กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 9

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 9

กุนซือเจ้าสำราญ ตะลุยสามก๊ก ตอนที่ 9
โดย saradio

เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ทหารส่วนใหญ่จับรวบรวมเฉลยกลับค่าย และทหารอีกส่วนหนึ่งเข้าจัดการพื้นที่ นำพาผู้บาดเจ็บที่ยังไม่ตายกลับไปรักษา และจัดการกับศพผู้เสียชีวิต หากเป็นศพฝ่ายทหารจะนำกลับไปฝัง หากเป็นศพฝ่ายโจรกบฏจะถูกรวบรวมเป็นกองแล้วเผาเสียตรงนั้น
ตูตู้หลุน เมื่อฆ่าเอียดปิดได้แล้ว ตอนนี้กลับรู้สึกชีวิตเวิ้งว้างไร้สิ่งยึดเหนี่ยว ก่อนหน้านี้ยังมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นทหารเพื่อแก้แค้น แต่เมื่อแก้แค้นได้แล้ว ความมุ่งมั่นนั้นก็หายไป กลับกลายเป็นความเคว้งคว้างเปลี่ยวเหงา เมื่อไม่รู้จะทำอะไรต่อไป
ผมเห็นนางยืนซึมกะทืออยู่ข้างศพเอียดปิดอยู่นาน สายตาเหมือนจ้องมองศพ แต่อันที่จริงเหม่อลอยไร้เป้าหมาย เพราะเมื่อทหารมาขนย้ายศพเอียดปิดออกไปแล้ว สายตานางก็ไม่ได้เหลือบแลตาม ยังคงยืนจ้องมองเหม่ออยู่ที่เดิม
ผมจึงกระตุกม้าให้เดินไปเทียบข้าง พูดว่า
“เจ้าได้แก้แค้นให้ท่านพ่อแล้ว ไฉนจึงไม่ดีใจ”
ตูตู้หลุนเหมือนพลันรู้สึกตัว แต่ไม่ได้ตอบคำถาม ก้มลงคาราวะ พูดว่า
“บุญคุณของคุณชายกา ที่ช่วยให้ข้าพเจ้าได้ล้างแค้น ข้าพเจ้าจะไม่ลืมเลือนตลอดชีวิต ต่อไปนี้ไม่ว่าท่านมีคำสั่งใด ข้าพเจ้าก็ยินดีบุกน้ำลุยไฟโดยไม่เกี่ยงงอน”
คำพูดของนางเหมือนกับพวกชาวยุทธจักรไม่ผิดเพี้ยน ประเภทมีบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ นางคงถูกปลูกฝังมาเยี่ยงนี้ ผมก็เลยยิ้มพูดว่า
“ก็ดี..ตอนนี้เจ้าก็ได้บรรลุเป้าหมายที่เจ้าตั้งใจไว้แล้ว… เฮ้อ..แต่ข้านี่สิ ยังไม่สามารถทำเรื่องที่รับปากกับพ่อเจ้าได้สำเร็จเสียที่”
ผมบอกพร้อมถอนหายใจอย่างอ่อนล้า สีหน้าเหนื่อยหน่ายผิดหวัง ตูตู้หลุนรู้ว่าผมกำลังพูดถึงเรื่องอะไร นางต้องหน้าแดงวูบ รีบก้มหน้าหลบสายตาผม ผมเงียบเพื่อรอฟังคำตอบ แต่จนแล้วจนรอดไม่มีคำตอบจากนาง ผมจึงพูดว่า
“นั่นสินะ เขาว่าคนเรามิอาจบังคับฝืนใจ ข้าเองก็เป็นคนเช่นนั้น เมื่อเจ้านึกรังเกียจข้า ข้าก็จะไม่บังคับ เอาเถอะ..ชีวิตเป็นของเจ้า เจ้าสามารถลิขิตชีวิตตัวเอง เรื่องกราวไหว้ฟ้าดินอะไรนั้นก็อย่าไปถือสามัน ส่วนบุญคุณครั้งนี้ก็ ไม่ต้องไปยึดติด เจ้าก็ไปใช้ชีวิตอย่างที่เจ้าต้องการเถอะ”
ผมบอกด้วยท่าทางผิดหวัง ทำท่าจะขยับม้าออกไป ตูตู้หลุนได้ฟังดังนั้นต้องตกใจไม่น้อย เพราะเหมือนนางกำลังถูกผลักไสไล่ส่ง รีบพูดว่า
“ไม่ใช่.. คือ ข้าพเจ้า..ข้าพเจ้า”
พอพูดได้แค่นี้ก็พูดต่อไปไม่ได้ รู้สึกปากหนักถึงพันชั่งก็ปาน ผมรู้สึกว่าตูตู้หลุนเหมือนมีอะไรในใจจะพูด จึงพูดว่า
“จะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ ข้ารอฟังอยู่”
ตูตู้หลุน จึงตัดสินใจพูดว่า
“ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้รังเกียจท่าน เพียงแต่ เพียงแต่หากท่านรับข้าพเจ้าเป็นภรรยาเพียงเพราะต้องทำตามคำขอของบิดาข้าพเจ้า โดยไม่ได้รักข้าพเจ้า ข้าพเจ้ากลัวว่า ภายภาคหน้า ท่านก็. ท่านก็ไม่เหลียวแล ”
ตูตู้หลุนพูดอย่างกระอักกระอวนอาย ติดๆขัดๆ เสียงอ่อมแอ้มไม่เต็มเสียงนัก ผมพอฟังถึงได้รู้ว่าตัวเองทำนั่นได้ทำผิดพลาดใหญ่หลวง เพราะเอาแต่พูดถึงเรื่องสัญญากับพ่อของนาง แต่ไม่เคยบอกว่ารักนางสักคำเดียว นั่นเลยทำให้ตูตู้หลุนยังไม่ยอมตกลงปลงใจ เพราะไม่รู้ว่าผมรักจริงๆหรือเปล่า หรือว่าผมแค่ต้องการทำตามคำขอของตูตันเหล่ยแค่นั้น
ผมเมื่อคิดได้ก็ต้องยิ้มส่ายหัวนึกด่าตัวเอง พลันลงจากหลังม้าแล้วดึงนางเข้ามาสวมกอด ตูตู้หลุนถึงกับตกใจค้างตาโต ร้อง นี่ นี่ พยายามจะสะบัดให้หลุด ผมกลับยิ่งกอดแน่นกว่าเดิม ทำเสียง ชูว์ ให้อยู่นิ่งๆ แล้วกระซิบข้างหูอย่างอ่อนโยนว่า
“เรื่องที่รับปากพ่อเจ้า ที่ข้าต้องทำ ไม่ใช่ว่าเพราะพ่อเจ้าขอร้องเพียงอย่างเดียว แต่เพราะข้าก็รักเจ้าด้วย หากเป็นคนที่ข้าไม่ได้ชอบพอแล้ว ต่อให้พ่อของเจ้าแถมเงินให้ข้าอีกสักพันชั่ง ข้าก็ไม่รับปาก ทีนี้เจ้าเข้าใจแล้วนะ”
ตูตู้หลุนนิ่งอึ่งอยู่ในอ้อมกอดจนลืมขัดขืน หน้าของนางแดงมะเรือไปหมด ตอนนั้นคิดนึกอายคนจนอยากจะดิ้นหนี แต่อีกใจหนึ่งกับรู้สึกอบอุ่นจนไม่อยากจากไปไหน พลันไร้เรียวแรงดิ้นรน รีบพูดตัดพ้อว่า
“คุณชายกา ข้าพเจ้าเข้าใจแล้ว ท่านปล่อยเถอะ ข้าพเจ้าอายผู้อื่น”
ผมจึงหัวเราะแล้ว คลายอ้อมกอด ตูตู้หลุนพอถูกปล่อย ก็อายจนไม่อยากอยู่ที่นี่ รีบขึ้นม้า ควบหนีไป ผมมองตามเงาหลังม้าของนางที่ขี่ควบออกไป ด้วยหัวพองโต เพราะคำว่าข้าพเจ้าเข้าใจแล้วย่อมแปลว่านางยอมแล้วนั่นเอง เพียงแต่ว่าเวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม คงต้องหาโอกาสเหมาะๆ ดีๆ หน่อย
ยามกำลังคิดเคลิ้มเพลินๆ พลันที่กลางหลังถูกมือหยิกเนื้อจนเจ็บ ผมร้องโอ้ย รีบหันไป เห็นอาเจินในชุดทหารยืนกึ่งยิ้มกึ่งบึ่งอยู่ ที่แท้การหยิกครั้งนี้เป็นฝีมือของอาเจิน นางมาช่วยพาคนบาดเจ็บกลับไปรักษาพยาบาล และคงแอบมองผมกับตูตู้หลุนอยู่นานแล้ว
แล้วอาเจินก็ พูดอย่างเง้างอนแต่แฝงรอยยิ้ม ว่า
“น่าหมั่นไส้นัก ท่านยังสามารถพลอดรักท่ามกลางสนามรบได้ ชิ”
ผมได้แต่หัวเราะ แหะ แหะ ไม่มีคำพูดใดจะแก้ตัว เอื้อมมือไปโอบเอวนางไว้เป็นการง้อ อาเจินกลับขยับตัวออกพูดเย้าว่า
“ท่านนายกองพลาธิการ ท่านไม่มีงานทำหรือไร เที่ยวเล่นลวนลามสตรีเล่นอยู่อย่างนี้ ท่านไม่เห็นรึผู้อื่นเขาทำงานจนมือเป็นระวิงแล้ว”
แล้วนางก็หัวเราะ เดินไปทำงานของนาง ผมนี่นึกหมั่นไส้ขึ้นมาเชียว อยากจะเดินเข้าไปตบแก้มตูดให้ดังเพี๊ยะสักที แต่ติดที่นางเดินไปในกลุ่มทหาร การไปทำเช่นนั้นเป็นการไม่สมควร หนี้แค้นบัญชีนี้จึงฝากไว้ก่อน แต่ตอนนั้นก็ได้คิดว่า งานผมยังมีอีกมากไม่ควรมาเตร็ดเตร่เหลวไหลอยู่แบบนี้ จึงขึ้นม้ารีบไปจัดแจ้งงานของตัวเอง
หลังจากยึดค่ายโจรได้ ก็ได้เสบียงมาเพิ่มอย่างมากมาย ได้เชลยศึกหลายร้อยคน ได้ข้าวของที่โจรกบฏปล้นชิงมาอีกหลายรายการ ทหารกองพลาธิการต้องทำการตรวจนับสิ่งที่ได้มานี้เพื่อจัดเข้าคลังของกองทัพ
หลังจากนั้นก็มีการเลี้ยงฉลอง ให้รางวัลปลอบขวัญทหารทั้งหมด ในที่นี้ผมกลายเป็นผู้มีผลงานโดดเด่นที่สุด ที่สามารถสร้างเครื่องยิงหิน ทำให้ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม จึงได้รางวัลมากที่สุด จากนั้นเตียวเจกับเตียวสิ้วก็ชวนผมไปนั่งร่วมโต๊ะดื่มฉลอง เตียวเจตอนนี้ไม่ได้มองข้ามผมเหมือนที่แรก ให้ความสำคัญและสนิทชิดเชื้อเหมือนเป็นหลานชายของมันอีกคนหนึ่ง
ทั้งคู่ชวนผมดื่มจนดึก พูดคุยถึงการรบที่เพิ่งผ่านมาอย่างสนุกสนาน กว่าผมจะกลับได้ ก็ปาไปดึกดื่นเที่ยงคืน ตอนนั้นผมก็เมาไม่น้อย แต่พอเดินกลับถึงกระโจกลับเจอเรื่องแปลกประหลาดไม่คาดฝัน ทำเอาผมแทบสร่างเมา
ภาพที่เห็นคืออาเจินกับตูตู้หลุนนั่งรออยู่ในกระโจม ทั้งคู่สวมชุดสตรี ผลัดแป้งแต่งหน้าดูสวยขึ้นจนผิดหูผิดตา และที่กลางกระโจมมีการจัดวางโต๊ะเก้าอี้ เหมือนมีการจัดพิธีอะไรสักอย่าง ผมยังไม่ทันได้พูดอะไร อาเจินก็มาลากแขนผมให้เข้ามา พร้อมพูดว่า
“พี่เจ๋ง ท่านไฉนจึงมาช้า ท่านรู้หรือไม่ พวกเรารอท่านอยู่นานแล้ว”
แล้วลากผมไปนั่งเก้าอี้ที่เตรียมไว้ ผมนั่งลงไปอย่างงุนงง สลับตามองทั้งสองคนถามว่า
“นี่..พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน”
ตูตู้หลุน สะท้านอายหลบสายตาไม่ตอบ แต่อาเจินตอบว่า
“ก็ทำพิธียกน้ำชา รับตูตู้หลุนเป็นสะใภ้เข้าตระกูลกาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว”
“อะ..อะไรนะ”
ผมถึงกับตะลึงหลุดปาก อาการกึ่งตกใจกึ่งยินดี อีแบบนี้แสดงว่าตูตู้หลุนยอมตกลงมาเป็นเมียผมแล้ว แต่ตอนนั้นยังรู้สึกแปลกใจ ถามอาเจินว่า
“นี่พวกเจ้าแอบไปพูดคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไฉนจึงไม่บอกกล่าวข้าให้รู้เรื่อง”
อาเจินหัวเราะเบาๆ พูดว่า
“ก็เมื่อตอนหัวค่ำนี่เอง ข้าพเจ้าเห็นพวกท่านความรักสุขงอม ก็เลยจัดการเป็นแม่สื่อให้”
ผมฟังแล้ว ไม่คิดเลยว่าอาเจินจะใจดีขนาดนี้ การย่อมให้มีเมียน้อยโดยไม่แง่งอนก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว แต่นี่ถึงกับยอมลงทุนไปเป็นแม่สื่อพาเมียน้อยเข้าบ้านด้วยตัวเอง ต้องเรียกว่าโคตรน้ำใจเมียหลวงเลย
แต่ถ้าคิดให้ดีๆแล้ว ที่อาเจินยอมขนาดนี้ย่อมมีเหตุผลของนาง เนื่องจากอาเจินสำนึกตัวอยู่ตลอดว่าเป็นหญิงม่ายไม่ใช่สาวบริสุทธิ์สำหรับผม และหญิงม่ายในสมัยนั้นหากแต่งงานใหม่ก็เป็นได้แค่นางบำเรอ ทำให้อาเจินกลัวว่า เมื่อวันหนึ่งผมพบสตรีที่เพียบพร้อมกว่า ก็อาจจะไม่ยอมเป็นเหวินเหออีก แล้วทิ้งนางให้กลับไปเป็นม่ายเหมือนเดิม
ดังนั้นอาเจินจึงคิดว่า หากจะให้ผมเป็นเหวินเหอและอยู่กับนางตลอดไป เรื่องผู้หญิงก็ควรจะใจกว้าง และทำดีกับสตรีที่ผมรักด้วย เท่านี้ก็จะเป็นการซื้อใจผม และได้การนับถือจากเมียน้อยด้วยในเวลาเดียวกัน พอเมื่ออาเจินเห็นผมกับตูตู้หลุนความรักเริ่มสุกงอม จึงชิงตัดหน้า เป็นแม่สื่อพาตูตู้หลุนมาให้ผมเอง ดีกว่าให้ผมกับตูตู้หลุนไปได้เสียกันเองโดยที่นางไม่รู้ไม่เห็น
ทีนี้ลองเมียหลวงลงทุนไปชวนว่าทีเมียน้อยเข้าบ้านด้วยท่าทีที่เป็นมิตร คิดแบ่งปันสามีให้ มีหรือเมียน้อยจะไม่คล้อยตาม ตูตู้หลุนก็ต้องนับถืออาเจินจนหมดใจ แล้วผมก็จะไปไหนเสีย
หมากตานี้ของอาเจินเรียกว่าเดินหมากตัวเดียวกินทั้งกระดาน คิดไม่ถึงว่า อาเจินดูหน้าตาใสซื่อ แต่กับจ้าวแผนการปานนั้น แต่แผนการของนางไม่เคยคิดร้ายใคร มีแต่ลงเอ่ยด้วยดีกันทุกฝ่าย ตั้งแต่แผนที่ให้ผมสวมรอยเป็นเหวินเหอแล้ว
ผมจึงต้องฉีกยิ้มจนกว้าง ดึงอาเจินเข้ามากอดแล้วหอมเป็นการขอบคุณ พูดติดตลกหัวเราะอย่างดีใจว่า
“อาเจินเจ้าช่างน่ารักจริงๆ สุดยอดเมียโดยแท้ บุญคุณครั้งนี้ของเจ้า ข้าจะไม่ลืมไปชั่วชีวิต ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ ก็ไม่ขมวดคิ้ว นิ้วหน้า”
ผมบอกเรียนแบบสำนวนชาวยุทธจักร พร้อมทำท่าคุกเข่าลงไปคาราวะ อาเจินถึงกับหัวเราะเอามือผลักผม ร้องว่า พี่เจ๋ง ท่านบ้าไปแล้ว ในขณะที่ตูตู้หลุนทั้งขำทั้งอาย เพราะดูผมดีใจมากมายที่ได้นางเป็นเมีย ทำให้ในใจของนางรู้สึกดีขึ้น ลดความประหม่าลง
จากนั้นพิธีก็เริ่มขึ้นอย่างง่ายๆ ตูตู้หลุนยกน้ำชาให้อาเจินเป็นการคาราวะเมียหลวง อาเจินก็รับดื่มก่อนเป็นการรับการคาราวะ แล้วจากนั้นก็รินส่งคืนให้ผมกับตูตู้หลุนคนละจอกให้ดื่มพร้อมกัน เพื่อเป็นการแสดงการต้อนรับเมียน้อยเข้าบ้าน
เมื่อพิธียกน้ำชาเรียบร้อยแล้ว อาเจินก็จับมือตูตู้หลุนทั้งสองมือ พูดว่า
“ตอนนี้นี้เจ้าก็เป็นคนของตระกูลกาแล้ว เราสองคนก็ให้เปรียบเสมือนพี่น้องกัน ข้าจะเรียกเจ้าว่า หลุนเอ๋อ ส่วนเจ้าก็เรียกข้าว่า พี่เจิน เถอะ”
ตูตู้หลุนรับคำ เรียก พี่เจิน คำหนึ่ง แล้วก็หันมาเรียกผม ว่า พี่เจ๋ง ด้วยท่าทีเอียงอาย ผมนี่ตัวขยับใจเต้น ตุ่มๆต่อมๆ ถึงกับอดรนทนต่อไปไม่ไหว เข้าไปรวบกอดทั้งสองคน พูดว่า
“เมื่อเสร็จพิธีแล้วจะรออะไร พวกเราก็เข้าหอกันทั้งสามคนนี่แหละ”
เลยรวบตัวสองสาวผลักลงไปนอนที่เตียง แล้วรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเอง อาเจินนั้นรู้งานดีอยู่แล้ว เพียงนอนรอหัวเราะเบาๆ มองในท่าทีหื่นกระหายของผม ส่วนตูตู้หลุนยังไม่เคยถึงกับแตกตื่นดึงผ้าห่มมาคลุมโปง
เพียงพริบตาผมกลายเป็นชีเปลือยควยโด่โตงเตง ก้าวคืบคลานขึ้นบนที่นอนไปหาสองสาว อาเจินพลางยิ้มโบ้ยสายตาไปทางตูตู้หลุนเหมือนรู้ใจให้ผมจัดการนางก่อน ผมจึงจูบปากอาเจินแล้วหันไปทางตูตู้หลุน
พอมือผมแตะถูกตัว ตูตู้หลุนภายใต้ผ้าห่มก็ตัวสั่นสะเทิ้ม ไม่คิดว่าสาวน้อยที่กล้าตะลุยฝ่ากลางสมรภูมิโดยไม่เกรงกลัวคมหอกอันแหลมคม แต่เมื่ออยู่บนเตียงแล้วกลับกลัวคมหอกหัวทู่
ผมค่อยๆดึงผ้าห่มออก ตูตู้หลุนก็ขยับตัวด้วยความอายไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่ร้องเรียกหาอาเจินว่า
“พี่เจิน ช่วยข้าพเจ้าด้วย”
ผมกับอาเจินพากันหัวเราะอย่างเอ็นดู ที่แม่เสือร้ายกลายเป็นแมวน้อยเรียกหาคนช่วย ผมจึงยิ้มพูดว่า
“ไม่มีอันใดน่ากลัวหรอก ข้าจะทำอย่างทะนุถนอม”
แล้วผมก็ค่อยก้มลงไปชวนจูบประกบริมฝีปาก เริ่มจากค่อยๆแตะสัมผัส ให้นางค่อยๆได้ลิ้มรส ริมฝีปากชาย จากนั้นค่อยประกบจูบใช้ลิ้นชักชวนเต้นรำกันในปาก
ตูตู้หลุนวาบหวิวตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก มันเป็นรสชาติที่นางไม่เคนได้ลิ้มรสมาก่อน ที่แรกยังไม่ค่อยกล้าตอบสนอง แต่เมื่อลิ้มผมก่อกวนชวนทะเลาะ นางก็อดไม่ได้ที่จะตอบโต้ จนมันโรมรันพันตูกันราวกับกำลังดวนอาวุธบนหลังม้า
อืมส์ จ๊วบบ จั๊บบ จ๊วบบบ อืมส์
มือของผมเริ่มลูบไล้ไชชอน ปลดแอกเรือนร่างของนางออกจากเสื้อผ้า ตูตู้หลุนมีปฏิกิริยาป้องกันเล็กน้อย แต่แล้วก็ยอมให้ผมถอด เมื่อเสื้อผ้าหลุดออกจนหมด ผมก็ยันตัวขึ้นหมายชมมองให้เป็นขวัญตา
ภายใต้แสงคบเพลิงสาดส่อง ร่างงามสูงโปร่งก็เผยให้เห็น ตูตู้หลุนนั้นมีรูปร่างที่น่าพิสมัย คล้ายหุ่นนักกีฬาหญิงวอลเลย์บอล ทั่วทั้งเรือนร่างไม่มีไขมันส่วนเกิน แต่มีกล้ามเนื้อมาทดแทน แม้แต่หน้าท้องก็มีกล้ามเนื้อน้อยๆขึ้นมาให้เห็น ชายหนุ่มในสมัยสามก๊กนั้นอาจจะไม่ชอบสตรีรูปร่างเช่นนี้ เพราะดูแข็งแกร่งเกินหญิงไม่เป็นกุลสตรี แต่มักชอบรูปร่างอย่างอาเจิน ที่ดูอ้อนแอ้นบอบบาง
แต่ในยุค 2000 ผู้หญิงหุ่นรูปร่างอย่างตูตู้หลุนนั้นกลับเป็นที่นิยม จนผู้หญิงแห่ไปออกกำลังเข้าฟิตเนทกันเป็นทิวแถว
ตูตู้หลุนยามนั้นเอียงอายจนต้องเอามือบดบัง ทั้งสองปทุมถันที่ตั้งเต้าสวยได้รูปของสาวอายุ 16 และอีกมือหนึ่งก็ปิดบังของสงวนที่ขดดกรกครึ้ม
อาเจินเห็นนางเอียงอายเช่นนั้น ก็จัดการเปลือยผ้าตัวเองออกเป็นเพื่อน เพื่อให้นางได้รู้สึกว่ามีพวกพ้องไม่ต้องทนอับอายตามลำพัง
ผมจึงให้อาเจินมานอนกอดรวมกันกับตูตู้หลุน แล้วซุกไซ้จูบทั้งสองหญิงสาว เพื่อให้พวกนางไม่ต้องอายกันและกัน สองมือผมก็พลัดกันขยำลูบไล้เต้านมของสองสาวสลับไปมาไม่ลำเอียงไปที่ใครด้านใดด้านหนึ่ง จากนั้นก็ให้พวกนางนอนหงายถ่างขาเกยกัน แล้วลองลิ้มชิมรสจากช่องสวาทของสองสาว ว่าแตกกันเพียงไหน
ผมไม่เคยได้ลองสวิงผู้หญิงพร้อมกันมาก่อน ไม่คิดว่าจะมีวาสนาในตอนนี้ ดังนั้นอะไรที่เคยดูเคยเห็นในหนังเอวี จึงงั้นจัดแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ผมจึงสลับลิ้นลงเลียนัวเนียสลับกัน คนโน้นที คนนี้ที อย่างไม่ต้องให้มีใครเสียเปรียบ
ตูตู้หลุนนั้นยังมิคุ้นเคย มีอาการอายสะท้านทุกครั้งที่ถูกลิ้น ส่วนอาเจินได้ลิ้มลองมาบ่อยแล้ว และเป็นสิ่งที่ติดใจจนอยากโดนทุกครั้งที่ร่วมรักกับผม ยามนั้นน้ำเสน่ห์หาในช่องสวาทของสองสาวล้วนฉ่ำเยิ้ม แม้ตูตู้หลุนที่ยังไม่เคยผ่านมือชาย ยังร่ำร้องขอ พร้อมดันผืนนาโหนกนูนของนางถูไถไปกับปากผม อาเจินนั่นมิต้องพูดถึง ยามถูกทอดทิ้งเหินห่าง ต้องใช้นิ้วมือละเลงขับกล่อมน้องน้อยมิให้อารมณ์ขาดตอน
เมื่อตูตู้หลุนพร้อมเต็มที่ ผมก็มีดีพร้อมจะสนอง จึงจับนางแยกถางขาสวมตัวเข้าไปอยู่ตรงนั้น จากนั้นก็จับดุ้นมังกร ที่ตอนนี้เผ่นผงาดเครียดขึงจนหัวเปลี่ยนสี ค่อยกดแหวกโพงหญ้าเข้าหาถ้ำที่ยังไม่เคยผ่านการสำรวจ เมื่อหัวจมมิดเข้าไป ตูตู้หลุนถึงกับผวาร้อง
“อ้อยยยยยยย คุณชายกา”
“เจ้ายังเรียกข้าคุณชายกาอีกหรือ ตอนนี้ต้องเรียกสามีจึงถูกต้อง”
ผมบอกอย่างคึกคะนอง พร้อมค่อยๆดันดุ้นเข้าไป จนจมมิดเลือนหาย อาเจินเห็นตูตู้หลุนสีหน้าเจ็บปวด ต้องเข้าไปกอดจูบปลอบประโลม ดึงความสนใจให้นางผ่อนคลาย พลางกล่าวว่า
“หลุนเอ๋อ เจ้าอย่าได้เกร็งบีบรัด นั้นจะทำให้ยิ่งเจ็บ ควรปล่อยตัวตามสบาย ไม่นานก็หายแล้ว”
ตูตู้หลุนรู้ว่าอาเจินนั้นมีประสบการณ์ สมควรเชื่อฟัง จึงผ่อนคลายกล้ามเนื้อไม่เกร็งรับ แต่นั้นก็ยังรูดรัดจนผมโยกเข้าออกลำบาก แต่ไม่นานก็เริ่มทางสะดวก เมื่อน้ำภายในไหลออกมามากมันจึงช่วยล่อเลี้ยงหล่อลื่น ในตอนนั้นทั่วทั้งดุ้นควยมีคาบลิ้มเลือดอาบแดงฉาด บ่งบอกให้รู้ว่าเยื่อพรหมจรรย์ของนางได้ถูกทำลายฉีกขาดไปแล้ว
ยามนั้นผมเมาและเริ่มมันส์เสียว จึงขยับสะโพกกระเด้าเร็ว ตูตู้หลุนถึงกับเกร็งตัวร้องอี้ อาเจินเห็นท่าไม่ดี เข้ามากอดข้างผม กระซิบบอกว่า
“พี่เจ๋งอย่าได้รุนแรงนัก มิเช่นนั้นหลุนเอ๋อ แทนที่จะได้รับความสุขจะกลับกลายเป็นความเจ็บปวดไป”
นางมาช่วยเตือนสติมิให้ผมลืมตัว ทำให้ผมรู้ตัวต้องหยุดการกระทำ ยามนั้นเห็นตูตูหลุนมีสีหน้าเจ็บปวดต้องนึกสงสาร โน้มหน้าลงไปจูบปลอบประโลม พูดว่า
“โอ๋โอ๋ ..หลุนเอ๋อ เด็กน้อยของพี่เจ๋ง พี่ขอโทษ พี่จะทำให้เบาลง เจ้าอย่าได้โกรธเลยนะ”
ตูตู้หลุนพยักหน้า แล้วฝืนยิ้มแฝงความอาย คล้ายบอกผมว่ามิเป็นไร แล้วผมก็เบาแรงลง ทำช้าๆ เนิบๆ ตูตู้หลุนจึงคลายสีหน้าเจ็บปวดลง สักพักก็หลับตาคล้ายเคลิ้มฝันสงเสียงครางออกมาเบาๆ
อาเจินเมื่อเห็นตูตู้หลุนเริ่มมีความสุขแล้ว นางก็มากอดพะเน้าพะนอคลอเคลียข้างๆผม ช่วยลูบไล้จูบไซ้ร่างกายผม เพื่อกระตุ้นความกำหนัด ผมจึงรวบรัดนางเข้ามากอดจูบ พร้อมกับขยับสะโพกช้าๆ ป้อนความสุขสรรค์ให้กับตูตู้หลุนไปด้วย
ไม่ช้าไม่นาน ตูตู้หลุนก็เกิดอาการเกร็งตัวอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาจากความเจ็บปวด แต่มาจากความสุขสรรค์จะสำเร็จสู่สรวงสวรรค์ นางเกร็งบีบช่องรัดแน่น จนผมไม่สามารถทำต่อไปได้ แล้วตูตู้หลุนก็ตัวสะท้านกระตุก ขยับตัวจนมังกรผมหลุดออกจากถ้ำ จากนั้นนางก็หุบหนีบขาสกัดกั้นน้ำที่จะไหลทะลักออกมา พร้อมกัดริมฝีปากหอบหายใจ
อาเจินเห็นแล้วกระซิบบอกผมว่า
“พี่เจ๋งช่างร้ายกาจนัก นางได้รับความสุขแล้ว”
ผมฟังแล้วรู้สึกคันเคี้ยว จนอยากจะกัดอาเจิน ต้องหันไปเย้าว่า
“เมื่อตูตู้หลุนได้แล้ว ที่นี้ก็ตาเจ้า”
ผมบอกพร้อมจับนางหันหลังโก่งโค้ง อาเจินแม้ดูอิดออดขัดขืน แต่ก็เป็นเพียงการเสแสร้งแกล้งทำ พอผมจับขยับไม่กี่ที นางก็อยู่ในท่าสุนัขโก่งก้นแอ่นรอการสอดเสียบแล้ว
สองมือผมจึงจับขย้ำแก้มก้นนางบดบี้เคล้าคลึงจนยุ่นยู่ จากนั้นก็จับแหวก ขยับดุ้นมังกรให้ตรงร่อง จากนั้นก็ขยับเสียบเข้าไป วัวเคยขาม้าเคยขี่ มิต้องพิรี้พิไรมากนัก เมื่อเสียบเข้าได้ ก็เร่งเร้าหักโหมขย่มโขยกราวกับควบม้า
ตับๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
“อ้อยยยยยย ซีดดดส์ พี่เจ๋ง อ้ออยอยยยย”
อาเจินร้องครางหน้านิ้วคิ้วขมวด ตูตู้หลุนกลับไร้เดียงสา รีบร้องพูดว่า
“พี่เจ๋ง ท่านรังแกพี่เจินแล้ว ไฉนท่านรุนแรงปานนั้น นางได้รับความเจ็บปวดยิ่ง”
ผมกับอาเจินพอฟังถึงกับต้องหยุดชะงักงงงัน สักพักจึงนึกได้ พร้อมใจกันหัวเราะในความไร้เดียงสาของตูตู้หลุน อาเจินจึงยิ้มยื่นมือไปให้นางกุมเกาะแล้วดึงนางเข้ามานอนใต้วงคร่อมแขน พร้อมพูดว่า
“เรามิได้เจ็บปวดหรอก แต่กลับกำลังมีความสุขยิ่ง”
ผมจึงพูดเสริมว่า
“เมื่อเจ้าชำชองแล้ว ก็จะเข้าใจ”
ตูตู้หลุนขมวดคิ้วอย่างสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ผมจึงต่อกับอาเจินที่ค้างคาอยู่ ยามนั้นได้สัมผัสรักทั้งสองสาวความกำหนัดมีมาก เย็ดกระเด้าอาเจินอย่างมันส์ควย โดยไม่ทิ้งจังหวะ อาเจินร่ำร้องอย่างกับจะขอชีวิต จนตูตูหลุนต้องเอามือลูบไล้ปลอบโยนนางกลัวว่านางจะเจ็บปวด ไม่ช้าไม่นานอาเจินก็ถึงสวรรค์ ถึ่งขั้นเขื่อนทำนบแตก ผมชักควยออกมา น้ำก็ทะลักตามออกมาด้วย
ผมเองก็ใกล้จะแตก ยามนั้นอยากแตกใส่ปากอาเจิน จึงสาวควยขยับไปข้างหน้าหาอาเจิน อาเจินนั้นรู้ทางดีอยู่แล้ว ต้องอ้าปากรองรับ ผมจึงสาวชักจนแตกรดใส่ปากอาเจิน ตอนนั้นอาเจินคร่อมตัวอยู่บนตูตู้หลุน น้ำรักส่วนหนึ่งของผมย่อมกระสานเซ็นไปถูกหน้านางด้วย
อาเจินเมื่อรองน้ำรักได้เต็มปากแล้ว ก็กล่ำกลืนลงคอลงไป จากนั้นก็อ้าปากรวบดูดควยรีดออกจนหมด
ตูตู้หลุนมองภาพนั้นอย่างตื่นตา ในแววตาเหมือนมีคำถามมากมาย แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยถาม แต่คิดว่าไม่นานนางก็จะได้เรียนรู้เอง
คืนนั้นเวลามีไม่มาก พวกเราหาความสุขกันได้ไม่นานก็ต้องแยกย้าย ตูตู้หลุนตอนนี้ก็กลายเป็นเมียผมโดยสมบูรณ์

Share the Post:

Related Posts

หนูโดนคนขับรถลวงไปข่มขืน

เรื่องเสียว หนูโดนคนขับรถลวงไปข่มขืน ลวงไปข่มขืน “ต้นเตย” เธอเป็นเด็กสาวอายุ 17 ปี ที่เข้ามาในเมืองกรุงเป็นครั้งแรก หลังจากที่ตัดสินใจเก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ เพื่อที่จะมาหาพี่สาวของเธอ ซึ่งหลังจากพี่สาวเรียนจบ เธอก็ไม่ได้กลับไปบ้านเลย เพราะบอกว่าชอบบรรยากาศของเมืองกรุง และอยากจะทำงานที่นี่ ดังนั้น ธุรกิจที่บ้านทั้งหมด จึงต้องโยกย้ายความหวังมาให้เธอผู้เป็นน้องสาว ความหวังทุกๆ อย่างมันจบลงที่เธอต้องแบกรับ แต่กะเพราเธอเพิ่งอายุแค่นี้เอง

Read More

เพื่อนแม่ก็น่าเย็ดดีนะครับ

เรื่องเสียว เพื่อนแม่ก็น่าเย็ดดีนะครับ สวัสดีครับ ชาวนักอ่านเรื่องเสียวทุกๆ ท่าน ผมชื่อว่า ก้อง ครับ อายุก็เพิ่งจะ 21 ปีเท่านั้นเองครับ แต่เพราะว่าพ่อให้มาใหญ่ แม่ให้มาดี จนทุกๆ วันนี้ก็เป็นผู้ชายที่มากไปด้วยเรื่องเสียว ประสบการณ์เสียวแบบแทบจะใช้นิ้วนับไม่ได้แล้วครับ แต่ถ้าจะเอาเรื่องที่ผมยังจดจำได้จนถึงทุกวันนี้ก็น่าจะเป็น เรื่องที่ผมเผลอตัวปล่อยใจไปเย็ดกับเพื่อนแม่นี่แหละครับ ไม่ใช่ว่าที่เล่าเพราะมันไม่ดีนะครับ แต่ว่ามันดีจนต้องเอามาเล่าเลยนั่นละครับ

Read More