้นอย่างง่ายดาย
“อึ้กๆๆ อ้ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก”
เสียงของเจ้าขวดกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังโหยหวนก้องไปทั้งป่า มันดิ้นอย่างทุรนทุราย เลือดสดๆไหลออกมาจากบาดแผลและปากราวท่อประปาแตก ร่างของมันกระตุกอยู่ไม่กี่ทีก็สงบนิ่งไปเมื่อลมหายใจสุดท้ายปลิดปลิวออกจากร่างขณะถูกยกลอยอยู่กลางอากาศด้วยอาวุธมีคมจากร่างลึกลับเลือนรางนั่น เจ้าขวดมือตกตีนตกสิ้นใจอย่างทารุณโหดร้ายท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมากระทบร่าง เมื่ออาวุธใบมีดถูกเก็บร่างไร้วิญญาณของมันก็หล่นลงมากองกับพื้น……..
<>::<>::<><>::<>::<><>::<>::<><>::<>::<>
แก่งกระจาน พิกัด GPS : ละติจูด: 12.911198 ลองจิจูด: 99.64102
หวอๆๆๆ
รถตำรวจ รถทหาร พร้อมรถพยาบาลครบทีมวิ่งเข้าจอดอยู่ทางเข้าป่าใกล้หมู่บ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบกางสายกั้นไม่ให้ชาวบ้านเข้า บรรดานายทหารหน้าตาขรึมนับร้อยกระจายเข้าควบคุมพื้นที่ถือปืนแข็งขัน ชาวบ้านและนักข่าวต่างยืนออกันหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านเพื่อรอเข้าไปดูหรือทำข่าวเหตุการณ์เครื่องบินตก ร่างของชาวบ้านที่เข้าไปสำรวจก่อนหน้าและเสียชีวิตถูกห่อด้วยผ้าขาวลำเลียงออกมาจากป่า และถูกนำขึ้นรถพยาบาลขับออกไปโดยไม่ให้ญาติๆได้เห็น จึงทำให้เกิดข่าวลือต่างๆนานาตามมา เมื่อทางการกำลังปกปิดความจริงบางอย่าง
บรรดานักข่าวจากทุกสำนักก็ไม่ได้รับรายละเอียดใดๆเนื่องจากยังไม่มีการแถลงข่าว คงมีเพียงเสียงซุบซิบจากชาวบ้านเป็นข้อมูลดิบให้เสนอข่าว และพูดกันเป็นตุเป็นตะว่าบรรดาชาวบ้านที่เข้าไปสำรวจแล้วเสียชีวิตถูกฆ่าโดยการควักเครื่องในหน้าท้องออกไป บ้างก็ว่าเป็นฝีมือเสือ แต่ที่ลงความเห็นกันมากที่สุดคือ เป็นฝีมือของสิ่งที่เรียกว่า ‘ ผีปอบ’ ที่อาศัยอยู่ในพงไพร มันหิวโหยจึงออกมาล่ามนุษย์ที่พลัดหลงเข้าไปและจับกินเป็นอาหาร
“ชัดเลยๆๆ สภาพศพแบบนี้มันเป็นฝีมือของปอบแน่นอน หมู่บ้านเราไม่เคยมีปอบอาละวาดมานานแล้ว กูว่ามันต้องเป็นปอบมาจากที่อื่นแน่ๆ แต่เล่นฆ่ากันยกกลุ่มตายรวดเดียว ๑๕ ศพแบบนี้ แสดงว่าปอบพวกนี้มันโหดจริงๆ”
‘เฒ่าดอน’ ขี้เหล้าประจำหมู่บ้านตั้งข้อสันนิษฐานให้ชาวบ้านที่ยืนออกันฟัง โดยหารู้ไม่ว่าท้ายกลุ่มชาวบ้าน มีชาวบ้านเป็นชายชราหนึ่งและหนึ่งหนุ่มเฝ้ามองการบอกเล่าของเฒ่าดอนด้วยสายตาเขม็ง เหมือนพวกเขาตั้งใจจะฟังเพื่อหาความจริงบางอย่าง
“โชคดีของกูนะ ที่วันนั้นเมาหนัก ตามผู้ใหญ่ไปไม่ไหว ไม่อย่างงั้นกูคงเป็นเหยื่อของมันด้วย”
“แล้วแกเห็นศพของพวกผู้ใหญ่กับตาหรอ ถึงสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือของปอบ” ชาวบ้านคนหนึ่งถาม
“กูไม่เห็นหรอก แต่ฟังๆจากพวกเข้าไปเก็บศพมันเล่าให้ฟัง สภาพแต่ละคนถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม แขนขาขาดกระจัดกระจาย เครื่องในถูกล้วง บางศพถูกกินกะโหลกด้วย บราๆๆๆ” เฒ่าดอนสาธยายแบบฟังมาสิบเล่าเสริมเติมแต่งเป็นร้อยจนชาวบ้านฟังแล้วพากันขนลุกขนพองด้วยความหวาดกลัว
“ต้องใช่มันแน่ๆ” ชายหนุ่มเอ่ยบอกชายที่สูงอายุกว่า หลังจากฟังเฒ่าดอนโม้จนน้ำลายแตกฟอง
“ถ้าอย่างงั้น คืนนี้เตรียมตัวไปล่ามันกัน” ชายอาวุโสบอกเสียงเฉียบ
ทั้งสองปรึกษากันเสร็จก็พากันเดินแยกไปจากกลุ่มชาวบ้าน ขณะนักข่าวก็เข้ามาขอสัมภาษณ์เฒ่าดอน ซึ่งแกก็จ้อหน้าไมค์คุยฟุ้งเป็นคุ้งเป็นแคว
.
.
.
“เปลี่ยนๆ วิหคดำ แบล็ค เบิร์ด อัลฟ่า รายงานตัวครับ ผมหมวดวิทวัท เสนาพหล หัวหน้าทีมภารกิจครั้งนี้ครับ ครับๆ ขณะนี้กองพิสูจน์หลักฐานกำลังตรวจพิสูจน์อยู่ ไม่มีอะไรร้ายแรงครับ เราควบคุมได้ เพียงแต่ภารกิจครั้งนี้ ผมต้องการอาวุธระดับ X4 ครับ! อ้อๆๆ ครับๆๆ ขอบคุณครับท่าน….”
หมวดวิทวัท เสนาพหล วางสายโทรศัพท์ ร่างสูงใหญ่สมชายชาติทหารนั่งลงบนเก้าอี้ เบื้องหน้ามีทหารร่างกำยำท่าทางเชี่ยวชาญสมรภูมิและมากประสบการณ์อยู่ห้า – หกนาย แต่ละคนล้วนแล้วแต่สายตาแข็งกร้าวดุดัน บ่งบอกถึงคุณภาพว่าชีวิตผ่านประสบการณ์มามากมาย
“เอาล่ะ ที่เราทุกคนมาในวันนี้ ทุกๆคนคงรู้สถานการณ์กันดีอยู่แล้ว ผมพอจะสรุปการทำงานดังนี้ เราจะทิ้งหน่วยพิสูจน์หลักฐานไว้ที่นี่ ส่วนพวกเราจะแยกออกไปเพื่อไล่ล่าไอ้สิ่งที่ฆ่าคนในหมู่บ้านนี้อันเป็นภัยต่อ ความมั่นคงของชาติ ใครมีคำถามอะไรมั้ย?” หมวดวิทวัทเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้มๆ
หนึ่งในกลุ่มยกมือขึ้นถามทันที
“อาวุธของพวกเรามีอะไรมั่งครับ หัวหน้า!??”
หมวดวิทวัท มองหน้า จ่าชาตรี ขาเก๋าประจำหน่วยซึ่งเป็นผู้กล่าวถาม
“บ่ายนี้ ฮ.จะลำเลียง X4 มาให้พวกเรา หลังจัดเตรียมสัมภาระเสร็จ เราจะเดินทางไปทางหุบเสือเผ่น คาดว่าใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง และเราจะตั้งแคมป์ได้ก่อนมืด ถ้่าทราบแล้วก็ไปตระเตรียมข้าวของกันได้ ปฏิบัติการณืครั้งนี้ ทุกคนคงจะทราบจากรายงานที่ส่งให้อ่านแล้ว ใครไม่พร้อมและถอนตัวบอกได้”
ไม่มีใครในกลุ่มปฏิเสธภารกิจนี้ หมวดวิทวัทจึงสรุป
“แยกย้ายกันไปพักผ่อน แล้วมาเจอกันตามเวลานัดหมาย ห้ามเลทเด็ดขาด!”
“รับทราบครับ!!!” ทุกคนขานรับอย่างเข้มแข็ง
<>::<>::<><>::<>::<><>::<>::<><>::<>::<>
สองชั่วโมงต่อมาเมื่อเครื่องบินลำเลียงนำอาวุธมาถึง เหล่าทหารในหน่วยต่างตะลึง เพราะอาวุธที่ขนมาล้วนแต่เป็นอาวุธที่เคยเห็นแต่ในหนังสือไม่คิดว่าจะได้ใช้ จริงๆในงานนี้ แต่พวกเขาก็รู้ว่างานนี้อันตรายเพียงใด ถ้าไม่ขนอาวุธแบบนี้อาจเอาไอ้ตัวที่ฆ่าชาวบ้านไม่อยู่ เมื่อแจกจ่ายอาวุธให้ทุกคนตามถนัดก็มีการแจกแจงหน้าที่ต่างๆ จากนั้นก็ขึ้นนั่งรถยีเอ็มซีไปลงยังชายป่า บริเวณทางเข้ายังจอแจไปด้วยนักข่าวและชาวบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเฝ้ากันเข้าเขตหวงห้ามคนอย่างแข็งขัน เมื่อรถวิ่งเข้าไปจอดภายในเขตกั้น บรรดาทีมทหารพร้อมอาวุธครบมือก็เข้ารายงานตัวนายทหารควบคุมพื้นที่ก่อนจะออกเดินทางเข้าไปในป่า ท่ามกลางความสงสัยของชาวบ้านและนักข่าว
เมื่อแบ่งแยกหน้าที่กันเสร็จสรรพหมวดวิทวัทสะพายเป้ตรวจดูความพร้อมของอาวุธ เขาก็เดินนำทีมอีกหกคนตะลุยฝ่าป่าดงดิบเข้าไป ความรู้สึกเหมือนเดินเข้าไปสู่ปากแห่งมัจจุราชทมิฬ
หลังจากเดินขึ้นเขาตัดผ่านดงไผ่ที่ขึ้นเป็นแนวยาว ก็เข้าสู่เขตป่าดินดำ มีแต่ต้นไม้ขนาดสามคนโอบ บ่งบอกว่ายังเป็นป่าสมบูรณ์ไม่ถูกบุกรุกแผ่วถาง เสียงนกป่าส่งเสียงร้องดังมาเป็นระยะๆ สัตว์ป่าหาดูยากอย่างกวาง เลียงผา ลิง มีให้เห็นตลอดเส้นทางที่ผ่าน กระทั่งหมวดวิทวัทส่งสัญญาณให้หยุดเมื่อพบสิ่งผิดปรกติ จ่าเชิดผู้ชำนาญการแกะรอยรีบวิ่งมาก้มลงดูรอยเท้า แกหยิบเข็มทิศขึ้นมาดู เมื่อคำนวณจนแน่ใจจึงกล่าวกับผู้บังคับบัญชาว่า
“เรามาถูกทางแล้วครับผู้หมวด เส้นทางนี้ตรงไปยังจุดฮอตก แต่ต้องระวังตัวกันหน่อย คืนนี้ผมว่าเราพักบนผาเสือร้องตรงนั้นดีกว่า ชัยภูมิดีเหมาะกับการตั้งรับ ตอนนี้ใกล้ห้าโมงแล้ว เราล่าพวกมันไม่ได้แน่ หลังพระอาทิตย์ตกพวกมันจะได้เปรียบ”
เมื่อฟังคำแนะนำที่มีเหตุผล หมวดวิทวัทพยักหน้าเห็นด้วย
“เอาตามที่จ่าบอก ตกลงพวกเราจะตั้งแคมป์บนผาเสือดำกัน”
“รับทราบ!!!” ทุกคนขานรับพร้อมเพียง
ราวสองชั่วโมงที่เดินทางกันมาจนถึงจุดพัก ทั้งหมดแยกย้ายกันไปตั้งค่ายพักแรมเพราะเริ่มจะมืดและอากาศเย็นตัวลง ไม่ปลอดภัยกับการเดินทาง ทุกคนเหนื่อยอ่อนจากการต้องเดินขึ้นเขา ปีนข้ามเนินและลำธารเพื่อจะไปให้ถึง ทหารกล้าทั้งเจ็ดตั้งแคมบนลานหิน คืนนั้นแสงจันทร์สาดส่องพอมองเห็นลางๆท่ามกลางบรรยากาศเย็นยะเยือกมองเห็นต้นไม้มีแต่เงามืด ยามลมพัดมากิ่งก้านไหวเอนเหมือนเหล่าภูตผีกำลังเต้นระบำรอบๆกาย ทั้งเจ็ดนั่งล้อมกองไฟเพื่อทานเสบียงมื้อค่ำ
“สาธุเจ้าป่าเจ้าเขา ถ้าลูกรอดคืนนี้ไปได้กลับไปจะถวายหัวหมู”
จ่าพงษ์ ทหารหนุ่มที่เพิ่งประจำการ อาราธนาพระเครื่องพวงใหญ่ในมือ สวดมนต์เสียงดังสั่นๆ
และกิริยานั้นทำให้จ่าแหวงหัวเราะหึๆ เอ่ยแซวว่า “เฮ้ย…ไอ้พงษ์ ถ้าเอ็งกลัวขนาดนี้จะมาเข้าหน่วยหาห่าอะไรวะ ตอนลุยกับกะเหรี่ยงที่มันขนยา กูเห็นมึงเป่าหัวพวกมันยังกับใบไม้ร่วง ไม่เห็นกลัวผีจนขี้ขึ้นสมองอย่างนี้”
“โธ่ จ่าแหวง จ่าก็รู้นี่ว่าไอ้ที่เรากำลังตามล่าอยู่เนี่ย มันไม่ใช่คน มันเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ เป็นผะ ผีปอบหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ ถ้าคนธรรมดาผมไม่กลัวหรอก แต่คืนนี้ …เกิดมันโผล่มาล่ะก็ บรื๋อ นะโม พุทโธ ธรรมโม สังโค….”
“เออๆ เอ็งกลัวก็กลัวไปเถอะ”จ่าย้อยยกปืนคู่มือขึ้นมาเอาผ้าเช็ดทำความสะอาดอย่างถนอม “ข้าเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า….ระหว่างผีปอบที่ชาวบ้านลือ กับบะช่อชวนชิมของใหม่ล่าสุดจากสมิท คอมปาณีกระบอกเนี่ย ใครจะเจ๋งกว่ากัน ขอให้โผล่มาเถอะ กูจะยิงให้หัวกระจุยเลย คอยดู!”
จ่าพงษ์สวดมนตร์เสร็จเอ่ยถามจ่าแหวง “แล้วจ่าว่ามันเป็นตัวอะไร เขาว่าผีมันไม่กลัวปืนนะ”
จ่าแหวงหยุดเช็ดปืนทำหน้าขรึม แกยกบุหรี่ในมือขึ้นมาอัดควันโขมง ก่อนจะมาเป็นทหารนั้น แกเป็นพรานป่าล่าสัตว์มือฉมัง จึงมีความรู้เรื่องป่ามากพอดู หลังจากตรึกตรองอยู่พักก็เอ่ยบอกตามประสบการณ์เดินป่าของตัวเอง
“ทีแรกข้าก็อยากสันนิษฐานว่ามันเป็นเสือนะ แต่ว่ามันมีรอยเล็บห้ารอย ไม่น่าจะใช่เสือ ระยะห่างของนิ้วเท้า มันกางเหมือนนิ้วมือของคน และเป็นรอยเท้าที่ใหญ่มาก ถ้าเป็นคนน่าจะสูงประมาณ ๒ เมตรกว่าๆ”
“นั่นไง เสือสมิงแน่ๆ เขาว่ามันสามารถแปลงร่างเป็นคนได้ด้วย นี่พวกเรามาล่าเสือสมิงใช่มั๊ย?!”
“ปัดติโธ่ ไอ้ห่าพงษ์ คนยิ่งเครียดๆ เสือกวกเข้าหาแต่เรื่องผีๆสางๆ มึงจะคุยไปไกลๆหน่อยไม่ได้หรือไงวะ?!”
จ่าเข็ม คนที่พูดน้อยที่สุดในกลุ่มยังอดพูดแทรกไม่ได้ เพราะทนรำคาญความกลัวผีของจ่าพงษ์ จ่ารุ่นน้องไม่ไหว
“จะตัวไรก็ช่างแม่งเหอะ มาพ่อจะเป่าให้ดิ้น” จากนั้นก็ลุกขึ้นเล็งปืนไปหลังต้นไม้ “ เฮ้ย ใครวะ!?” จ่าแหวงยกปืนขึ้นประทับปลดเชฟเตรียมพร้อมยิง สัญชาตญาณจากการลาดตระเวนและร่วมรบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หลายปีทำให้ประสาทของแกไวมาก เพียงได้ยินเสียงเบาๆ ก็รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติ
“พวกมึงรีบออกมาจากหลังต้นไม้เร็วๆ ไม่อย่างงั้นกูยิงไส้แตกแน่ๆ เร็วๆ!!!”
ทหารชำนาญการรบทั้งเจ็ดรีบยกอาวุธประจำกายเล็งเตรียมพร้อมยิง และกระชับพื้นที่รายล้อมต้นไม้ ท่ามกลางความตึงเครียดขณะเงาร่างหลังต้นไม้ค่อยๆขยับช้าๆ และปรากฏตัวออกมาจากเงามืด เป็นชายชาวบ้านคาดผ้าขะม้าบนศีรษะสองคน คนหนึ่งอายุประมาณ ๕๐ ปี อีกคนเป็นหนุ่มอายุราวๆ ๒๐ ปีต้นๆ ทั้งสองใส่ชุดม้อฮ้อมสีน้ำเงินเข้มสะพายย่ามเก่าๆ มีปืนแก็ปและเหน็บมีดสั้นไว้ที่เอว ทั้งสองยกมือไหว้ประหลกๆ
“ยะ..อย่ายิงผมนะนาย..พะ..พวกผมเอง คนที่ยืนดูพวกนายตอนลงจากรถทหาร”
“แล้วพวกแกเป็นใคร แอบตามพวกเรามาทำไม” จ่าแหวงตวาดเสียงดัง
ชายอายุ ๕๐ กว่าๆยกมือไหว้ท่วมหัว ระล่ำระลักบอกตัวสั่น
“พวกผมมาหาของป่า พอดีกลับบ้านไม่ทันก่อนฟ้ามืด เห็นพวกนายสุมไฟกันอยู่ เลยว่าจะมาขออาศัยนอนด้วยสักคืน พอฟ้าสว่างก็จะรีบกลับเข้าหมู่บ้านครับ”
หมวดวิทวัทกวาดสายตามองทั้งสองที่อ้างเป็นชาวบ้านหาของป่าแล้วยิ้มเยาะ
เขากระชากปืนพกขึ้นไกจ่อที่ขมับของชายวัย ๕๐ กว่าๆพลางตวาดเสียงดัง
“โกหกละ!!!” ปลายกระบอกปืนถูกกดเข้าที่ขมับจนเนื้อยุบ “ที่นี่ห่างจากหมู่บ้านแค่สามชั่วโมง ไม่มีทางที่พรานป่าอย่างลุงจะกลับไม่ถึงหมู่บ้าน มันเป็นปากทางเข้าป่าลึก หนทางก็ไม่ได้รกอะไรมากมาย บอกมาดีๆดีกว่าว่าลุงมาทำไม ลุงสะกดรอยตามพวกเราใช่มั้ย?!”
“………….” เมื่อเห็นท่าทีขึงขังของทหาร ทำเอาชายแก่เริ่มเหงื่อตก
“บอกมาดีๆ ว่าลุงกับไอ้หนุ่มนี่ลอบติดตามพวกเรามา แล้วตามมาเพื่ออะไร?!”
“บอกมาเร็วๆ พวกเราเป็นหน่วยพิเศษ มีสิทธิ์ฆ่าคนต้องสงสัยโดยไม่มีความผิดนะ” จ่าแหวงกระชากเสียงขู่
“ยอมแล้วๆยอมแล้วครับนาย พวกผมตามนายมาจริงๆแหละ แต่ว่าพวกเราไม่มีจุดประสงค์ร้าย”
ในที่สุดทั้งสองก็ยอมเปิดปากสารภาพ เมื่อเห็นบรรดาทหารทั้งเจ็ดนายเอาจริง
“แล้วลุงกับไอ้หนุ่มลอบตามพวกเรามาทำไม บอกมาดีๆนะ อย่าเล่นลิ้น สถานการณ์อย่างนี้เราวางใจใครไม่ได้”
ชายชรายอมเปิดปากสารภาพทันที “คือพวกเรามาตามล่าไอ้ตัวประหลาดนั่นด้วย พวกมันฆ่าคนในหมู่บ้านของเราไป ๑๕ คน มีลูกชายของผมสองคนรวมทั้งพ่อของไอ้แก้วคนที่ตามผมมานั่นแหละ ผมจึงต้องตามมาล้างแค้นพวกมันที่มันบังอาจมาพรากคนที่รักของพวกเราไป ขอผมร่วมทางไปตามล่ามันด้วยเถอะนะครับ ผมอยากจะฆ่ามันด้วยมือของผมเอง ลูกชายคนโตของผมกำลังจะเรียนจบมหา’ลัย ไอ้ลูกคนที่สองกำลังจะจบมอหก มันตั้งใจจะสอบเข้าเตรียมทหาร แต่ว่า ฮะ..ฮื่อ.อ.อออ…ถูกพวกมันฆ่า…โธ่..ลูกพ่อ….ไม่น่ามาอายุสั้นเลย”
ทหารกล้าทั้งเจ็ดเห็นลุงแกสะอื้นร่ำไห้ด้วยความคับแค้นใจ ก็รู้สึกเห็นใจ ลดปืนในมือลงและช่วยปลอบใจ
“ลุงกับไอ้หนุ่มนี่กลับไปเถอะนะ อย่าเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่เลย ขนาดพวกผมอาวุธครบมือ ยังไม่แน่ใจเลยว่าจะรอดกลับไปได้ไหม แล้วลุงกับไอ้หนุ่มนั่นมีแค่ปืนแก๊ป…กลับไปรอฟังข่าวที่บ้านเถอะ”
แต่ลุงแกกลับยืนยันเสียงแข็ง “ผมไม่กลับครับนาย ผมพร้อมจะสู้ตายกับมัน ลูกชายของผมตายหมดแล้ว ผมก็ตัวคนเดียว ถึงจะต้องตายก็ไม่หวั่น เพราะผมไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ขอแค่ล้างแค้นพวกมันได้ จะให้พวกเราทำอะไรก็ได้ นะนาย ผมขอร้องล่ะ ขออยู่ตามล่ามันด้วยคน”
“ผมด้วยครับ ขอตามล่าล้างแค้นมันให้พ่อผมด้วย อย่าไล่ผมกลับเลยนะครับ”
เมื่อทั้งสองยืนยันจะขออยู่ร่วมล่าฆาตกรลึกลับเสียงแข็งด้วยเหตุผลน่าเห็นใจ ทหารทั้งเจ็ดต่างมองหน้าและปรึกษากันเบาๆ จนในที่สุดก็ได้ข้อสรุป หมวดวิทวัทมายืนคุยกับทั้งสอง
“พวกเราตกลงจะให้ลุงกับไอ้หนุ่มนี่ไปด้วยก็ได้ แต่ต้องดูแลดูตัวเองนะ ผมไม่รับผิดชอบความปลอดภัยใดๆของลุงกับไอ้หนุ่มนี่ บอกตรงๆว่าไอ้ตัวที่เรามาตามล่า เราก็ยังไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร คน ผี หรือสัตว์”
ทั้งสองดีใจจนออกนอกหน้า ยกมือไหว้ขอบคุณกันใหญ่
“ครับๆ พวกผมดูแลตัวเองได้ ขอบพระคุณนายมากครับ”
หลังจากนั้นทั้งเจ็ดและแขกแปลกหน้าทั้งสองต่างกระจายกันนอนในเต็นท์ แสงจันทร์ค่อยๆลอยขึ้นจากยอดเขาจนเริ่มส่องสว่างทั่วผืนป่า เสียงคำรามของสัตว์ร้ายดังก้องในไพรทมิฬ จ่าเข็มรับหน้าที่เฝ้ายามคนแรก เขากระชับปืนในมือมั่นสอดส่ายสายตาดูสิ่งผิดปรกติรอบๆที่พักอย่างละเอียด เนื่องจากรู้ดีจะไว้วางใจอะไรไม่ได้ บรรยากาศหนาวเย็นขึ้นเรื่อยๆเมื่อดึกสงัด จ่าเข็มรู้สึกถึงเค้าลางแห่งความตายอบอวลไปด้วยสาปสางแห่งสัตว์ป่า ปืนในมือติดไฟฉายส่องส่ายไปทันทีเมื่อแว่วเสียงผิดปรกติ แต่จนแล้วจนรอดสิ่งที่เขาหวาดระแวงก็ยังไม่ปรากฏ
.
.
.
เที่ยงคืน ดึกสงัดกำดัดยามน้ำค้างลงเปาะแปะๆ เสียงลมหวีดหวิวท่ามกลางอากาศหนาวเย็นในป่าใหญ่ที่มีภูเขาโอบล้อมจากทุกทิศ ดวงจันทร์คืนนี้มีสีแดงเหมือนฉาบด้วยโลหิต หมวดวิทวัทกำลังนอนหลับสนิทอยู่ในเต็นท์ ปรากฏว่ามีมือลึกลับเอื้อมไปแตะแขนของเขาพลางเขย่าเบาๆพร้อมเสียงเรียก
“นายๆๆ”
หมวดวิทวัทงัวเงียลืมตาตื่นขึ้น เห็นลุงที่มาขอร่วมกลุ่มเป็นคนปลุก
“ฮื่อ…ลุงเองหรือ มีอะไรเหรอ?”
“นายรีบตื่นเถอะ บอกทุกคนด้วย พวกมันมากันแล้ว”
“พวกมัน พวกไหนเหรอ?”
“พวกมัน! พวกที่ฆ่าคนในหมู่บ้านไง พวกมันค่อยๆตีวงล้อมพวกเราเข้ามาแล้ว อีกไม่กี่อึดใจพวกมันคงเข้ามาหาเรา รีบๆปลุกคนอื่นเถอะ…”
“ลุงรู้ได้อย่างไง?”หมวดวิทวัทไม่วายสงสัย
“ผมเคยเห็นพวกมัน พวกมันสามารถพรางตัวได้ ตอนแรกผมคิดว่าผี แต่ก็ไม่ใช่ อาวุธของมันอันตรายมาก”
“เอ…ลุงเพี้ยนไปหรือเปล่า?”
“เชื่อผมเถอะนาย ผมคือคนที่รอดมาจากคนเคราะห์ร้ายสิบห้าคนนั่น มันไม่ฆ่าผม มันปล่อยผมมา”
“อื่อ…ผมจะลองเชื่อลุงดู” หมวดวิทวัทตรองอยู่ครู่ “แต่ถ้าทั้งหมดลุงหลอกผม พรุ่งนี้ลุงต้องออกจากกลุ่มไป”
“ครับนาย”
หลังจากนั้นหมวดวิทวัทก็ปลุกลูกทีมทุกคนขึ้นมาเตรียมพร้อม เพื่อจะมาเผชิญหน้ากับศัตรูที่กำลังจะเข้ามาโดยไม่อาจจะรู้ได้ว่าคือตัวอะไร แต่เมื่อมีศัตรูเข้ามาหาก็ต้องตั้งรับทุกรูปแบบ หมวดวิทวัทวางแผนกระจายกำลังพลซุ่มอยู่ ด้านนอกลุงพรานและเด็กหนุ่มกำลังก้มหมอบมองดูจุดที่แกเอ่ยเตือนว่าศัตรูกำลังจะเข้ามา เวลาเคลื่อนไปช้าๆท่ามกลางความระทึกใจของบรรดาทหารหาญ แต่ก็มีเพียงความเงียบของพงไพร เงียบจนน่าอึดอัด
หมวดวิทวัทคลานเข้าไปหาลุงพรานใกล้ๆ “ไหนละลุง มันอยู่ตรงไหน?”
“อยู่ตรงนั้นไง นายเห็นไหม?”
ลุงพรานชี้ไปในแนวป่าที่มีแต่ความมืดเบื้องหน้า หมวดวิทวัทมองตามนิ้วมือชี้ก็เห็นมีแต่ความมืดในป่า
“ไม่เห็นมีอะไร ลุง…นี่ลุงล้อพวกเราเล่นใช่มั๊ย..!?!.”
“ไม่ได้ล้อเล่นหรอกนาย พวกมันคือพรานเหมือนกัน” ลุงพรานกล่าวต่อว่า “พวกมันฉลาด เร็ว ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร มันเหมือนคนแต่ไม่ใช่คน และก็ไม่เหมือนสัตว์ทั่วๆไป มันเหมือนกิ้งก่ายักษ์ พลางตัวได้ แล้วค่อยต้อนพวกเราก่อนจะฆ่าทีละคนๆจนกระทั่งหมด”
“อะไรนะ?”หมวดวิทวัทอุทาน “กิ้งก่ายักษ์! เป็นไปได้เหรอว่าจะมีใครเอามังกรโคโดโมโดมาปล่อย”
“ไม่รู้สินาย….” ลุงพรานกล่าวเสียงเยือกเย็น “ แต่ว่า….นั่นไง มันมากันแล้ว….”
ลุงพรานพูดไม่ทันขาดคำ กิ่งไม้ใหญ่เบื้องหน้าก็ยุบยวบราวถูกคนตัวใหญ่ๆเหยียบไว้ เสียงร่างใหญ่ๆลงเหยียบพื้นเบื้องหน้า มีเงารางๆให้เห็นท่ามกลางแสงจันทร์วูบวาบๆ นายทหารทั้งเจ็ดและพรานชาวบ้านสองคนตาเบิกกว้าง อ้าปากค้างมองร่างเลือนรางๆที่กำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
จ่าเข็มที่ตั้งสติได้ยกปืนเล็งไปที่เงาร่างนั้น และดวงตาสีเขียวก็จ้องมองกลับมาที่เขาราวล่วงรู้ว่าซุ่มอยู่
‘ฮู่มมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมมม……’
เสียงคำรามที่ไม่เคยได้ยินจากสัตว์ชนิดใดดังมา คนได้ยินถึงใจสั่นเต้นแรงต่ออานุภาพคลื่นเสียงเขย่าขวัญ
“….กรรรรร์….กะๆๆๆ…กรรรรรรร์….ฮู่มมมมมมมมมมม……”
หมวดวิทวัทถึงกลับผงะ หัวใจเต้นแรง แม้จะเคยมีประสบการณ์รบโชกโชน ผ่านห้วงความเป็นตายมานับไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยเจออะไรที่แปลกประหลาดอย่างนี้มาก่อน
“ตัวห่าอะไรวะ!” หมวดวิทวัทสบถออกมาอย่างลืมตัว
“เอายังไงดีครับหมวด” จ่าแหวงที่หมอบอยู่ข้างๆเอ่ยถาม “มะ..มันเป็นตัวอะไร”
“ไม่รู้โว้ย ยิงแม่งเลย!!!”
“….กร็อด…กี้ด…กะ…กี้ด.ด.ด.ด..ด.ด…..”
“ยิง!”
เปรี้ง ๆๆ เปรี้ยงๆๆ เปรี้ยงๆๆ
เปรี้ยงๆๆ เปรี้ยงๆๆ เปรี้ยง ๆๆ เปรี้ยงๆๆ เปรี้ยงๆๆ
เปรี้ยง ๆๆ เปรี้ยงๆๆ เปรี้ยงๆๆ
“…..แจ๊ซ..จี้ดๆๆ….กี๊ซซซซซซซซซซซซ…………”
เสียงอาวุธสังหารที่ทันสมัยคำรามลั่นป่า คมกระสุนพุ่งผ่านเป่าหมายไปโดนต้นไม้ใบหญ้าขาดกระจุย
ร่างลึกลับคำรามแล้วกระโจนหายไปในความมืด พร้อมเสียงร้องอันเจ็บปวด
“ตัวห่าอะไรวะ มันหนีไปทางนั้นแล้ว”
“ไม่รู้เว้ย สงสัยเป็นผีปอบของมึงมั้ง ไอ้เชิด”
“ตามมันไป มันหนีไปทางนั้นแล้ว สงสัยมันจะถูกยิง”
หมวดวิทวัทวิ่งตามหลังไปร้องเตือน “จ่าอย่าผลีผลาม จ่าแหวง ใช้ระเบิดแสงนำทาง”
“ได้ครับหมวด มึงจะหนีไปไหน ไอ้ระยำ”
จ่าแหวงคว้าระเบิดแสงมาแกะสลักและโยนไปยังจุดไอ้ตัวลึกลับกระโดดหนีไป
ฝุ่บบบบบบบบบบบ……………..
แสงสว่างจ้าบังเกิดขึ้นทำให้ทั้งบริเวณนั้นสว่างประดุจกลางวัน กลุ่มทหารและพรานป่ารีบตามไปในจุดที่เงาร่างนั้นหลบหายไป แต่ก็ไม่พบเห็นแม้แต่เงาของมัน ราวกับมันล่องหนหายตัวไปได้ จ่าแหวงมองที่พื้นเห็นกองของเหลวสีเขียวเรืองแสง แกนั่งยองๆใช้นิ้วแตะๆแล้วเอาขึ้นมาดูอย่างพิศวง หยดของเหลวสีเขียวเป็นทางเข้ามาจากแนวป่า คิ้วของแกกระตุกหงึกๆเมื่อรู้สึกมีของเหนียวๆอุ่นๆหยดใส่โหนกแก้ม แกเอามือแตะมาดูก็เห็นเป็นของเหลวเรืองแสง มันหยดมาจากข้างบนจึงเงยหน้าตามขึ้นไปดู จ่าแหวงอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างเลือนรางดวงตาสีเขียวจ้องมาที่แก
“มะ…..มัน…..”
ฟิ้ววววว………………..
บรึ้ม!
อ้ากกกกกกกกก….
จ่าแหวงไม่ทันได้อ้าปากพูด แสงสีส้มพุ่งมาจากเงาร่างนั้น ปะทะเข้าที่หน้าอก เกิดการระเบิดและทะลุออกหลังพร้อมๆเศษเนื้อและเลือดกระเซ็นไปเลอะต้นไม้ด้านหลัง ร่างของแกหงายท้องนอนตาเหลือกอ้าปากค้าง
“ตะ… ตัวบ้าอะไรวะ!?!”
“มันอยู่ข้างบน” เสียงหมวดวิทวัทตะโกนบอก
“จะห่าเหวอะไรก็ช่างแม่งเหอะ ไอ้สัตว์นรก มึงแดกนี่เถอะ”
จ่าช้างยกเครื่องยิงระเบิดประทับบ่า กดกริ๊ก ลูกระเบิดแหวกอากาศเป็นลูกไฟไปปะทะกับกิ่งไม้ที่เห็นร่างนั้น มันยังกระโดดหนีไปได้ แต่จ่าช้างไม่ยอมให้มันตั้งตัว เขาระดมยิงอย่างมันมือและโกรธแค้นที่มันสังหารจ่าแหวงบัดดี้ของเขาไปต่อหน้า ระเบิดนับสิบๆล