ศึกหมอผี ตอนที่ ๒๑

ศึกหมอผี ตอนที่ ๒๑

ศึกหมอผี ตอนที่ ๒๑
อลเวงกลางพงไพร

“ใกล้ถึงสถานีที่พักแรมแรกแล้ว หาที่จอดเหมาะๆตั้งแคมป์กันได้” หนุ่มจอมคาถาเอ่ยขึ้น

“ครับ!” พลขับตอบสั้นๆ แล้วเร่งตะบึงเหยียบคันเร่งรถจี๊ปขนาดใหญ่นั้นให้พ้นผ่านช่องว่างระหว่างหินก้อนเขื่อง สองก้อนที่วางซ้อนทับ เกยกันกันอยู่

เอี้ยดดดดดดด!!!!

เสียงล้อข้างหลังซ้ายของรถระบบขับเคลื่อนสี่ล้อฟรีกับอากาศดังเสียดแก้วหู และต่อมาคือความสะเทือนโคลงเคลงเมื่อมันลงกระทบกับพื้นดินอย่างแรง ยามเคลื่อนตัวผ่านหินก้อนนั้นมาได้ เสียงไพรรอบด้านเงียบสงัด ประดุจจะรับรู้ถึงความแปลกปลอมที่ปนเปื้อนเข้ามา นั่นคือเหล่ามนุษย์ทั้ง ๒๐ กว่าชีวิต หรีดหริ่งเรไรเงียบเสียงลงสนิท ราวกับต้องการหลีกลี้หนี
หน้าไปจากไพรกันดารอันถูกบุกรุก คงเหลือแต่เพียงเสียงเครื่องยนต์ของขบวนรถจำนวน ๓ คันที่ดังกระหึ่มป่าดังก้องสะท้อนกับแนวป่าทึบไปมาอยู่หึ่งๆ และเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของลูกหาบ บ้างเป็นบางคราวเท่านั้น

เมื่อบรรลุถึงเนินใหญ่ที่เต็มไปด้วยดินโป่งสีขาวเพราะเกล็ดเกลือจับไปทั่ว หนุ่มจอมคาถาสั่งให้ขบวนรถจอดเรียงแถวแล้วเขาก็ลงไปตรวจดูชัยภูมิเรียบร้อยแล้วและเห็นว่าถึงบริเวณนั้นไม่รกทึบมากนัก แม้จะมีโขดหินน้อยใหญ่ตั้งระเกะระกะเรียงรายอยู่โดยทั่ว แต่ก็มีที่ว่างราบเรียบกว้างใหญ่สามารถกางเต้นท์ได้หลายหลังฉากหลังที่ไกลออกไปเป็นทิวเทือกเขาสลับซับซ้อนสุดสายตา

เมื่อตกลงกันได้แล้วว่าจะตั้ง เต้นท์พักกันที่ตรงนั้น บรรดาลูกหาบทั้ง๒๐คนก็ช่วยกันขนของลงจากรถ เร่งกางเต็นท์สำหรับพักนอนในค่ำคืนแรกแห่งการเดินทาง พื้นที่สำหรับตั้งแคมป์เป็นทางด่านกักสัตว์ป่าเก่าที่มุ่งลงไปสู่โป่งนั้น โดยมีต้นไม้ใหญ่สองต้นเกิดเคียงกันเป็นคู่ ห่างออกไปไม่ถึง ๕๐ เมตร กั้นเอาไว้ เต็นท์สำหรับนายจ้างถูกกางตรงทางสามแยก คือทางหนึ่งไปสู่โป่งเกลือ อีกทางหนึ่งไปสู่ลำธารน้ำสายหนึ่งอันไหลออกมาจากหุบเขากว้างใหญ่ที่ชาวป่าเรียกว่า “หุบเสือเผ่น” ซึ่งลำธารที่ว่าอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกไม่เกิน ๓๐ เมตรจากที่พัก พรานเส่งสั่งขุดส้วมหลุมและล้อมด้วยแผ่นพลาสติกมิดชิดเป็นห้องน้ำสำหรับผู้หญิงและนายจ้างชาย ส่วนพวกลูกหาบไปปล่อยหนักเบาตามภูมิประเทศตามสะดวก

ลูกหาบต่างเร่งทำงานแข่งกับเวลา กองไฟกองใหญ่ถูกก่อไว้กลางแคมป์พักนอนก่อนมืดสนิท และอาหารที่ถูกหุงหาขึ้นก่อนที่รัตติกาลจะมาเยือนในไพรพฤกษ์อันกันดาร รอบด้านเริ่มมืดลงทุกที อาจจะเนื่องมาจากอยู่ในดงกันดารหรือเพราะเป็นฤดูหนาวก็ไม่อาจจะทราบได้ อากาศรอบด้านก็เย็นเยียบลงทุกทีตามวิสัยของป่าลึกทั่วๆไป

หนุ่มจอมคาถาเดินสำรวจพื้นที่รอบๆที่ตั้งแคมป์ หายไปกับพรานเส่งและลูกหาบคู่ใจที่รับบทบาทผู้ช่วยของเขาเพื่อทำพิธีเช่นสรวงบูชาเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา รวมทั้งเสกทรายหว่านรอบๆที่พักเพื่อป้องกันภูผีเกเรและร่ายคาถาป้องกันเขี้ยวงาอันตรายจากสัตว์ต่างๆ คงเหลือแต่เจ้าไซเมี่ยง อยู่เฝ้าแคมป์พร้อมกับลูกหาบทั้งหมดและบรรดานายจ้าง

พวกลูกหาบช่วยกันลำเลียงอาหารมื้อกลางค่ำที่จัดเตรียมมา ลงบนตะสนาม ส่วนใหญ่เป็นอาหารเหนืออันโอชะ ทั้งน้ำพริกหนุ่ม น้ำพริกอ่อง แคบหมู ไส้อั้ว แกงฮังเลย์ แกงโฮะ ยำหน่อไม้ แคบหมู และข้าวเหนียวนึ่ง ที่พวกผู้ดีมักจะร้องหาแทบทุกครั้งที่มาเยือนแดนเหนือ อาหารมื้อนี้สั่งจากภัตตาคารหรูบรรจงทำใส่กล่องสูญญากาศถนอมอาหารมาให้รับประทานกลางทาง ซึ่งหมดมื้อนี้ก็จะไม่ได้ลิ้มรสฝีมือกับข้าวจากห้องอาหารชั้นหนึ่งอีกนาน ต่อไปต้องใช้บริการอาหารกระป่องและอาหารป่าที่ล่าได้ตามรายทางและยังมี วิสกี้ น้ำแข็งและโซดาสำหรับพวกนายจ้างผู้ชาย น้ำอัดลมชนิดต่างๆสำหรับผู้หญิงซึ่งแช่อยู่ในหีบน้ำแข็งใบใหญ่ ทั้งหมดถูกนำออกมาวางไว้บริการราวภัตตาคารบ้านป่า รวมทั้งอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับประทานอาหารทั้งหมด

หลังจากบรรดานายจ้างนำสิ่งของเครื่องใช้ส่วนตัวเข้าไปเก็บในเต้นท์นอนแล้วก็มาตั้งวงดื่มสุราแกล้มอาหารที่วางเรียงรายอยู่ตรงหน้า พูดคุยสรวลเสเฮฮากันอย่างมีความสุข ในขณะที่หญิงสาวผู้ดีก็นั่งใกล้ๆรับประทานอาหารเหนืออย่างเอร็ดอร่อย นั่งฟังพวกผู้ชายพูดคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้กันไปด้วยอย่างรื่นรมย์ บรรยากาศราวมาเที่ยวป่ากันก็ไม่ปาน

“เอ…มันยังไงอยู่นา…ไอ้ไซเมี่ยง” ลูกหาบคนหนึ่งกระซิบกระซาบกับเจ้ากระเหรี่ยงรอบจัด

“ยังไง อะไรหรือวะ?” เจ้าไซเมี่ยงย้อนถาม

“ก็ที่ตั้งแคมป์น่ะซี…เอ็งไม่เห็นเรอะโน่น..” เจ้าลูกหาบชี้ทางต้นไม้ใหญ่สองต้นที่ขึ้นอยู่ข้างกันเป็นคู่ดูทะมึนในยามใกล้สนธยา “ต้นตะเคียนคู่เสียด้วยนา พ่อหมอทำไมถึงได้ผ่ามาเลือกตั้งแคมป์ตรงนี้ ไม่กลัวผีป่าผีโป่งผีป่ามันหลอกเอารึไงวะ” เจ้าลูกหาบคราง ห่อไหล่ลงอย่างสยองใจ

“ไอ้บ้าเอ้ย พ่อหมอในตำนานมาด้วยทั้งคน ผีที่ไหนจะกล้ามาหลอกวะ” เจ้าไซเมี่ยงดุใส่ทันที “ตอนนี้พ่อหมอแกกำลังไปทำพิธีป้องกันคนในแคมป์ของเรา รับรองว่าไม่มีผีสางสัตว์ป่าตัวไหนกล้าเข้ามาในเขตที่พักของเราได้ เอ็งก็รู้ว่ามนตร์หมอผีของพ่อหมอศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน อย่าเที่ยวพูดไปเชียวนา พ่อหมอได้ยินจะโกรธเอา ไป…ไปทำงานต่อได้แล้ว”

เจ้าไซเมี่ยงพูดบอกมันอย่างไม่สนใจอะไรนัก แต่เหลือบมองไปที่ต้นตะเคียนทะมึนอย่างชั่งใจ ตอนรับคำสั่งตั้งแคมป์ไม่ทันจะได้สังเกตเลย จะไปบอกพ่อหมอให้ย้ายหนีตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว จำใจต้องปากแข็งดุคนอื่นๆไปและภาวนาว่าขออย่าให้มีอะไรร้ายๆเกิดขึ้นเด็ดขาดในคืนนี้ และขอให้พ่อหมอที่นับถืออย่าคาดเดาอะไรผิดหรือเกิดร้อนวิชาอยากลองดีเลย

“ถึงยังงั้นก็เถอะ ตะเคียนคู่เชียวนะ เขาว่ามันเฮี้ยนหยอกใคร” เจ้านั้นยังจ้อไม่เลิก

เจ้าไซเมี่ยงรีบพูดขัดขึ้นทันที “เฮี้ยนแค่ไหน ข้าก็เชื่อว่าพ่อหมอเอาอยู่ ถ้าเอ็งกลัวนักก็ไปจุดธูปไหว้ขอขมา ทำแล้วจะได้สบายใจ ไม่มาพูดจาพาคนอื่นใจเสีย”
“พ่อหมอเอาอยู่ได้ก็ดีไป แต่ทำไมข้ารู้สึกเหมือนพ่อหมอท้าทายยังไงไม่รู้” เจ้าลุกหาบเถียงมา

เจ้าไซเมี่ยงสะดุดกึกในคำพูดของมัน แต่ด้วยมาดหัวหน้าลูกหาบกระเหรี่ยงมันต้องข่มความกลัวในพลังงานลึกลับเอาไว้ “ข้าเองก็รู้เหมือนเอ็งรู้นั่นแหล่ะ…แต่พวกคุณชายคุณหญิงจบมาจากเมืองนอกเมืองนา หัวสมัยใหม่ เขาจะเชื่อเรื่องอย่างนี้เหรอวะ แล้วอีกอย่าง เอ็งรู้ได้ยังไงว่าตะเคียนสองต้นนี้ จะมีอิทธิฤทธิ์ อะไรอย่างเอ็งว่า อาจะเป็นแค่ต้นไม้ธรรมดาๆ ที่ขึ้นอยู่กลางป่าเท่านั้นเอง” เจ้าไซเมี่ยงอธิบายแล้วยกเหตุผลขึ้นมากล่าวอ้าง

เจ้าลูกหาบฟังแล้วถอนใจเบาๆ สีหน้าหนักใจ “มันก็จริงอย่างที่พี่บอกมานะ…แต่เพราะหวังดีถึงเตือนพี่ ไม่กล้าบอกคนอื่นๆหรือพวกลูกหาบ แต่พี่เชื่อเถอะ ไม่ใครก็ใครต้องได้เจอกันมั่งล่ะ ดูสิ อย่างเต็นท์นอนของแม่คุณหญิงนั่นเลือกวางซะกลางทางสามแพร่ง โบราณว่าเป็นทางผีผ่าน ผีสัญจร ฉันหล่ะเป็นห่วงคุณหญิงคนสวยนั่นซะจริง ไม่รู้คืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น” เจ้าลูกหาบกะเหรี่ยงเอ่ยบอกอย่างกังวนใจแทนระคนหวาดๆ ด้วยมันเป็นคนเชื่อถือเรื่องโชคลางมากกว่าใครๆ

เจ้าไซเมี่ยงมองเต็นท์ของสาวผู้ดีแล้วลอบยิ้ม “เขาอยากตั้งตรงไหนตามใจเขา ข้าเองก็เตือนเขาแล้วนะ ว่าตรงนั้นไม่เหมาะ แต่เขาหัวเราะบอกว่ามันเป็นแค่กุศโลบายคนโบราณ เขาว่ามุมนั้นเหมาะดี ลมผ่านร่มรื่นเย็นสบายใจแถมรับสัญญาณ 4 G ได้ชัดเจนด้วย”

“อื่อ..นอกจากรับคลื่น 4 G ชัดเจน ข้าว่าจะรับคลื่นจากพวกผีป่าได้ชัดอีกด้วย”

“ไอ้เวร ปากไม่ดีแล้วนะเอ็ง แช่งเจ้านายให้เจอผีหรอ?”

“เปล่าๆไม่เจอนะดีแล้ว นี่พ่อหมอมาเขาไม่คิดจะไปเตือนหรือห้ามบ้างเลนหรอ?”

เสียงหนึ่งดังแทรกมา “ไม่ห้ามหรอกโว้ย อยากให้เจอดีซะบ้าง อาจจะพูดจาไพเราะเสนาะหูขึ้น”

“พ่อหมอ?!” กะเหรี่ยงทั้งสองหันไปเห็นร่างกำยำสะพายย่ามคาดดาบที่บ่าก็อุทานออกมา

“แต่ผมเกรงว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ง่า…” กะเหรี่ยงทั้งสองพยายามค้าน

“พวกเอ็งไม่ต้องห่วงเรื่องภูตผีร้าย ข้ารับรองว่าคอนโทรนอยู่”หนุ่มจอมคาถาบอกน้ำเสียงหนักแน่น

“แต่พ่อหมอน่าจะไปเตือนบ้างนะ ของอย่างนี้เลี่ยงๆได้ก็น่าจะเลี่ยง”

“เออ…ข้าไม่เสียเวลาไปเตือนหรอก เตือนไปเขาก็ไม่เชื่อ แค่ขอให้รู้ว่าพวกเอ็งได้เตือนเขาแล้วก็พอ”

จอมคาถาหนุ่มพูดทิ้งท้าย ก่อนผละไปสั่งงานกำกับความกับพวกลูกหาบต่อ

เวลาต่อมาในป่ากว้าง บรรยากาศรอบด้านถูกย้อมด้วยสีดำมืดแห่งรัตติกาลสมัยที่ย่างกรายเข้ามาเยือนอย่างช้าๆ ไพรกันดารรอบกายเงียบสนิท เหลือไว้แต่เสียงสนทนาของมนุษย์ ๒๐ กว่าคนกลางไพรเถื่อน และเสียงแตกปะทุของฟืนในกองไฟ ที่ดังอยู่เป็นระยะ ๆ

เป็นค่ำคืนแรกของการมานอนกลางดินกินกลางป่า บรรดาชาวผู้ดีแยกย้ายกันอยู่ในเต็นท์พักนอน ที่ถูกแวดล้อมด้วยกองไฟหลายสิบกอง และเหล่าลูกหาบที่ตั้งเต็นท์ขนาดเล็กเฉพาะนอนได้คนเดียว รอบๆ กองไฟใหญ่ใจกลาง โดยมีทั้งรถจี๊ฟดอดจ์และยีเอ็มซีจอดล้อมเป็นวงกลมไว้อย่างเป็นระเบียบอีกชั้นหนึ่ง

สาวผู้ดีและบรรดาผู้ชายอาบน้ำเสร็จแล้ว จากน้ำในถังพลาสติกใบใหญ่ที่ถูกตักมาโดยพวกลูกหาบ ซึ่งห้องอาบน้ำถูกสร้างง่ายๆแต่มิดชิด โดยหนุ่มจอมคาถาให้เหตุผลว่า ไม่ควรออกไปอาบยังลำธารโดยตรง เพราะอากาศอันอับชื้นและหนาวเย็นอาจทำให้ไม่สบายได้ ทั้งยังไม่แน่ใจในความปลอดภัยจากสรรพสัตว์ร้าย อันอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะเป็นป่าเปลี่ยวลึกอันแยกจากหมู่คณะอยู่พอสมควร

หลังจากนั้นหนุ่มจอมคาถาเดินเตร่ตรวจรอบๆที่พักไปเรื่อยๆและผ่านมาทางเต็นท์ของกลุ่มผู้ดี แลเห็นคุณชายใหญ่กำลังนั่งตรวจเช็คสภาพของปืนไรเฟิล เรมิงตัน โมเดล แอลเอส แม็กนั่มอันเป็นปืนประจำมือ แต่พอจะเดินเข้าไปหาก็แว่วเสียงถามดังขึ้น

“เอ..พ่อหมอสินเขาหายไปไหน ดนัย น้องรินเห็นบ้างไหม?” หนุ่มผู้ดีถามเปรยขึ้น พลางเหลียวไปมองน้องสาวที่นั่งไขว่ห้างอ่านหนังสืออยู่บนเตียงสนามแบบพับ มีหูฟังเสียบฟังเพลงจากไอ – โฟน เธออยู่ในชุดไนท์กาวน์แบบสบายๆ เส้นผมม้วนโลว์ ใบหน้าแปะมาร์คสีขาว ทำราวกับพักผ่อนอยู่บ้านก็ไม่ปาน

“ไม่เห็นเลยครับ ตั้งแต่ทานมื้อค่ำ” ดนัยเอ่ยกำลังนั่งเขียนบันทึกหยุดมือเงยหน้าตอบ

“น้องรินหล่ะ…เห็นเขาบ้างไหม?”

“…………..” หญิงสาวไม่ตอบเพราะกำลังฟังเพลงโปรดทางหูฟัง จึงไม่ได้ยินคำถามนั้น

“น้องริน! พี่ถามว่าเห็นพ่อหมอสินบ้างไหม?!” เสียงถามดังขึ้นกว่าเดิม

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายเมื่อได้ยินคำถาม หล่อนทำคิ้วย่นๆผ่านแผ่นมาร์ค เมื่อได้ยินเสียงตะคอกถามทะลุผ่านหูฟังและเอ่ยหาคู่อริ เสียงตอบแบบเรียบๆว่า“ไม่รู้สิคะ เห็นพวกลูกหาบบอกว่าหายไปแต่หัวค่ำแล้ว คงเดินตรวจอะไรรอบๆแคมป์กระมัง มันหน้าที่เขานี่”

หนุ่มจอมคาถาคิดว่าจะเดินเข้าไปหาแต่กลับนึกสนุกอยากฟังการพูดคุยถึงตนจึงหยุดหลบอยู่ตรงมุมมืด ห่างจากพวกลูกหาบที่นั่งล้อมวงกันข้างๆกองไฟซึ่งกำลังคุยกันด้วยภาษากระเหรี่ยงอย่างสนุกสนานออกรส

หนุ่มผู้ดีวางปืนในมือลง มองจ้องหน้าน้องสาวนิ่ง สีหน้าจริงจังจนหล่อนต้องหลบวูบ

เสียงถามเบาๆ หากหนักแน่นด้วยความหมาย “อย่าหาว่าพี่เข้าข้างคนอื่นเลยนะ พี่ถามจริงๆเถอะน้องริน พ่อหมอสินเขาทำอะไรให้ ถึงไม่เคยเอ่ยถึงเขาดีๆบ้างเลย คอยหาเรื่องแดกดันตลอด แม้มาดเขาจะยียวนออกจะกวนๆและพูดตรงไปบ้าง แต่เขาก็จริงใจ อย่างเช่นวันนี้เขาก็ช่วยชีวิตน้องไว้ แทนที่จะพูดดีๆกับเขา กลับคอยขัดตอหาเรื่องชวนทะเลาะอยู่ตลอด”

สาวผู้ดีถอดหูฟังออกและถอนใจเฮือก จ้องตอบพี่ชาย “พี่ชายคะ คนๆนี้เขาพูดจาอะไรไม่เข้าหูคนเลย คนอย่างนี้ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่ชายจะเชื่อใจและฝากชีวิตในการเดินป่าได้ ยิ่งท่าทางก็ยียวนกวนประสาท พูดจาวกวนเหมือนไม่รู้เรื่องป่าเลยจริงๆ และชอบแถออกทะเลแถมยังทำตัวไร้สาระบ่อยๆ ไม่รู้ว่าพี่ชายใหญ่ไปหลงคารมได้อย่างไร น้องมองแล้วอาการของพวกสิบแปดมงกุฎเริ่มเผยขึ้นเรื่อยๆ” หญิงสาวพูดแล้วสีหน้าบ่งบอกถึงความหงุดหงิด

“เขาไม่ใช่สิบแปดมงกุฎ เขาคือหมอผีจริงๆ” พี่ชายใหญ่เน้นเสียง “และเขาก็พูดแบบที่เขาคิดและรู้สึก คนแบบนี้แหล่ะเป็นคนตรงๆซื่อๆไม่มีเล่ห์กล ไม่ตีสองหน้า เขาเป็นคนดี ไม่มีอคติกับใครหรอก น้องเองนั่นแหละที่มีอคติกับเขา เราน่ะมาขอความช่วยเหลือจากเขาแท้ๆ ยังจะมาตั้งเงื่อนไขแง่งอนอะไรอีก ดีที่พ่อหมอเขาไม่ได้มีความคิดเป็นเด็กๆเหมือนเธอ ไม่งั้นก็คงทะเลาะกันลั่นป่าแล้ว เสียดายอุตส่าห์ไปร่ำเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนา มีเชื้อสายผู้ดีชั้นสูง แต่ไม่ได้ช่วยให้ความคิดกว้างไกลบ้างเลย เอาแต่คิดเล็กคิดน้อยไร้สาระน่ารำคาญแบบผู้หญิงบ้านๆทั่วไป” พี่ชายเทศนายืดยาว พลางส่ายหน้านิดๆ อย่างอิดหนาระอาใจ

“เอ่อ พี่ชายคะ….” น้องสาวขยับปากจะโต้ แต่พี่ชายยกนิ้วชี้ขึ้นมาทำนองปรามให้เงียบ

“ไม่ต้องพูดอะไรอีก ต่อไปนี้ห้ามพูดจาถากถางแดกดันพ่อหมออีก หากไม่เชื่อพี่จะส่งกลับทันที เตรียมตัวนอน”

แม่น้องสาวจึงเงียบลงได้แต่ก็ไม่วายบ่นอะไรอุ๊บอิ๊บๆหน้าง้ำอยู่คนเดียว หนุ่มจอมคาถาได้แต่ยืนขำอยู่ในความมืด

————————————–

ดึกมากแล้ว อากาศหนาวเหน็บเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกลูกหาบต่างพากันเข้าเต็นท์นอนกันหมด เหลือเพียงเฉพาะเวรยาม ๔ – ๕ คนที่ถูกกำหนดให้เข้าเวรในกะแรก บรรยากาศรอบด้านเงียบสงัด และมืดมิดขะมุกขะมอมน่ากลัว จะมีก็แต่เสียงปะทุเล็กๆจากกองไฟใหญ่ใจกลางแคมป์เท่านั้นที่แว่วเสียงมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ

หนุ่มจอมคาถาผูกเปลนอนอยู่ไม่ห่างจากเต็นท์นายจ้างสองหลัง หลังหนึ่งเป็นเต็นท์ส่วนตัวของหญิงสาวผู้ดี อีกเต็นท์เป็นของคุณชายใหญ่และสหายรุ่นน้อง คืนนี้หนาวมากอากาศรอบตัวตัวมันเย็นเฉียบจนถึงไขกระดูก แม้จะมีผ้าห่มผืนใหญ่ห่อหุ้มร่างกายแต่ก็ไม่อาจบรรเทาได้ แล้วก็ยังแปลกที่แปลกทางนักสำหรับที่นอนแห่งใหม่กลางไพรกว้างที่โดดเดี่ยวอ้างว้าง หนุ่มจอมคาถาพยายามทำสมาธิให้หลับแต่ก็ไม่อาจจะข่มตาให้หลับได้

ยิ่งเวลาล่วงผ่านอากาศในฤดูหนาวก็เพิ่มทวี ผสมความกันดารแห่งไพรลึก ทำให้อากาศนั้นหนาวเหน็บประดังประเดตามสภาพป่าที่ค่อนข้างอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเป็นอย่างมาก

นอนกลิ้งไปกลิ้งมาไม่นานเขาก็ขยับลุกจากเปลนอนขึ้นมานั่งบนเก้าอี้สนามแบบพับ เหลียวมองออกไปรอบๆ พวกลูกหาบนอนกันหมดแล้ว เหลือเพียงเวรยามตามจุดเท่านั้น ที่ยังตื่นอยู่ หากก็ไม่ส่งเสียงใดๆ ‘เงียบกริบกันทั้งแคมป์’ เขาพึมพำในใจ พลางเหลียวมองที่พรานคู่ใจ ก็พบว่ากำลังนอนหลับอยู่บนเตียงสนาม อากัปที่กำลังกรนเบาๆ บอกให้รู้ว่ากำลังหลับสนิท เห็นแล้วให้นึกอิจฉาว่าพรานป่าอย่างเขาช่างหลับได้ทุกภูมิประเทศ

ลมเย็นๆพัดวูบมาจนต้องห่อกายกอดอก จากนั้นจึงก้าวพ้นเตียงหยิบเสื้อ เสื้อกันหนาวแจ๊กเก็ตฟิลด์สีเขียว ตัวใหญ่มาคลุมร่างกายแล้ว เดินตรงไปสู่กองไฟใหญ่ ด้วยหวังว่าจะผิงไฟสักครู่ พอที่จะให้บรรเทาจากอาการหนาวเหน็บที่ทารุณอยู่ในขณะนี้

แต่พออกมานั่งพิงไฟข้างนอกท่ามกลางเสียงแมลงกลางคืนของพงไพร บรรยากาศที่สงัดจนน่าวังเวงนั้น ช่วยเพิ่มความหนาวเย็นให้ทวีขึ้นมาอีกอักโข เหลียวมองไปรอบๆกาย รู้สึกแปลกๆ ราวกับอุปาทาน เพียงแค่ออกมานั่งผิงไฟอยู่ชั่วขณะ ก็เหมือนถูกจับจ้องไปด้วยสายตานับร้อยๆ คู่ ชั่ววูบหลังจากบริกรรมคาถาความรู้สึกต่างๆก็หมดไป

และเขาก็มองไปทางต้นไม้ใหญ่สองต้นทางทิศตะวันตก แสงจากกองไฟกองใหญ่สาดส่องให้เห็นถึงกิ่งก้านเงาสาขา ดูไหววูบวาบราวเมื่อยามลมพัดโบกโยกไปมามองผ่านๆเหมือนมือไม้หงิกงอของบรรดาภูตไพรกำลังโบกไหวๆเรียกให้เข้าไปหา ลมหนาววูบหนึ่งพัดมากระทบกาย ทำเอาต้องห่อกายด้วยความหนาวเยือกอันสุดแสนจะทนทาน หากแต่ก็ยังทนนั่งอยู่ต่อไปเพื่อรับไอร้อนจากกองฟอนกลางแคมป์ เสียงหวีดหวิวดังรอบด้าน เขาก็หันขวับอย่างระแวงภัยไปทางที่มาของเสียง ก็พบว่ามันเป็นเสียงของลมที่พัดผ่านต้นไม้บังเกิดเป็นเสียงหวีดหวิวที่ได้ยินเมื่อครู่

มองเห็นเปลวไฟลามเลียในกองฟืน เขาดุนฟืนเข้าไปในกอง พอมีลมพัดมาวูบหนึ่ง ก็ทำให้เกิดเป็นลูกไฟสะเก็ดเล็กๆ พัดสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับนับหมื่นๆดวง หรืออาจจะเป็นล้าน เพราะไม่มีเมฆหมอกมาบดบังเลย ท้องฟ้าคืนนี้เลยดูสวยงามเป็นพิเศษ แต่…

เสียง พรึ่บ ! ดังขึ้นจากด้านหลัง ปรากฎร่างของบรรดาภูตสาวทั้งสามขึ้น แต่ละอนงค์ล้วนใบหน้างามพริ้มในชุดผ้าถุง คาดอกอวบอิ่มเห็นเป็นรอนลูกอวดสัดส่วนชวนเสน่หาอย่างสุดฤทธิ์ นางตะเคียนเบียดร่างของนางลำดวนเซออกไปแล้วชิงนั่งพับเพียบข้างหนุ่มจอมคาถาเกาะแขนออเซาะพร้อมรอยยิ้มหวาน นางตานีเองก็ชิงมานั่งอีกข้างเอนศีรษะซบไหล่และโอบกอดเอวแกร่ง ปล่อยนางลำดวนยืนมองอยู่ห่างๆ

“นอนไม่หลับหรือคะ พี่หมอ ท่าทางจะหนาวนะเนี่ย ไปนอนกับตะเคียนที่ต้นตะเคียนคู่นั้นไหมคะ”

นางตะเคียนเสนอมาทันทีหวังให้นายหนุ่มไปนอนกกกอดกับตนในต้นตะเคียนคู่ตายชาก

“แล้วเจ้าของเก่าไปไหน?”

“ไปเกิดใหม่แล้วค่ะ ทิ้งต้นตะเคียนร้างไว้ไม่มีใครสิงสู่”

“อื่อ…” หนุ่มจอมคาถาพยักหน้าเข้าใจ

“ถ้าไม่อยากนอนในวิมานต้นตะเคียน ไปด้านโน้นมีดงตานีป่าด้วย ไปนอนที่นั่นจะสะดวกสบายกว่านะคะ”

นางตานีที่ซบไหล่จีบปากจีบคอเสนอทางเลือกมา ทำเอานางตะเคียนมองค้อน

“ไม่ได้หรอก ข้าต้องดูแลคณะนายจ้าง เกิดอะไรขึ้นมา ข้ารับผิดชอบไม่ไหว”

“แถวนี้ที่ทางยังไม่แรง พวกผีสางก็ระดับหลอกหลอนขอเครื่องเซ่น ไม่มีพลังทำร้ายคน สัตว์ป่าก็ยังเกรงๆคนอยู่ ไม่มีอะไรน่าห่วงเลยนะคะ” นางตะเคียนเอ่ยบอกคล้ายรายงาน

“อย่าประมาท ไปดูแลคุ้มครองตามหน้าที่ แล้วอย่ามัวไปนั่งคุยกับภูตผีแถวๆนี้เพลินจนเผลอเรอ พวกสัตว์ป่าดุร้ายแถวๆนี้ก็มีอยู่มาก โดยเฉพาะเสือ…ถ้ามันดอดมาคาบใครไปข้าจะให้พวกเอ็งสิงอยู่ต้นตะเคียนกับดงตานีแถวๆนี้แหล่ะ”

“จ๊ะ..พี่หมอ ว่าแต่สนใจจะไปนอนกับใครก่อน ยังหัวค่ำอยู่เลย”

“ไม่ไปหรอก ข้าจะนั่งเฝ้าพิงไฟสักเดี๋ยว แยกย้ายกันไป” หนุ่มจอมคาถาสั่งเสียงเฉียบ

“เจ้าค่ะ” สองภูตสาวรับคำแบบไม่ค่อยเต็มใจ และสลายร่างหายไป

หนุ่มจอมคาถามองนางลำดวนที่ยืนอยู่ตรงหน้า พิศเรือนร่างสวยใบหน้าหวานแล้วยิ้มให้

“เอ็งคอยดูแลดีๆนะ ข้าพอจะฝากผีฝากไข้กับเอ็งได้คนเดียว สองคนนั่นวางใจไม่ได้”

“เจ้าค่ะ” ภูตสาวคนโปรดยิ้มหวานรับคำสั่ง “พี่หมอก็พักผ่อนบางนะ วันนี้ก็เจอมาหนัก”

“ขอบใจ ไปเฝ้าเขตอาคมข้าเถอะ มีอะไรเตือนข้าได้ทันที”

“เจ้าค่ะ”ภูตสาวรับคำก็สลายร่างหายไป

บรรยากาศเบื้องหน้าจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง แต่พลันหนุ่มจอมคาถาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามากระทั่งหยุดลงด้านหลัง ฝีเท้านั้นพยายามจะย่องให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เขารู้ตัว แต่ดูจะไม่ใช่มืออาชีพทำให้เขาคิดว่าน่าจะเป็นพวกลูกหาบมาขอของดีไว้คุ้มครองตัว เขาจึงค่อยๆหันไปดูช้าๆ แต่พอเห็นก็แทบหงายท้องเพราะตกใจกับใบหน้าซีดๆขาวๆนั่น

“เหวอ! อ่ะ….”

เกือบจะแหกปากร้องเพราะความตกใจอยู่แล้ว แต่เมื่อสังเกตดีๆก็พบว่าเป็นคุณหญิงนารินทร์แม่สาวผู้ดีที่อุตริพอกหน้าด้วยมาร์คนั่นเอง ทำเอาเขาพ่นลมหายใจออกมาหนักๆอย่างโล่งอก นึกว่าเจอพวกผีไพรผีพลายเจ้าป่ามาลองดีเข้าแล้ว

หญิงสาวยังคงม้วนโลว์บนศีรษะ สวมเสื้อคลุมตัวใหญ่สีขาว สองตาคมจ้องมองมาที่เขาอย่างสงสัย

“เป็นอะไรไป เห็นฉันสะดุ้งยังกะเห็นผี”

“ก่อนจะถามก็ไปส่องกระจกดูบ้างนะครับ โผล่มาสภาพนี้ ในบรรยากาศแบบนี้ ถ้าเป็นโรคหัวใจ ผมคงจะช๊อคตายไปแล้วนะเนี๋ย” เขาตอบด้วยเสียงขุ่นๆ

“ต๊าย! หมอผีอะไรขวัญอ่อนจริงๆ คริๆ” หญิงสาวยืนขำ ทำเอาหนุ่มจอมคาถาเม้มปากเขินๆที่เสียฟอร์ม “ดูดีๆ นี่คนนะ แถมสวยด้วย ไม่ใช่ผีที่ไหน?!”

“นั่นแหล่ะครับ โผล่มาสภาพนี้ ก็มีสะดุ้งกันบ้าง”

“ขอโทษทีนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจหลอกนาย แต่ฉันทำก่อนนอนประจำ ถ้าไม่ทำมันนอนไม่หลับ วันนี้ก็ตากแดดตากลมมาทั้งวัน กลัวผิวหน้าเสียเลยต้องทำซะหน่อย แต่ก็มีมาร์คมาแค่สี่กล่องจะพอใช้หรือเปล่าก็ไม่รู้”หญิงสาวบ่นออกมาทำเอาจอมคาถาหนุ่มทึ่งที่หล่อนช่างห่วงสวยห่วงงามอย่างไม่ดูภูมิประเทศ

เขาไม่อยากคุยเรื่องไร้สาระจึงเอ่ยถามตรงประเด็น “แล้วนี่คุณหญิงออกมาข้างนอกทำไม อากาศข้างนอกมันหนาวมาก เดี๋ยวจะไม่สบายนะ”

“นอนในเต็นท์มันหนาวมาก ฉันนอนไม่หลับ เลยออกมาผิงไฟ แล้วนายหล่ะ ไม่นอนหรือ?” หญิงสาวทรุดกายลงนั่งฝั่งตรงข้าม แบมือเรียวอังไฟรับความอบอุ่น

“ผมเองก็หนาวจนนอนไม่หลับ อากาศอย่างนี้นึกถึงสมัยเด็กๆที่มันหนาวมากๆจนนอนไม่หลับ ต้องลงมาผิงไฟคุยกันหน้าบ้าน แต่เดี๋ยวนี้อากาศหนาวอย่างนี้แถวๆบ้านผมไม่มีแล้ว” ผมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆไม่มีประโยคยียวนเพราะหวังจะผูกมิตรกับแม่สาวผู้ดีบ้าง “แล้วหน้าหนาวอย่างนี้นะ เผาข้าวหลามกินไปด้วย..อื่อ…วิเศษ…” เขาเล่าแล้วทำหน้าเคลิ้มระลึกถึงบรรยากาศในวันวาร

“เอ…นี่นายเคยเป็นเด็กกับเค้าด้วยหรอ?” คำถามอันกวนประสาทเอ่ยขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะขำๆ

“ป้าดติโธ่…มามุกนี้อีกแล้วนะ เชยชะมัด” เขาส่ายหัวหน่ายๆ

“ก็ฉันนึกไม่ออกนี่ ว่าตอนเด็กๆนายเป็นยังไง ถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน พอโตถึงได้….”

“หล่อเร้าใจสาวน้อยสาวใหญ่ แม้จะเข้าวัยหนุ่มใหญ่ก็ยังมีเสน่ห์ใช่มั๊ย” เขารีบแทรกทันที

สาวผู้ดีจ้องตาหนุ่มจอมคาถาอึ้งๆแต่สีหน้าเป็นอย่างไรไม่รู้เพราะอยู่ใต้แผ่นมาร์คหน้าสีขาว

“คนอะไร หลงตัวเองได้ใจจริงๆ” สาวผู้ดีเอ่ยเบาๆ “ฉันเองก็สงสัยจริงๆนะ นายมีเสน่ห์ตรงไหน บัวไลถึงยอมทอดกายให้นายเชยชม อยากจะถามบัวไลมาหลงคารมได้อย่างไร แต่กลัวจะทำร้ายจิตใจของเขา”

“แล้วถามผมนี่ไม่กลัวทำร้ายจิตใจผมบ้างหรอ?”

“คนอย่างนายเคยมีความรู้สึกกับเขาด้วยหรอ…เห็นกวนเขาไปทั่วไม่สนคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร”

ตอนแรกก็คุยกันดีๆ พอคุยกันไปคุยกันมาชักขัดคอกันเข้าแล้ว

“อย่าถามว่าผมมีเสน่ห์ตรงไหน บัวไลถึงเลือกผม แต่ให้ถามว่าบัวไลมีเสน่ห์ตรงไหนผมถึงเลือก..ง่า.. ผมจะบอกให้เป็นวิทยาทานนะ เผื่อคุณหญิงจะเอาไปปรับปรุงตัวแล้วจะได้มีผู้ชายมาเลือกไปเป็นแม่ของลูกบ้าง สนใจอยากฟังบ้างไหมหล่ะ จะได้ลงจากคานซักที ไม่ค้างเติ่งจนอารมณ์หงุดหงิดอิจฉาชีวิตคู่คนอื่นอย่างนี้”

“นี่นาย! พูดจาหยาบคายมากนะ ฉันไม่ได้กระสันอยากจะมี…เอ่อ…นักหรอก อย่ามาพูดต่ำๆกับฉันนะ” หญิงสาวผุดลุกขึ้นตะวาดใส่เขาแต่ไม่กล้าพูดบางคำเพราะคงจะกระดากปากผู้ดี

“ครับ..แม่ดอกฟ้า ผมไม่กล้าจาบจ้วงแล้ว…”

แกรกๆๆเสียงย่ำเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆที่ทั้งสองคนกำลังวิวาทะกัน หันไปก็เห็นเจ้ากระเหรี่ยงไซเมี่ยงเดินฉีกยิ้มแบกปืนคาบศิลาเข้ามาหา มันหยุดยืนในระยะสาม – สี่เมตรพลางค้อมกายอย่างนอบน้อม

“พ่อหมอกับนายผู้หญิงยังไม่นอนหรือครับ?”

หนุ่มจอมคาถาชิงตอบไปว่า “นอนไม่หลับเลยออกมานั่งผิงไฟ ว่ากำลังจะเข้าไปนอนแล้วเหมือนกัน”

“ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนนะครับ จะขอไปตรวจทางโน้นสักหน่อย”

บอกแล้วเจ้าไซเมี่ยงก็จะเดินจากไปอย่างสงบ

แต่หนุ่มจอมคาถากลับเอ่ยท้วงเอาไว้ “อย่าเพิ่งไป รอก่อนข้ามีเรื่องจะคุยกับเอ็ง…แต่ตอนนี้ผมขอให้คุณหญิง กลับเข้าไปยังเต็นท์ได้แล้ว อากาศตรงนี้หนาวหนัก เดี๋ยวจะไม่สบาย” ประโยคหลังพูดกับสาวผู้ดีที่แสนดื้อรั้น

หญิงสาวตาวาวอย่างขัดใจ ขยับปากโต้ “อ้อ…ถือดีอย่างไรไม่ทราบ มาสั่งนู่นสั่งนี่ อย่าลืมว่าฉันเป็นใครนะ” เสียงของเธอเบาทว่าแรงด้วยความหมาย “จะต้องให้สาธยายถึงความสำคัญหรือเปล่า?”

“ขอรับกระผม และตอนนี้ขออัญเชิญคุณหญิงสมศรีราชนิกุลกลับเข้าไปยังกระโจมพักได้แล้ว อย่าลืมเช่นกันว่าเราไม่ได้มาปิกนิก” ผมโต้อย่างเผ็ดร้อน “แม้ว่าเต็นท์ของคุณหญิงจะพิเศษกว่าเต็นท์ใครๆก็ตาม มีทั้งเครื่องปั่นไฟ เตียงคิงส์ไซส์ ทีวีจอ LCD. จานรับสัญญาณ ไม่รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ผมเข้าใจนะ ว่าคุณศรีอาจจะเลียนแบบพวกคุณหญิงหรือราชนิกุลอังกฤษที่นิยมท่องป่าอินเดียในยุคล่าอาณานิคมมา แต่ว่าต้องเข้าใจสภาพพื้นที่ สังคมและป่าเมืองไทยบ้าง บางอย่างเลียนแบบมามันก็ไม่แม๊กซ์หรอก เตือนมายืดยาวเพราะหวังดีนะครับ”

“จะบีบบังคับกันเกินไปแล้วนะ! นี่หมายความว่าฉันต้องทำตามคำสั่งนายทุกอย่างเหรอเหรอ ไม่มีทาง”

“อ้อ…คุณหญิงคุณนายเขาดื้ออย่างนี้ทุกคนรึ?”

“ใช่ ! นายจะทำไม อย่ามาข่มขู่กันให้มากนะ เดี๋ยวทนไม่ได้ก็เอาลูกปืนกรอกปากเท่านั้น” เธอส่งเสียงแหวดๆ ตาสวยเขียวปัดท่าทางโมโหจัด “และอย่าลืมว่าผู้ดีอย่างฉันมีเส้นสายใหญ่โต แค่ให้ทนายแก้ต่างว่าปืนลั่น ฉันก็ลอยนวลแล้ว”

หนุ่มจอมคาถาหัวเราะๆหึ อย่างไม่สนใจจะถือสาหาความ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมแพ้ “เอาละๆๆ…ผมยอมแพ้อย่างราบคาบ ไม่เถียงอะไรต่อแล้วแม่เจ้าประคุณเอ้ย… แต่ว่าตอนนี้ผมของร้องเถอะครับ คุณหญิง อย่าออกมาตากน้ำค้างอย่างนี้เลย ประเดี๋ยวจะไม่สบาย น้ำค้างในป่ามันแรงหยอกเมื่อไหร่ เกิดไม่สบายขึ้นมา ผมคงจะเหงาหูแย่”

หญิงสาวจ้องหน้าเขาเขม็ง กล่าวเบาๆ แช่มช้า หากเน้นทุกคำ

“ฉันไม่กลับ นายเป็นใครมีสิทธิ์มาสั่งฉัน”

“จะไปดีๆไหม?” เขาถามเสียงเข้มๆ

หญิงสาวกอดอกสะบัดหน้าตอบเสียงกระด้าง

“ฉันจะไปเอง ถ้าหากพอใจ ใครก็บังคับฉันไม่ได้”

“สงสัยจะถูกตามใจมาจนเหลิง แต่ที่นี่อยู่ในการควบคุมของผม ฉะนั้น”

“นายเป็นคนควบคุม แต่ฉันไม่ทำตามซะอย่าง แล้วจะทำอะไรฉันได้”

“เหรอ….” เขาลากเสียงยาวและยิ้มเจ้าเล่ห์

สาวผู้ดีหันมาสบตาแล้วทำท่าเกรงๆเมื่อเขาก้าวเข้าประชิดช้าๆ “เฮ้ๆๆ นี่นายจะทำอะไรฉัน อย่านะ!”

“เขาว่าโป่งนี้ผีดุ แต่ผมว่าคงสู้ผีดื้ออย่างคุณหญิงไม่ได้แน่ๆ มาๆผมจะปราบผีดื้อตัวนี้เอง”

เมื่อพูดจบเขาก็ก้มตัวลงช้อนวูบเดียว ร่างอวบอิ่มของสาวผู้ดีก็ถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย หญิงสาว ตะลึงชั่วครู่ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกรีดร้องอย่างตกใจ พลางเอามือสองข้างทุบอกทุบไหล่ แผดเสียงร้องดังลั่นแคมป์

“ปล่อยนะ ! คนบ้า !คนผีทะเล ฯลฯ..”

หนุ่มจอมคาถาไม่สนคำต่อว่าและมือบางที่ทุบไม่เลือกก้าวเท้ายาวๆ เข้าไปในกระโจมโดยไม่สนใจกับกะเหรี่ยงไซเมี่ยงที่กำลังยืนมองแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ และพวกลูกหาบที่งัวเงียฟางขี้ตาตื่นมาดูเพราะเสียงร้องของแม่สาวผู้ดี

หนุ่มจอมคาถาอุ้มร่างสาวผู้ดีเดินตรงไปยังเต็นท์ใหญ่ใต้ต้นตะเคียนคู่ เขาอุ้มร่างที่กำลังดิ้นรนมุดผ่านประตูเข้าไปข้างใน ขณะนั้นคุณชายใหญ่และดนัย งัวเงียตื่นขึ้นมาเช่นกัน ทั้งสองเปิดซิบเต๊นท์ออกมาดูแล้วพวกเขาก็เห็นจอมคาถาอุ้มแม่สาวผู้ดีสาวเท้ายาวๆ ตรงเข้าไปยังเตียงว่างอันเป็นที่นอนของเธอ ก่อนจะวางร่างขาวโพลนในชุดนอนแบบไนท์กาวน์ ม้วนโลว์ที่ศีรษะและพอกหน้าด้วยมาร์คซึ่งดิ้นรนสะบัดแขนขาเร่าๆแหกปากไม่หยุด อยู่ในอ้อมแขนลงบนเตียงสนามนั้นอย่างแรงจนร่างกระเด็นกระดอน ทั้งสองเดินตามมายืนมองอย่างงัวเงียและงุนงง

หนุ่มจอมคาถาไม่สนใจอะไรพอวางร่างคนดื้อก็หันหลังกลับ ปล่อยให้แม่สาวผู้ดีนั่งร้องกรี๊ดๆ ตาเขียวปัดอย่างเอาเรื่อง “บ้า ! คนไม่มีมารยาท ถือดียังไงมาอุ้มฉันอย่างนี้ หา!?” สาวผู้ดีตั้งหลักได้ก็พ่นคำด่าออกมาเป็นชุด “ป่าเถื่อนเอาแต่ใจตัวเอง ชอบวางอำนาจ บังคับขืนใจคนอื่น บ้าอำนาจ หยาบคาย มาแตะเนื้อต้องตัวฉันอย่างนี้อย่านึกว่าเรื่องจะจบง่ายๆนะ…”

หนุ่มจอมคาถาเดินหันหลังจะกลับออกไปแต่พอแม่คุณไม่หยุดปากจึงหันกลับไปตวาดใส่ “เงียบ! แล้วก็นอนไปนะ ถ้ายังโวยวายอย่า

Share the Post:

Related Posts

แอบดูเมียเย็ดกับชู้ควยใหญ่

เรื่องเสียว แอบดูเมียเย็ดกับชู้ควยใหญ่ ผมกับเมียแต่งงานกันมาแล้ว 4ปี ผมอายุ 36 เมียผม 32 เราทั้งคู่ยังไม่อยากมีลูกเพราะต้องการสร้างฐานะให้มั่นคง ก่อน ผมกับเมียถือว่าเกิดมาจากครอบครัวที่มีฐานะพอสมควร และอาชีพการงานของผมก็ค่อนข้างมีหน้มีตาและราย ไต้ถือว่าสูงมากพอที่จะทำงานคนเดียวโดยให้เมียทำงานบนอย่างเดียว โดยไม่ขัดสนเรื่องเงินทอง เมียผมเป็นคนน่ารัก ผิวขาวอย่างคนจีน อกไม่ใหญ่มาก สะโพกงอนสวยมาก โดกของเธออวบอูม มีขนประปราย

Read More

วันไหลสงกรานต์ มันส์ขนาดไหน แตกในเลยคิดดูสิคะ

เรื่องเสียว วันไหลสงกรานต์ มันส์ขนาดไหน แตกในเลยคิดดูสิคะ แถว ๆ บ้านฉัน มีคนใหญ่คนโตจัดงานวันไหลสงกรานต์ให้หนึ่งวัน คือวันที่ 20 เมษายน ซึ่งฉันเองก็มาไปร่วมงานด้วย แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้เจอเรื่องเสียวในสถานที่แบบนี้ จุดเริ่มต้นอาจจะเพราะว่าการแต่งตัวของฉันก็ได้ ฉันคงไม่ปฏิเสธหรอก ว่าฉันนั้นแต่งตัวน้อยชิ้นไปเอง แต่ก็เพราะว่ายังไงก็ต้องเปียกอยู่ดี ฉันเลยไม่ได้คิดอะไรมากเท่าไหร่ จนกระทั่งมีผู้ชายคนหนึ่งมาทักทายฉันแล้วขอปะแป้ง เขาถามฉันว่ามากับใคร

Read More